อนุสรณ์ ติปยานนท์
frontfirework@hotmail.com

deepplay01
คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ

(๑)

ในปี ค.ศ. ๑๙๕๘ นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันนาม คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz) ได้เดินทางไปพำนักที่เกาะบาหลีพร้อมกับภรรยาของเขาเพื่อทำการวิจัยด้านวัฒนธรรม ในช่วงแรกเขาตกอยู่ในสภาพของคนนอก แทบทุกย่างก้าวของเขาถูกจับตา ทุกการเคลื่อนที่ของเขาตกเป็นประเด็น แต่กระนั้นแม้การมาถึงและรายละเอียดของพวกเขาจะเป็นที่รับรู้ พวกชาวบ้านก็ทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน ทุกคนเฉยเมย หมางเมิน และหลบหน้าเกียร์ซ หลังจากนั้น ๑๐ วันในบริเวณหมู่บ้านก็จัดงานชนไก่ขึ้น ในช่วงเวลานั้นกีฬาชนไก่ในเกาะบาหลีเป็นกีฬาผิดกฎหมาย มันแสดงอาการล้าหลังสำหรับประเทศที่เข้าสู่ความทันสมัยเช่นอินโดนีเซีย มันเป็นสิ่งน่าละอายสำหรับสังคมสมัยใหม่หลังการปลดปล่อยจากระบอบอาณานิคม มันเป็นสิ่งที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงและละทิ้งเช่นเดียวกับการเปลือยนม การเสพฝิ่น และการบูชาเทพเจ้าที่ปรากฏอยู่ทั่วเกาะ

ด้วยเหตุนั้นการชนไก่จึงจำต้องถูกจัดขึ้นอย่างลับ ๆ ในหมู่บ้านเพื่อหลบหนีสายตาเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แต่แล้วในยกที่ ๓ แห่งสงครามปักษีนั่นเอง เหล่าตำรวจในชุดอาวุธครบมือก็ปรากฏขึ้น นักพนัน ไก่ และตัวเกียร์ซเองออกวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เขาและภรรยาวิ่งหนีออกไกลไปในท้องทุ่งนา ชายคนหนึ่งวิ่งนำพวกเขาเข้าไปในอีกหมู่บ้านหนึ่ง ตรงเข้าไปในบ้านพัก ชายผู้นั้นสั่งภรรยาของเขาให้ปูโต๊ะและเตรียมน้ำชา ๓ ที่ และแล้วพวกเขาก็นั่งลงราวกับกำลังมีการสนทนาในวงน้ำชาร่วมกัน

ชั่วไม่กี่อึดใจถัดมา ตำรวจก็ตามมา เมื่อแลเห็นคนผิวขาว ๒ คนนั่งอยู่ในบ้าน ตำรวจก็สอบสวนเกียร์ซว่าเขามานั่งทำอะไรที่นี่ ชายเจ้าของบ้านพยายามแก้ตัวแทนเกียร์ซ แต่การสนทนาอย่างยืดยาวไม่ช่วยอะไร จนในที่สุดเกียร์ซผู้ไม่เคยมีโอกาสได้คุยกับคนอื่นเลยนอกจากเจ้าของบ้านเช่าและหัวหน้าหมู่บ้าน ก็ลุกขึ้นอธิบายว่าเขาเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับทุนให้มาทำวิจัยด้านวัฒนธรรมที่นี่ เขาและเจ้าของบ้านนั่งดื่มน้ำชาร่วมกันมาตลอดบ่ายและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการชนไก่เลย ตำรวจยอมล่าถอยไปในที่สุด และนั่นหมายถึงการพ้นคุก พ้นโทษสำหรับทุกคนด้วย

วันรุ่งขึ้น สถานการณ์ของเกียร์ซก็เปลี่ยนไป ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใดล้วนแต่มีผู้คนเข้ามาทักทาย คนเหล่านั้นรู้ดีว่าเกียร์ซออกวิ่งหนีเช่นเดียวกับพวกตน คำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าถูกตั้งขึ้น อาทิเช่น ทำไมพวกคุณถึงไม่บอกว่าคุณเป็นใครตั้งแต่ต้น ทำไมพวกคุณถึงไม่บอกว่าพวกคุณแค่มายืนดูเฉย ๆ ในฐานะคนนอก พวกคุณกลัวปืนของตำรวจหรือ แต่ไม่ว่าชาวบ้านจะล้อเลียนแสดงอาการยิ้มหัวเช่นไร เกียร์ซก็รู้สึกได้ถึงการยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านอันเนื่องจากการหลบหนีร่วมกันและการปฏิเสธไม่ใช้สิทธิพิเศษแห่งความเป็นคนนอกนั้น แม้แต่พราหมณ์ท่านหนึ่งในหมู่บ้านที่มีสถานภาพสูงและแทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเกมกีฬาไก่ชน ยังเรียกเกียร์ซเข้าไปในบ้านของเขาเพื่อสอบถามเหตุการณ์วันนั้นด้วยอาการสนใจใคร่รู้และพออกพอใจอย่างยิ่งกับพฤติกรรมของเกียร์ซ

ในบาหลีนั้น การล้อเล่นกันได้คือการยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน การวิ่งหลบหนีในฐานะคนที่ทำความผิดอาจไม่ใช่เรื่องถูกต้องนัก แต่มันก็ทำให้เกียร์ซกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างองอาจ

deepplay02

ความสัมพันธ์ระหว่างไก่กับคนในบาหลีนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก คำว่าซาบุง (Sabung) ที่แปลว่าไก่ในภาษาถิ่นนั้น เป็นคำเดียวกับที่แปลได้ว่าวีรบุรุษหรือผู้กล้าหรือนักรักผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ชายที่ฝืนกระทำการในสิ่งที่เกินตัวจนตัวตายนั้นได้รับการยกย่องและเปรียบเทียบไม่ต่างจากไก่ที่กระโดดเข้าสู้ศึกจนวาระสุดท้าย ส่วนหนุ่มที่ไม่ประสีประสาในความรักก็จะถูกเปรียบเทียบเป็นไก่อ่อน แทบทุกเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์สังคมบาหลีจะถูกเปรียบเทียบกับไก่ชน ชนชาวบาหลีแทบจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเลี้ยงดูฟูมฟักไก่ของเขาจนแทบจะกินนอนกับมัน เกียร์ซบอกว่าถ้าเห็นผู้ชายบาหลีนั่งล้อมวงกันตามถนนละก็ เราจะเห็นไก่อยู่ในอ้อมแขนของพวกเขาด้วย หากไม่นั่งลูบขน ผู้เป็นเจ้าของก็จะนวดขามัน หรือไม่ก็ปลุกสัญชาตญาณนักสู้ของมันด้วยการยั่วไก่ของคนอื่น พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อไก่เหมือนสัตว์ทั่วไป ๆ แต่ปฏิบัติต่อมันเหมือนเป็นดังอวัยวะส่วนหนึ่งเลยทีเดียว

ไก่ชนจะถูกเลี้ยงไว้ในสถานที่มิดชิดและมีการให้อาหารเฉพาะตามสูตรของผู้เลี้ยง อย่างไรก็ตามอาหารมักเป็นข้าวโพดที่ต้องทำความสะอาดมากกว่าที่คนกินเสียอีก พริกจะถูกเสียบไว้ที่ปากและก้นเป็นระยะเพื่อกระตุ้นอารมณ์ต่อสู้ของมัน น้ำที่ใช้อาบให้ไก่เป็นน้ำสมุนไพร มีทั้งกลิ่นดอกไม้ กลิ่นหัวหอมที่เชื่อว่าเพิ่มความแข็งแรงและกำลังวังชา เดือยของไก่ที่ชนะและเป็นไก่จ้าวสังเวียนจะถูกเหลาแต่งไม่ต่างจากการเจียระไนเพชรโดยช่างผู้ชำนาญ ผู้เลี้ยงไก่จะเดินวนเวียนอยู่รอบไก่ตลอดวันเพื่อพามันไปพบกับแดดและลมที่เหมาะสม เจ้าของบ้านเช่าของเกียร์ซให้คำอธิบายว่าเขาเป็นคนที่บ้าไก่ ชาวบาหลีทุกคนเป็นคนบ้าไก่

ในวันเทศกาลเข้าเงียบในบาหลีที่มีชื่อเรียกว่าเทศกาลเยปี (Nyepi) ก่อนที่ทุกคนจะนั่งเงียบ ๆ โดยไม่เคลื่อนกายเพื่อไม่ให้สัมผัสกับวิญญาณร้ายนั้น จะมี

การชนไก่อย่างครึกครื้นก่อนวันเทศกาลในทุกหมู่บ้าน อันเป็นสัญญาณของการปลดปล่อยความรุนแรงและก้าวร้าวออกไปให้หมดเพื่อเข้าสู่ความบริสุทธิ์ ด้วยความเชื่อว่าการชนไก่นั้นเป็นการรวมพลังสร้างสรรค์ของมนุษย์กับพลังทำลายล้างของสัตว์ป่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าการชนไก่นั้นข้องเกี่ยวกับพิธีกรรมคือ หลังรู้ผลแพ้ชนะแล้ว เจ้าของไก่ที่ชนะมีสิทธิ์จะนำซากของไก่ผู้แพ้ไปกินเพื่อเสริมพลังและกำจัดสิ่งชั่วร้ายในบ้านเรือนด้วยการชนไก่ในเกาะบาหลีจะทำในลานเวทีวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑๕ ฟุต การตีไก่จะเริ่มในเวลาบ่ายหรือก่อนพระอาทิตย์ตกดินราว ๓-๔ ชั่วโมง ไก่ที่ประกบคู่นั้นจะมีราว ๙-๑๐ คู่ เมื่อการเปรียบไก่เรียบร้อยแล้วจะมีการติดคมมีดที่เดือย วิธีการติดคมมีดอันคมกริบนั้นต้องอาศัยผู้ชำนาญการที่ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ และถ้าไก่ตัวนั้นชนะ เจ้าของจะมอบใบมีดของไก่ที่แพ้ให้แก่ผู้ที่ติดใบมีดให้ นอกจากนั้นใบมีดนี้ยังเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่จะลับคมได้ก็แต่ในคืนวันพระจันทร์ดับหรือคืนที่มีจันทรคราสเท่านั้น

เมื่อไก่ถูกปล่อยลงในวง กะลาที่ใส่น้ำและได้เจาะรูที่ก้นไว้เรียบร้อยแล้วจะเริ่มถูกใช้เพื่อนับเวลา หลังจากนั้นไก่จะเริ่มสำแดงลีลาของมันทั้งการลอยตัว การโจมตี การเข้าคลุกวงใน ระหว่างพักยกเจ้าของไก่หรือผู้ช่วยจะเย็บแผล ดูดเลือดที่คั่งอยู่ในหัวมันออก โดยปรกติแล้วไก่ที่เข้าโจมตีก่อนและมีอาการคึกคักกว่ามักจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ไก่ที่ป้อแป้อาจฮึดสู้และชนะในนาทีสุดท้ายก็เป็นได้ ตลอดเวลาการชม ผู้ชมจะเคลื่อนที่ไปรอบเวที เสียงเชียร์โห่ร้องอย่างลืมตัวดังขึ้นตลอดเวลา หลายครั้งด้วยซ้ำที่เหล่ากองเชียร์อาจสูญเสียดวงตาหรือนิ้วเพราะเข้าใกล้การโจมตีของไก่มากเกินไป กฎเกณฑ์การตีไก่ ตำราและวิธีเลี้ยงไก่ถูกจดจารในคัมภีร์ใบลานและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นไม่ต่างจากคัมภีร์ศาสนา อย่างไรก็ตามการชนไก่ในบาหลีไม่มีทางสืบทอดยืนยาวมาได้จนถึงบัดนี้หากขาดสิ่งที่เรียกว่าการพนัน

การพนันในวงไก่แบ่งเป็น ๒ แบบ แบบแรกคือการพนันโดยวางกองกลางที่เจ้าของไก่ลงประกบกัน อีกแบบคือการพนันระหว่างผู้ชมรอบ ๆ เวที แบบแรกจะเป็นเงินจำนวนมาก แบบหลังไม่มากมายนัก ในขณะที่แบบแรกเป็นไปอย่างซื่อตรง เงียบเชียบ อีกแบบจะเป็นไปอย่างบิดเบี้ยวและโหวกเหวกโวยวายตลอดเวลา เงินพนันแบบแรกระหว่างเจ้าของไก่ซึ่งรวมผู้ถือหางไว้ด้วยมีมูลค่าตั้งแต่ ๕๐-๕๐๐ ริงกิต และมักอยู่ที่ราว ๘๕ ริงกิต โดยแต่ละคนมักจะร่วมแทงอย่างต่ำตั้งแต่ ๑๕-๓๕ ริงกิต สำหรับวงเล็ก และราว ๗๕-๑๗๕ ริงกิตสำหรับวงใหญ่ หากคิดว่าการละเล่นไก่ชนมีขึ้นแทบทุก ๒-๓ วัน และประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้เพียง ๓ ริงกิตต่อวัน เราก็จะเห็นว่าการพนันชนไก่นั้นเป็นตัวดูดเงินมากเพียงใด

การพนันรอบวงนั้นเป็นไปในลักษณะที่ขึ้นอยู่กับแต่ละคู่และแต่ละยก โดยมีราคาต่อรองนับแต่ ๑๐-๙ จนถึง ๒-๑ คนที่ตะโกนเป็นครั้งแรกจะตะโกนเพื่อหาคนต่อรอง ราคาต่อรองจะขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อการชนดำเนินไป ราคาต่อรองกองกลางที่สูงมาก ๆ จะแสดงให้เห็นว่าการชนไก่นั้นสำคัญเพียงใด ความสำคัญของเงินกองกลางเช่นนี้ คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ เรียกว่า Deep Play หรือการพนันอันส่งผลล้ำลึกหรืออุกฤษฏ์ คำว่า Deep Play นั้นปรากฏเป็นครั้งแรกโดย เจเรมี เบนแทม (Jeremy Bentham) นักจริย-ศาสตร์ชาวอังกฤษได้ใช้คำนี้เพื่ออธิบายการพนันที่มีราคาต่อรองสูงเกินจริง หรือการใช้เงินเกินมูลค่าไปในกิจการใดก็ตาม ทว่าในกรณีของไก่ชน การใช้เงินจำนวนมากไปกับการพนันไม่ได้หมายความว่าชาวบาหลีไม่ใส่ใจเรื่องเงินทอง หากแต่หมายถึงว่าการพนันชนไก่นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องหน้าตา เป็นเรื่องแสดงฐานะทางสังคม แม้แต่นักพนันก็มีการแบ่งเป็นหลายสถานะเช่นกัน ฐานะต่ำสุดเช่นบรรดาเด็กและผู้หญิงที่มักพนันอยู่ตามเกมพนันรอบ ๆ วง อาทิเช่นปั่นแปะหรือทอยลูกเต๋า ถัดมาคือนักพนันที่มักพนันได้แต่วงเล็กหรือวงขนาดกลาง และฐานะสูงสุดคือนักพนันมือเติบที่ปรากฏตัวอยู่ในวงใหญ่เท่านั้น เป็นต้น

ด้วยการแบ่งเช่นนี้ทำให้การชนไก่เป็นกระบวนการเลื่อนฐานะทางสังคมและการเปลี่ยนกลุ่มในทางสังคมด้วย เกียร์ซได้ตั้งข้อสังเกตหลายประการต่อกีฬาชนไก่อันลึกซึ้งหรือปักษากรีฑานี้ ดังเช่น ผู้แทงจะต้องไม่แทงฝั่งตรงข้ามกับไก่ที่เป็นของญาติหรือพี่น้องตนเอง ผู้แทงต้องแทงสนับสนุนไก่ของพี่น้องหรือเพื่อนสนิท ผู้แทงจะต้องสนับสนุนไก่ที่มาจากภายในหมู่บ้านของตนหากมีการชนกับไก่จากต่างถิ่น และจะต้องร่วมมือหาไก่ที่ดีที่สุดมารับมือไก่ต่างถิ่นอย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาเกียรติภูมิของหมู่บ้าน แม้จะน้อยครั้งที่เกิดแต่ก็อาจเป็นไปได้ที่ไก่ต่างถิ่นทั้งสองตัวจะมาตีกันในที่ที่เป็นกลาง ในเกมแบบนั้นเป็นเกมที่ไม่ควรแทงด้วยเดิมพันสูง และก็เช่นเดียวกันที่อาจจะมีไก่จากเล้าเดียวกันหรือจากญาติพี่น้องมาทำศึกกันเอง ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องแทงหนักและถือว่าเป็นเกมอุ่นเครื่องเท่านั้น ไก่ที่มาจากต่างถิ่นจะต้องมีดี หาไม่แล้วจะกล้าเดินทางไกลมาได้อย่างไร และแน่นอนย่อมมีกองเชียร์มากมายตามมาด้วย ดังนั้นเจ้าของไก่ในหมู่บ้านต้องตั้งรับอย่างดี ยิ่งมาไกลเท่าใดยิ่งน่ากลัวมากเพียงนั้น ดังนั้นไม่ควรผลีผลามในการแทง

เกียร์ซยังได้ให้ความเห็นอีกมากเกี่ยวกับการชนไก่อาทิเช่น ยิ่งสถานะของเจ้าของไก่ใกล้เคียงกันมากเพียงใดและเป็นคนกว้างขวางใหญ่โตมากเพียงใด การพนันก็จะทวีความสำคัญมากขึ้นด้วย หรือเป็น Deep Play ที่ลึกซึ้งมากเพียงนั้น การเล่นที่ลึกซึ้งจะมีผลดังนี้ มันอาจทำให้เจ้าของไก่กลายสถานะหรือสูญเสียสถานะเป็นสิ่งใดก็ได้ เกียร์ซเห็นว่าการละเล่นชนไก่นั้นคือแบบจำลองการต่อสู้ชีวิตของชนชาวบาหลี เขายกตัวอย่างเจ้าชายไก่ชนคนหนึ่งที่สามารถกอบกู้บัลลังก์ที่สูญเสียจากการชนไก่ได้ และหลังจากขึ้นสู่อำนาจแล้ว เขาก็ได้สนับสนุนการชนไก่อย่างกว้างขวางเพื่อเป็นการตอบแทนคุณความดีของกีฬาชนิดนี้

deepplay03
The Interpretation of Cultures ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.๑๙๗๐

deepplay04
Of Mice and Men ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.๑๙๗๗

การเล่าเรื่องการชนไก่ที่เป็นดังวรรณกรรมมากกว่ารายงานทางมานุษยวิทยานี้อยู่ในบทความชื่อ “Deep Play: Notes on the Balinese Cockfight” ในหนังสือชื่อ “การตีความทางวัฒนธรรม” (The Interpretation of Cultures) ของนักมานุษยวิทยานามว่า คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ เกียร์ซเป็นนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน เขาเกิดที่ซานฟรานซิสโกในปี ค.ศ. ๑๙๒๖ และดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ในปี ๑๙๗๐-๒๐๐๐ ที่มหาวิทยาลัยในพรินซตัน ในปี ๑๙๕๘ เขาและภรรยาเดินทางไปทำวิจัยด้านมานุษยวิทยาที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย บทความชื่อ “Deep Play” ชิ้นนี้ เกียร์ซได้เขียนเล่ารายงานในฐานะนักมานุษยวิทยา ทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคืออรรถรสในการเล่านั้นหาได้ชาด้านดังงานทั่วไปในสาขานั้นไม่ หากแต่กลับมีรสชาติเยี่ยงวรรณกรรมอยู่เต็มเปี่ยม ดังในบทที่ ๒ ของงานชิ้นนี้ที่เขาจงใจใช้ชื่อบทว่า “Of Cocks and Men” ล้อเลียนวรรณกรรมเลื่องชื่อของ จอห์น สไตนเบ็ค (John Steinbeck) เรื่อง Of Mice and Men กระบวนการบรรยายความในงานชิ้นนี้ได้กลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกของงานเขียนทางด้านมานุษยวิทยาที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “Thick Description”