ข่าวที่สะเทือนใจที่สุดข่าวหนึ่งในรอบปีคงจะหนีไม่พ้นกรณีที่เด็กช่างกลห้าคนใช้อาวุธข่มขู่ และลวนลาม ทำอนาจารเด็กหญิงสองคนบนรถเมล์ และยังบังคับพาเข้าไปในเทาวน์เฮาส์ของตนเพื่อรุมข่มขืนตลอดทั้งคืน ก่อนที่จะปล่อยตัวออกมาในเช้าวันรุ่งขึ้น

เหตุที่ข่าวนี้สะเทือนใจผู้คนทั่วไปเป็นอย่างมาก ก็เพราะมันไม่เพียงเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ในบ้านเรา แต่มันยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของคนในสังคมไทยปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นในเวลาเย็น บนรถเมล์ท่ามกลางสายตาของผู้โดยสารหลายคนเป็นเวลานาน คนเหล่านี้ ได้เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ถูกลวนลาม ทำอนาจารโดยไม่มีทางสู้ ได้ยินกระทั่งเสียงร้องไห้ของเด็กทั้งคู่ ทว่าทุกคน เลือกที่จะนิ่งเฉย

รายงานข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์กล่าวว่า พยานหลายคนบนรถเมล์คิดว่าเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันภายในกลุ่ม เข้าทำนองผัวเมียทะเลาะกันคนอื่นไม่ควรยุ่ง จึงไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือแต่ประการใด บ้างก็ว่าเด็กช่างกลเหล่านั้น ฉลาดพอที่จะเล่นละครตบตาคน

แต่ผมเชื่อว่าผู้โดยสารอีกหลายคนก็ฉลาดพอเช่นกัน ที่จะรู้ชัดว่านั่นเป็นการกระทำอนาจารผู้หญิงบนรถเมล์โดยกลุ่มอันธพาล หากไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งเพราะธุระไม่ใช่หรือไม่อยากเจ็บตัว

คนเหล่านี้คงไม่ทันตระหนักว่า ในช่วงเวลาเช่นนั้นพวกเขาเองก็ได้มีส่วนร่วมในการสร้างตราบาปในชีวิตให้แก่ เด็กสาวทั้งสองอยู่เช่นกัน

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้นานแล้วว่า “โลกเต็มไปด้วยอันตราย มิใช่เพราะมีคนทำสิ่งชั่วร้าย แต่เพราะ มึคนยืนดูอยู่เฉยๆ และปล่อยให้มีการทำสิ่งชั่วร้ายนั้น”

ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือข้ออ้างของผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่ว่าอยากช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้าย แต่ไม่อยากเสี่ยงชีวิต หรือไม่อยากเจ็บตัวนั้นมีน้ำหนักเพียงไร

ตามจริงผู้โดยสารเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเข้าแลกแต่อย่างใด เพราะเพียงแค่เดินลงจากรถเมล์ไปบอกตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แถวนั้นว่าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นบนรถเมล์คันดังกล่าว เด็กสาวทั้งสองก็อาจจะรอดพ้น จากการถูกข่มขืน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบอกกับเราว่า เรากำลังยอมจำนนต่อความไม่ถูกต้องในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่เรื่องที่ไม่ต้องใช้ความกล้าหาญมากมายอะไร ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเพียงแค่เดินลงจากรถเมล์ไปบอกตำรวจเท่านั้น เรายังไม่คิดที่จะทำ

ที่สำคัญหากเด็กช่างกลเหล่านี้ยังคงลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ถูกจับกุม การนิ่งเฉยของคนในสังคมเช่นนี้ก็อาจตอกย้ำ ให้เกิดค่านิยมหรือความเชื่อใหม่ๆ ในกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา โดยปราศจาก การยับยั้งชั่งใจไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเลวร้ายผิดศีลธรรมเพียงใด เพราะเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องที่สังคมให้ความสำคัญ

ว่าไปแล้วเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่เป็นข่าวบ้างไม่เป็นข่าวบ้าง กลุ่มผู้ต้องหา ในคดีนี้เองก็ยังรับสารภาพว่าเคยฉุดผู้หญิง มาข่มขืนในลักษณะคล้ายกันนี้หลายครั้งจนเป็นเรื่องปรกติ เพียงแต่ข่าวไม่ได้แจ้งว่าได้กระทำการในที่โล่งแจ้งต่อหน้าผู้คนจำนวนมากหรือไม่

อีกไม่นานเด็กช่างกลทั้งห้าคนคงจะได้รับการพิพากษา ส่วนเด็กหญิงทั้งสองคนก็คงจะต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะเยียวยา บาดแผลที่เกิดขึ้น ผู้คนและสื่อมวลชนก็จะเลิกให้ความสนใจ รอจนกว่า จะมีข่าวทำนองนี้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง และอีกครั้ง ตราบเท่าที่คนในสังคมยังไม่มีความกล้าหาญพอที่จะออกมาพิทักษ์ความถูกต้องในสังคม

และเมื่อถึงเวลานั้นก็ยอมรับเถิดว่า เราทุกคนมีส่วนร่วมในการประกอบอาชญากรรมเหล่านั้น เพราะการนิ่งเฉย ก็คือการยอมรับว่าอาชญากรรมคือความชอบธรรม

 

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์