เรื่อง : จักรพันธุ์ กังวาฬ
ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง

teamtpl00

เบื้องหลังการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก นักเตะทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ซ้อมทีมที่สนามเหย้า

มวลอากาศทั่วทั้งสนามฟุตบอลอัดแน่นด้วยความตื่นเต้นระทึก

กระทั่งแตกระเบิดเป็นเสียงเชียร์กระหึ่มก้องจากผู้ชมนับหมื่นรอบอัฒจันทร์

ยิ่งยามที่นักเตะทีมเจ้าบ้านพาบอลบุกทะลุทะลวงใกล้ถึงประตูคู่ต่อสู้ เสียงโห่ร้องจากกองเชียร์ก็ยิ่งดังกึกก้องหนักหน่วงเหมือนฟ้าถล่มทลาย

ธงตราสโมสรผืนใหญ่ที่โบกสะบัด เสียงเพลงเชียร์ที่ดังขึ้นต่อเนื่องเพลงแล้วเพลงเล่า เสียงปรบมือ เสียงเป่าปาก เสียงกรีดร้อง เสียงโห่ฮายามทีมที่เชียร์ถูกทำฟาวล์ กระทั่งเสียงตะโกนด่าทออย่างฉุนเฉียว บ่งบอกได้ว่ากองเชียร์รอบสนามมีอารมณ์ร่วมกับเกมฟุตบอลเพียงใดตลอดเวลา ๙๐ นาทีของการแข่งขัน

เหล่านี้คือบรรยากาศในการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล ๒๕๕๔ ระหว่างคู่บิ๊กแมตช์หลายสนามที่เราเข้าไปนั่งชมบนอัฒจันทร์

ฟุตบอลไทยในวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แตกต่างลิบลับกับสมัยเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน ที่ว่ากันว่าการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรของไทยนั้นแม้เปิดให้เข้าชมฟรี แต่จำนวนนักเตะในสนามรวมกันยังมากกว่าจำนวนผู้เข้าชมเสียอีก

ทว่าการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกหรือฟุตบอลลีกอาชีพสูงสุดของไทยในยุคนี้กลับมาได้รับความนิยม ดึงดูดกองเชียร์จำนวนมากไปยังสนามทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีการแข่งขัน  ด้วยรูปแบบการเล่นฟุตบอลที่สนุก รวดเร็ว เร้าใจ  นักฟุตบอลไทยและต่างชาติแต่ละคนเต็มเปี่ยมด้วยทักษะความสามารถเฉพาะตัวผสานความแข็งแกร่ง  ทีมฟุตบอลแต่ละทีมก็เล่นกันอย่างมีระบบ ด้วยแผนการเล่นอันซับซ้อนหลากหลายและสร้างสรรค์

ยิ่งฟุตบอลอาชีพสมัยใหม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทางธุรกิจจำนวนมหาศาล แต่ละสโมสรในไทยพรีเมียร์ลีกก็ยิ่งต้องเร่งสร้างและพัฒนาให้ทีมของตนเล่นดีขึ้น เก่งขึ้น ยืนระยะแข่งขันกับทีมอื่นเพื่อไต่ตารางอันดับขึ้นไปถึงจุดสูงที่สุด หรืออย่างน้อยก็รักษาอันดับไม่ให้ตกชั้นจากลีกสูงสุดของประเทศไทย

ทีมฟุตบอลยิ่งเก่ง เล่นสนุก ยิ่งชนะคู่แข่งครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยิ่งเป็นที่นิยม มีกองเชียร์ซื้อตั๋วเข้าชมจำนวนมาก สปอนเซอร์ก็ยิ่งให้ความสนใจ จึงน่าสนใจว่าแต่ละสโมสรในไทยพรีเมียร์ลีกมีแนวทางการสร้างทีมฟุตบอลของตนอย่างไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จ

 

teamtpl02

การฝึกซ้อมประจำวันของนักฟุตบอลทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ มีทั้งการฝึกทักษะและแท็กติกที่จะใช้ในการแข่งขัน

๑.

“เฮ้ย วันนี้อย่าประมาท ถ้าเสมอแบบมีสกอร์เราตกรอบทันทีนะเว้ย เพราะฉะนั้นต้องเพรสซิงเขามากๆ แล้วเล่นให้เร็ว แล้วรีบทำให้ได้ตั้งแต่ครึ่งแรก เพราะถ้าเราชนะแมตช์นี้ เข้าไปรอบหน้าก็จะเบาขึ้น

“เพราะฉะนั้นนี่ คนที่ลงไปเล่น พยายามอย่าทำให้เพื่อนต้องมาเหนื่อยในครึ่งหลัง ขอให้ทุ่มเทกัน แล้วก็ตั้งใจ อย่าประมาทคู่ต่อสู้นะ แม้เขาจะอยู่ท้ายตารางของดิวิชัน ๑ แต่ว่าฟุตบอลลูกกลมๆ แล้วสนามลื่น วันนี้ขอให้ทุกคนตั้งใจช่วยกัน แล้วเชื่อมั่นในทีม แล้วก็ทุ่มเทให้เต็มที่  เฮ้ย วันนี้ต้องการชนะ เข้ารอบอย่างเดียว ไป !”

เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ กล่าวให้โอวาทและกระตุ้นเร้านักฟุตบอลในห้องแต่งตัว ด้วยน้ำเสียงและท่าทีขึงขังดุดัน

เมื่อนักเตะทีมบุรีรัมย์ฯ วิ่งพ้นประตูอาคารห้องพักนักกีฬาออกไปสู่สนามโล่งกว้าง กองเชียร์ในชุดเสื้อสีน้ำเงินที่มองเห็นเนืองแน่นแทบเต็มความจุกว่า ๒ หมื่นที่นั่งรอบอัฒจันทร์สนามไอ-โมบาย สเตเดียม ก็พร้อมใจส่งเสียงเชียร์และปรบมือต้อนรับดังกึกก้อง

พุธที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ วันนี้ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ในฐานะทีมเจ้าบ้าน ต้อนรับการมาเยือนของทีมเชียงใหม่ เอฟซี สังกัดดิวิชัน ๑ ในรายการแข่งขันฟุตบอลถ้วยโตโยต้าลีกคัพ ๒๐๑๑ ที่สนามไอ-โมบาย สเตเดียม จังหวัดบุรีรัมย์

แม้คู่แข่งอย่างเชียงใหม่ เอฟซี สังกัดดิวิชันต่ำกว่า แต่การแข่งฟุตบอลถ้วยถ้าแพ้เป็นอันว่าตกรอบ ไม่มีการแก้ตัว ท่านประธานเนวินจึงกำชับลูกทีมไม่ให้ประมาท

ตลอดเกมการแข่งขันกว่า ๙๐ นาทีในวันนั้น ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ เจ้าของฉายา “ปราสาทสายฟ้า” ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล บุษปาคม แสดงความเหนือกว่าคู่แข่งจากดิวิชัน ๑ อย่างเห็นได้ชัด  พวกเขาคุมเกมได้อยู่หมัด บดขยี้คู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องด้วยเกมรุกหลากหลายรูปแบบ ราวกับเป็นเครื่องจักรสังหารประตู กระทั่งชนะไปด้วยสกอร์ ๓ ต่อ ๑ ประตู

ต่อจากนั้นจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการฉลองชัยชนะกันอย่างสมใจทั้งฝ่ายกองเชียร์ นักเตะ สตาฟฟ์โค้ช และประธานสโมสร

นับตั้งแต่อดีตนักการเมืองชื่อดังคับประเทศอย่าง เนวิน ชิดชอบ หันมาทำทีมฟุตบอล โดยเข้าครอบครองกิจการสโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อปี ๒๕๕๒ เปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ และย้ายทีมมาอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์

ทีม “ปราสาทสายฟ้า” กลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่พุ่งแรงเพราะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยสร้างผลงานเป็นรองแชมป์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล ๒๐๑๐ และรองแชมป์ฟุตบอลโตโยต้าคัพ ๒๐๑๐

ปีต่อมาในการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล ๒๐๑๑ ทีมบุรีรัมย์ฯ ยิ่งเป็นที่จับตา เพราะเดินหน้ากวาดชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า ได้คะแนนนำรั้งอันดับ ๑ มาตั้งแต่ต้นฤดูกาลจนถึงปลายเลกสอง อีกทั้งยังเข้ารอบลึกของฟุตบอลถ้วยเอฟเอคัพและโตโยต้าลีกคัพ กลายเป็นทีมที่มีสิทธิ์ลุ้นแชมป์ถึง ๓ รายการในฤดูกาลเดียวกัน

กล่าวได้ว่าในบรรดาสโมสรฟุตบอลทั้ง ๑๘ ทีมที่สังกัดไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล ๒๐๑๑ ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ได้ขึ้นชั้นเป็นมหาอำนาจลูกหนังที่กระหายความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่ง

กระทั่งหลังแมตช์การแข่งขันในวันที่ ๓ สิงหาคม เรามีโอกาสเข้าแคมป์เก็บตัวของทีมปราสาทสายฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสนามไอ-โมบาย สเตเดียม ไม่กี่กิโลเมตร เพื่อสังเกตการณ์การฝึกซ้อมของนักเตะ รวมทั้งพูดคุยกับประธานเนวินและโค้ชแต๊ก อรรถพล บุษปาคม

โค้ชแต๊กเผยว่า หัวใจแห่งความสำเร็จของทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ประกอบด้วย ๔ ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ๑. คุณภาพของผู้เล่น  ๒. การบริหารจัดการภายในสโมสร  ๓. วินัย  และ ๔. การดูแลสุขภาพร่างกายนักฟุตบอลให้อยู่ในสภาพแข็งแกร่งมากที่สุด โดยอาศัยศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา

แง่ความสำเร็จด้านการบริหารจัดการอาจวัดจากความเพียบพร้อมทุกด้านของสโมสรแห่งนี้ ไม่ว่าสนามไอ-โมบาย สเตเดียม ที่สร้างตามมาตรฐานของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC)  แคมป์เก็บตัวที่ประกอบด้วยอาคารห้องพักเป็นสัดส่วน มีห้องอาหาร ห้องฟิตเนส และสนามฝึกซ้อมอยู่ภายในบริเวณ รวมทั้งทีมงานเปี่ยมประสบการณ์ ทั้งกลุ่มสตาฟฟ์โค้ช ฟิตเนสโค้ช นักกายภาพบำบัด และผู้ดูแลด้านโภชนาการ

ในแง่ตัวผู้เล่น นักเตะทีมบุรีรัมย์ฯ ชุดนี้ถือว่ามีคุณภาพครบเครื่องมากที่สุด ไล่เรียงตั้งแต่กองหลังที่ประกอบด้วยคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟอย่าง แอนเดอร์สัน ดอส ซานโต๊ส นักเตะชาวบราซิล และ โอบามา แฟรงค์ ฟลอเรนต์ นักเตะแคเมอรูน ซึ่งทั้งคู่เล่นได้อย่างเหนียวแน่น อ่านทางบอลดี สกัดบอลเด็ดขาด

แผงมิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติไทย ทั้ง รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค, สุเชาว์ นุชนุ่ม หรือ จักรพันธ์ แก้วพรม ที่ขับเคลื่อนเกมด้วยการต่อบอลและจ่ายบอลอย่างแม่นยำและลื่นไหล

กองหน้าสุดอันตรายอย่าง แฟรงค์ โอฮันซา นักเตะแคเมอรูน และ แฟรงค์ อาเชมปง นักเตะกานา ซึ่งถึงแม้ยังอายุน้อยแต่มีฝีเท้าเร็วจัดและความสามารถเฉพาะตัวสูงมาก

นักเตะเหล่านี้บางส่วนเป็นผู้เล่นเดิมของสโมสรฟุตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กับนักเตะที่ถูกซื้อเข้ามาใหม่เพื่อเสริมทีมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตามระบบการทำทีมและวิสัยทัศน์ของประธานเนวิน และโค้ชแต๊ก

“ผมได้รับการทาบทามจากท่านประธานสโมสรให้เข้ามาคุมทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ได้ประมาณปีครึ่ง” โค้ชแต๊กกล่าว “เดิมทีมนี้มีรูปแบบการเล่นค่อนข้างช้า เล่นบอลหลายจังหวะ และเน้นการป้องกัน เมื่อผมเข้ามาคุมทีมก็เปลี่ยนแท็คติกและสไตล์การเล่น ให้เล่นเกมรุกที่รวดเร็ว และมีรูปแบบการบุกที่หลากหลาย”

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้ฟุตบอลสมัยใหม่มันเปลี่ยนไปแล้ว วิเคราะห์ได้จากหลายๆ ทีมที่เปลี่ยนแท็กติกใหม่ เป็นการเล่นเกมรุกที่รวดเร็ว ฉวยโอกาสทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนจากเกมรับไปสู่เกมรุก ดังนั้นทีมของเราต้องเล่นให้เร็วกว่าคู่ต่อสู้ และความแน่นอนของการทำประตูในจังหวะสุดท้ายก็ต้องดีกว่าคู่ต่อสู้”

งานช่วงแรกของโค้ชแต็กก็คือการเปลี่ยนทัศนคติของผู้เล่น ให้พวกเขาเข้าใจแท็กติกใหม่ของทีมที่เน้นการเล่นเกมรุกที่รวดเร็วและหลากหลาย จากนั้นจึงออกแบบการฝึกซ้อมให้สอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว

“ที่สำคัญคือตัวผู้เล่นจะต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เกมรุกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเจาะเข้าทำจากกลางสนาม หรือการเล่นด้านข้างสนาม การเล่นในเขตกรอบประตูคู่ต่อสู้ก็ต้องเน้นการส่งบอลให้แน่นอน

“ในส่วนแท็กติกหลักของทีม เรากำหนดไว้เลยว่าจะต้องเล่นสไตล์แบบนี้ แต่จะมีแท็กติกบางอย่างที่เราต้องปรับเปลี่ยน ขึ้นอยู่กับสไตล์ของคู่แข่งที่เราจะพบในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นทีมชลบุรี เอฟซี หรือเมืองทอง ยูไนเต็ด เราจะศึกษาข้อมูลของทีมเขา เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนแท็กติกการเล่นของทีมเรา”

หลังทำศึกฟุตบอลถ้วยโตโยต้าลีกคัพ เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ มีเวลาพักและฝึกซ้อมอีกเพียง ๒ วัน ก่อนมีกำหนดเปิดบ้านเป็นทีมเหย้า รับการมาเยือนของทีมขอนแก่น เอฟซี ในรายการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ในวันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม

เราถามโค้ชแต๊กว่า เตรียมแผนรับมือทีมขอนแก่นฯ อย่างไร

เขาอธิบายขั้นตอนในภาพกว้างว่า “เริ่มแรกเรามีทีมสเก๊าต์ (scout) ที่ส่งไปดูการแข่งขันนัดก่อนของทีมคู่ต่อสู้ถึงในสนาม รวมทั้งนำเทปการแข่งขันมาเปิดดู สตาฟฟ์โค้ชจะประชุมเพื่อวิเคราะห์ว่าคู่ต่อสู้เล่นฟุตบอลอย่างไร มีจุดเด่นจุดด้อยตรงไหน ผู้เล่นคนไหนเล่นเป็นอย่างไร จากนั้นเรานำข้อมูลเหล่านี้มาใช้วางแผนในการฝึกซ้อม เพื่อให้นักฟุตบอลของเราเข้าใจแต่เนิ่นๆ สามารถรับมือกับจุดแข็งและเอาชนะจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้”

กระทั่งเย็นวันที่ ๔ สิงหาคม เราติดตามมาดูการซ้อมของทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ที่สนามไอ-โมบาย สเตเดียม

ประมาณห้าโมงเย็น นักกายภาพบำบัดประจำทีมเริ่มนำนักฟุตบอลทำท่าออกกำลังกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ต่อด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งรอบสนาม แบ่งกลุ่มเล่นลิงชิงบอล และซ้อมการทำชิ่งรูปแบบต่างๆ

“เย็นนี้คงซ้อมอะไรมากไม่ได้” โค้ชแต๊กบอกเรา “เพราะเมื่อวานเพิ่งแข่งมา การซ้อมวันนี้จึงเน้นเรื่องการฟื้นฟูสภาพร่างกายรอแข่งในวันเสาร์นี้ ให้ร่างกายผู้เล่นสมบูรณ์มากที่สุด”

ตามปรกติหากมีระยะเวลาก่อนแข่ง ๔-๕ วัน การฝึกซ้อมของทีมจะมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการฝึกฟิตเนส การฝึกซ้อมแท็กติก เช่น การบุกทะลุทะลวงเข้าทำประตูคู่แข่งด้วยรูปแบบต่างๆ

เย็นวันนั้นนอกจากเหล่านักเตะและทีมสตาฟฟ์โค้ชแล้ว เรายังเห็นประธานสโมสร เนวิน ชิดชอบ ตามมาดูแลการฝึกซ้อมของลูกทีมอย่างใกล้ชิดถึงในสนาม

เมื่อประธานเนวินแวะมาทักทายพวกเราด้วยท่าทางอารมณ์ดี การพูดคุยเรื่องการสร้างทีมฟุตบอลจึงเริ่มต้นขึ้น
ที่ริมสนามซ้อม แล้วต่อเนื่องไปถึงมื้อข้าวเย็นที่ร้านอาหารในตัวจังหวัด

สำหรับแฟนบอลชาวบุรีรัมย์คงคุ้นตาภาพที่ เนวิน ชิดชอบ ปรากฏตัวในสนามทุกครั้งที่ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ลงแข่งขัน ไม่ว่านัดเหย้าหรือนัดเยือน เป็นบทพิสูจน์อย่างดีถึงความทุ่มเทที่เขามีต่อสโมสรฟุตบอลที่ตนเองปลุกปั้นขึ้นมา

“มันไม่มีประธานสโมสรฟุตบอลคนไหนมานั่งตากแดดเฝ้าเด็กซ้อมอยู่ในสนาม” ประธานเนวินเริ่มบทสนทนาด้วยท่าทีถึงลูกถึงคนตามแบบฉบับ  “บางคนกล่าวหาว่าพี่มาทำทีมฟุตบอลเพราะติดโทษแบนทางการเมือง ถ้าคนไม่มีอะไรทำ มาเพียงแค่เว้นวรรคทางการเมือง จะบ้าขนาดนี้ไหม จะทำอะไรใหญ่โตขนาดนี้ไหม”

ก่อนหน้านี้แฟนพันธุ์แท้ของทีมปราสาทสายฟ้ารายหนึ่งเคยบอกเราไว้ว่า ที่ทีมประสบความสำเร็จก็เพราะท่านเนวินใจถึง กล้าตัดสินใจซื้อนักเตะเก่งๆ เข้าทีม

ขณะที่โค้ชแต๊กก็เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสริมทัพนักเตะของทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ไว้ว่า

“รู้อยู่ว่าตอนนี้ฟุตบอลไทยลีกค่อนข้างเติบโตเร็ว โอกาสที่เราจะสร้างนักเตะขึ้นมาเองมันต้องใช้เวลา ท่านประธานเนวินเข้ามา ท่านต้องการความสำเร็จ ปีหนึ่งผ่านไปต้องมีความสำเร็จแล้ว นี่คือปรัชญาที่ทำให้ช่วงแรกเราอาจต้องดึงผู้เล่นที่มีศักยภาพเข้ามาก่อน แต่ในอนาคตเราต้องพัฒนาอะคาเดมีของเราให้แข็งแกร่งเพื่อที่จะสร้างนักฟุตบอลรุ่นเด็กให้สอดคล้องกับทีมชุดใหญ่”

ค่ำวันนี้เรามีโอกาสถามประธานเนวินที่โต๊ะอาหาร เรื่องแนวความคิดในการซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทีม เขาแสดงทัศนะอย่างน่าสนใจ

“ไอ้เรื่องทำอะไรนี่ มันคิดใหญ่ได้ใหญ่ คิดเล็กได้เล็ก ถ้าเราคิดตามหลักธุรกิจ หรือหลักการตลาด ถ้าทีมฟุตบอลคุณไม่เก่ง ไม่มีซูเปอร์สตาร์ คุณก็ไม่มีแฟนบอล แล้วก็ไม่มีสปอนเซอร์ มันเป็นเรื่องไก่กับไข่  ดังนั้นเราจึงตัดสินใจว่า เฮ้ย ทำให้ทีมนี้ใหญ่ ทีมนี้เก่ง มีซูเปอร์สตาร์ พอเรามีทุกอย่าง เราก็มีแฟนบอล แน่นอนสปอนเซอร์ก็ต้องเห็นว่าทีมใหญ่ทีมนี้มีแฟนเยอะ ก็จ่ายสปอนเซอร์ให้เราเยอะ มันเป็นการครีเอตแบรนด์น่ะ”

นอกจากนั้นประธานเนวินยังเผยแนวคิดในการซื้อนักเตะต่างชาติเข้าทีมด้วยว่า เขาไม่ต้องการนักเตะชื่อดังที่อยู่ในวัยกำลังร่วงโรย แต่สนใจนักเตะดาวรุ่งอายุน้อยมากกว่า โดยเฉพาะเด็กจากทวีปแอฟริกา เช่น ประเทศกานา แคเมอรูน เซเนกัล ไอวอรีโคสต์ โดยจะมีแมวมองและเอเยนต์ส่งรายชื่อมาให้พิจารณา

“นักเตะต่างชาติที่พี่ต้องการ ต้องมีอายุไม่เกิน ๒๔ และมีดีกรีทีมชาติ อย่างน้อยติดทีมชาติชุดเยาวชน คือเป็นซูเปอร์สตาร์รุ่นเด็ก ส่วนใหญ่อายุ ๑๘-๑๙-๒๐ ปี”

นักเตะแอฟริกันที่อายุยังน้อยมักมีค่าตัวไม่แพง มีอายุการใช้งานอีกนาน ที่สำคัญคือมีความแข็งแกร่ง และกระหายความสำเร็จ  นอกจากนั้นหากคิดในเชิงธุรกิจ สโมสรยังได้กำไรจากการขายนักเตะแก่ทีมอื่น

“อย่าง แฟรงค์ โอแฮนด์ซ่า เพิ่งกลับมาจากไปเล่นฟุตบอลเยาวชนโลกที่ประเทศโคลอมเบีย วันนี้มีทีม (ต่างประเทศ) มายื่นข้อเสนอซื้อตัวกับพี่แล้ว ๗ แสนยูโร มากกว่าราคาตอนที่ซื้อมาประมาณ ๒-๓ เท่า” เนวินยกตัวอย่างให้ฟัง “เด็กต่างชาติที่มาอยู่กับเรา พอพี่ขายได้คนหนึ่ง เราก็มีเงินพอจะมาดูแลอะคาเดมีของสโมสรได้สักครึ่งปีหรือปีหนึ่ง นี่คือวิธีคิดของพี่”

ทว่าสิ่งที่เนวินเห็นว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการสร้างทีมฟุตบอล ก็คือเรื่องวินัยของนักเตะ

“นักเตะไทยโดยเฉพาะคนที่เป็นผู้เล่นทีมชาติ ซูเปอร์สตาร์ทั้งหลายแหล่ มักจะคิดว่าตัวเองเหมือนศิลปิน ใช้ชีวิตแบบไม่ค่อยรักษาสุขภาพ  เราจะเห็นนักฟุตบอลไทยลงสนามแล้วมีปัญหาเรื่องพละกำลัง เล่น ๖๐-๗๐ นาทีก็เป็นตะคริว แต่กติกาของสโมสรเรากำหนดว่า นักฟุตบอลต้องเก็บตัวที่แคมป์สัปดาห์ละ ๕ วัน คุณต้องกินอาหารตามหลักโภชนาการที่สโมสรกำหนดทั้ง ๓ มื้อ ต้องฝึกซ้อมตามเวลาที่สโมสรกำหนด โดยมีการสแกนลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบ

“สมัยก่อนมีนักฟุตบอลที่คิดว่าตัวเองเก่ง รับไม่ได้ โอเค ก็ออกไป แต่เรารักษากติกานี้ไว้ แล้วในที่สุดมันก็สะท้อนให้เห็นว่า ในฤดูกาลที่ผ่านมา บุรีรัมย์ พีอีเอ คือทีมที่แข็งแกร่งที่สุด มีพละกำลังดีที่สุด ไม่เคยมีปัญหาเรื่องผู้เล่นเป็นตะคริว เล่นได้ ๙๐ นาทีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เป็นความแข็งแกร่งซึ่งทำให้เราจบฤดูกาลแรกด้วยการเป็นรองแชมป์ ๒ ถ้วย”

กระทั่งหัวค่ำวันที่ ๖ สิงหาคม ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ พบกับ ทีมขอนแก่น เอฟซี ที่สนามไอ-โมบาย สเตเดียม ท่ามกลางคนดูจำนวน ๑๓,๕๙๓ คน  ลูกทีมของประธานเนวินเอาชนะคู่แข่งไปอย่างไม่ยากเย็นนัก ด้วยสกอร์ ๒ ประตูต่อ ๐ เขยิบเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกไปอีกก้าวหนึ่ง

teamtpl04

นักกายภาพบำบัดกำลังนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อให้นักฟุตบอลก่อนลงสู่สนามแข่ง

teamtpl05ทีมฟุตบอลในปัจจุบันให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์การกีฬา
ในภาพนักเตะทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ลงแช่อ่างน้ำแข็งหลังการฝึกซ้อม
ความเย็นจัดจะช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวจากอาการล้าได้เร็วขึ้น

ท่ามกลางการขับเคี่ยวของสโมสรลูกหนังทั้ง ๑๘ ทีม ในการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล ๒๕๕๔ มีหลายทีมโดยเฉพาะทีมระดับใหญ่ที่ให้ความสำคัญและนำหลักการของวิทยาศาสตร์การกีฬา เช่น การฝึกฟิตเนส การกินอาหารตามหลักโภชนาการ ฯลฯ เข้ามาพัฒนาทีมของตนให้เก่งกาจยิ่งกว่าเดิม เพื่อให้ผู้เล่นมีร่างกายแข็งแกร่ง เพิ่มแรงปะทะในการเบียดแย่งบอล สร้างพละกำลังให้พวกเขามีแรงวิ่งครบ ๙๐ นาที และยืนระยะได้จนจบฤดูกาล

สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดผลแพ้ชนะในเกมฟุตบอลทุกวันนี้

รับรู้กันในหมู่นักข่าวกีฬาฟุตบอลว่า สโมสรบางกอกกล๊าส เอฟซี หรือ “กระต่ายแก้ว” เป็นอีกทีมฟุตบอลหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างสูง

“ถ้านักฟุตบอลฟิต ก็ควบคุมเกมได้ดีกว่า แต่ถ้าไม่ฟิต ก็ไม่อาจบังคับลูกบอลได้ตามต้องการ ทำให้ทั้งทีมรวนไปได้  สมัยนี้นักฟุตบอลมีทักษะไม่ต่างกันมากนัก ดังนั้นทีมใดมีความฟิตมากกว่าก็ส่งผลต่อชัยชนะ”

ราฟาเอล มอนเตโร ฟิตเนสโค้ชชาวบราซิลประจำทีมบางกอกกล๊าสฯ บอกกับเรา

เย็นวันนั้นเราไปเยือนสนามลีโอ สเตเดียม รังเหย้าของทีมกระต่ายแก้วที่จังหวัดปทุมธานี  ภายในห้องทำงานของ
ราฟาเอล มองผ่านหน้าต่างกระจกใสออกไปเห็นนักฟุตบอลทั้งชาวไทยและต่างชาติกำลังฝึกซ้อมอยู่ในสนามหญ้าเทียม ท่ามกลางละอองฝนโปรย

ทีมงานที่ดูแลด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา นอกจากราฟาเอล และผู้ช่วยของเขา คือ “ตั้ม” อนุชิต เรือนก้อน ยังประกอบด้วยนักกายภาพบำบัดและหมอนวดประจำทีม

ราฟาเอลและตั้มบอกเราว่า แต่ละสัปดาห์ผู้เล่นในทีมนอกจากมีตารางฝึกซ้อมฟุตบอลแล้ว ยังมีโปรแกรมฝึกฟิตเนส หรือเรียกว่า ฟิตเนสเทรนนิง (fitness training) ควบคู่ไปด้วย

ฟิตเนสเทรนนิง ประกอบด้วยการฝึกหลายประเภท เพื่อหวังผลที่ต่างกัน

อันดับแรกได้แก่ การฝึกเวตเทรนนิง (weight training) คือการฝึกยกน้ำหนักด้วยเครื่องแมชชีน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย  ราฟาเอลนำเราไปยังห้องฟิตเนสของสโมสรซึ่งตั้งอยู่ติดกับห้องทำงานของเขา ภายในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างใหญ่ติดแอร์เย็นสบาย มีเครื่องแมชชีนสำหรับการฝึกเวตเทรนนิงเรียงรายตามแนวยาวของห้อง  แมชชีนแต่ละเครื่องออกแบบสำหรับการบริหารกล้ามเนื้อแต่ละส่วนด้วยท่วงท่าแตกต่างกัน  นอกจากนั้นยังมีลู่วิ่งไฟฟ้า เครื่องปั่นจักรยาน และอุปกรณ์ออกกำลังกายประเภทอื่นครบครัน ไม่ต่างจากสถานฟิตเนสชื่อดังที่เห็นตามที่ต่างๆ

หัวหน้าโค้ชฟิตเนสชาวบราซิลมีหน้าที่ออกแบบโปรแกรมการฝึกเวตเทรนนิงให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของนักเตะแต่ละคนที่แตกต่างกัน เช่น บางคนอาจต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอก หลัง ไหล่ แต่อีกคนต้องเสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลัง

แต่ละสัปดาห์นักเตะทีมบางกอกกล๊าสฯ จะได้รับการ์ดโปรแกรมการฝึกเวตเทรนนิงของตน เป็นบัตรกระดาษขนาดประมาณฝ่ามือ ซึ่งจะระบุว่าอาทิตย์นี้เขาต้องเข้าห้องฟิตเนสในเวลาใด ออกกำลังด้วยแมชชีนเครื่องใดเรียงตามลำดับ และยังกำหนดน้ำหนัก ท่วงท่า และจำนวนครั้งในการเล่นอีกด้วย

นอกจากการฝึกเวตเทรนนิง ยังมีการฝึกด้านความเร็ว (speed) ความคล่องแคล่วว่องไว (agility) การทรงตัว(balance) แรงระเบิดของพลังขา (power) ความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด (endurance) รวมทั้งฝึกความสัมพันธ์ของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (coordination)

ราฟาเอลอธิบายให้เราฟังว่า ผู้เล่นแต่ละตำแหน่งสมควรได้รับการฝึกซ้อมในรูปแบบเฉพาะ เนื่องจากลักษณะการเคลื่อนที่ในสนามแตกต่างกัน เช่น กองหน้า ที่มักต้องเร่งความเร็วในระยะทางสั้นๆ หนีการประกบของกองหลังเพื่อเข้าทำประตูในกรอบเขตโทษ  ขณะที่แบ็กซ้าย-ขวาต้องวิ่งอย่างต่อเนื่องเป็นระยะทางไกลกว่า เนื่องจากต้องเคลื่อนที่ขึ้นลงตามกราบข้างสนาม  ส่วนมิดฟิลด์นั้นก็วิ่งเป็นระยะสั้นๆ แต่ต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา พยายามต่อบอล-จ่ายบอล และควบคุมเกมในแดนกลางสนาม

หัวหน้าโค้ชฟิตเนสและผู้ช่วยจึงมีหน้าที่ต้องทำการทดสอบด้านฟิตเนสแก่นักฟุตบอล รวมทั้งสังเกตการณ์ระหว่างที่ทีมซ้อมหรือลงแข่งขัน เพื่อประเมินว่าผู้เล่นในทีมมีข้อด้อยด้านใดบ้าง เช่น บางคนความเร็วตกลง แรงปะทะยังไม่ดี หรือปฏิกิริยาตอบสนองช้าไป ก็ต้องเรียกนักเตะคนนั้นมาแยกฝึกพิเศษเพื่อเสริมข้อบกพร่อง

เมื่อเราถามถึง “โจ้ห้าหลา” หรือ ศรายุทธ ชัยคำดี กองหน้าตัวเก่งของทีมบางกอกกล๊าสฯ ซึ่งกำลังนำเป็นดาวซัลโวสูงสุดของไทยพรีเมียร์ลีกอยู่ในขณะนี้ ว่าสภาพร่างกายและความฟิตเป็นอย่างไร ยังต้องพัฒนาจุดไหนบ้าง

ราฟาเอลบอกว่า “ตอนนี้สภาพร่างกายโดยรวมของโจ้ดีอยู่แล้ว แต่เราต้องพยายามพัฒนานักกีฬาอยู่เสมอ  โจ้เล่นเป็นกองหน้า สิ่งที่เราควรฝึกให้เขาเพิ่มประสิทธิภาพก็คือ ปฏิกิริยาตอบสนอง แรงระเบิดในการ take off หรือการออกตัว และเพิ่มความเร็วในการวิ่ง”

ยกตัวอย่างการฝึกซ้อมสำหรับกรณีนี้ ก็คือใช้เครื่องมือที่เรียกว่า resistanceband  ลักษณะเป็นแถบยางยืด นำหัวท้ายมายึดเข้ากับผนัง แล้วให้นักเตะมาฝึกวิ่งหรือพุ่งตัวออกจากที่ ฝืนแรงต้านของสายรัดยางยืดที่คาดลำตัวเขาอยู่

ตั้มอธิบายว่า “เวลาเราฝึก เราต้องพยายามวิ่งให้เร็วขึ้นเพื่อฝืนแรงต้าน ด้วยการซอยเท้าให้เร็วขึ้น พอเราถอดสายรัดออก กล้ามเนื้อจะจำได้ว่าเราต้องพยายามมากเท่าไรในการเอาชนะแรงต้าน เมื่อนักฟุตบอลลงแข่งจริง มันช่วยให้เขาวิ่งได้เร็วกว่าเดิม”

ปรกติแล้วในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลแข่งขัน หรือเรียกว่าช่วงพรีซีซันเป็นช่วงเวลาที่ราฟาเอลกำหนดการทดสอบด้านต่างๆ แก่นักฟุตบอล ไม่ว่าเรื่องความเร็ว พละกำลัง ความคล่องตัว ฯลฯ

การทดสอบสภาพร่างกายนักเตะในทีมยังทำได้ด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดทันสมัย เช่น เครื่องตรวจวัดปริมาณไขมัน
ใต้ผิวหนัง มีอุปกรณ์เป็นตัวหนีบตามจุดต่างๆ บนร่างกาย วัดค่าไขมันใต้ผิวหนังแสดงเป็นตัวเลขบนหน้าจอของเครื่อง จากนั้นนำค่าที่วัดได้ไปเข้าสูตรคำนวณอีกครั้งหนึ่ง

นักเตะคนใดมีปริมาณไขมันในร่างกายเกินค่าเฉลี่ย ต้องเสริมโปรแกรมฝึกพิเศษเพื่อเผาผลาญไขมันล้นเกิน

หรือเครื่องตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ลักษณะเป็นสายคาดหน้าอกและสายรัดข้อมือ โค้ชราฟาเอลจะสุ่มเลือกนักฟุตบอลสองคนให้สวมใส่เครื่องนี้ขณะลงฝึกซ้อมฟุตบอลในแต่ละวัน

ผลลัพธ์อัตราการเต้นของหัวใจที่ตรวจวัดได้ บ่งชี้ให้เห็นว่านักฟุตบอลมีความฟิตเพียงใด หรือทุ่มเทให้แก่การซ้อมขนาดไหน

อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างให้นักฟุตบอลมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด ก็คืออาหารเสริมที่นักเตะไทยพรีเมียร์ลีกยุคนี้คงรู้จักกันดี

ตู้เย็นในห้องทำงานของราฟาเอลใช้เก็บอาหารเสริมนานาชนิด บรรจุในขวดและกระป๋องติดฉลากดูละลานตา
มีทั้งวิตามินเอ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ วิตามินซี วิตามินอี ฯลฯ พาวเวอร์เจลสำหรับเพิ่มพลังงานให้นักเตะระหว่างพักครึ่งการแข่งขัน หรืออาหารเสริมโปรตีนที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อแก่นักกีฬา ฯลฯ

“โปรแกรมการกินอาหารเสริมของนักฟุตบอลแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายหรือตารางการแข่งขัน” ราฟาเอลกล่าว

ฟิตเนสโค้ชชาวบราซิลมีประสบการณ์ทำงานด้านนี้มากว่า ๑๑ ปีแล้ว เขามาอยู่เมืองไทยได้ ๒ ปีครึ่ง โดย ๖ เดือนแรกทำงานกับฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย และย้ายมาดูแลทีมบางกอกกล๊าส เอฟซี ได้ประมาณ ๒ ปี

เขาบอกเราว่า “ทุกวันนี้นักฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกมีความฟิตดี โดยเฉพาะผู้เล่นทีมบุรีรัมย์ฯ ทีมเมืองทองฯ  เมื่อ ๒ ปีที่แล้วผมดูเกมการแข่งขัน เห็นผู้เล่นเป็นตะคริวกันบ่อยมาก แต่ในฤดูกาลนี้แทบไม่มีผู้เล่นเป็นตะคริวเลย”

 

teamtpl03

นักเตะของทีมชลบุรี เอฟซี ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากระบบการสร้างนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสร
ดังที่เห็นในภาพ อาทิ ไพศาล โพธิ์นา  อดุล หละโสะ  พิภพ อ่อนโม้  สินทวีชัย หทัยรัตนกุล  ภูริทัต จาริกานนท์ ฯลฯ ทุกคนล้วนเติบโตจากอะคาเดมี

เสาร์ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ เราเดินทางมาที่สนามชลบุรี สเตเดียม จังหวัดชลบุรี รอชมเกมการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกระหว่างทีม “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี พบ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ พีอีเอ

สถานการณ์ในขณะนั้น ทั้งสองทีมลงแข่งในรายการนี้ ๑๙ นัดเท่ากัน  ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ มีสถิติชนะ ๑๕ นัด  เสมอ ๓  แพ้ ๑  มีอยู่ ๔๘ คะแนน ขึ้นนำเป็นอันดับ ๑ ของตาราง  ขณะทีมชลบุรี เอฟซี ชนะ ๑๒ นัด  เสมอ ๕  แพ้ ๒  มีอยู่ ๔๑ คะแนน ตามมาเป็นอันดับ ๒

การพบกันของสองทีมในวันนี้จึงเป็นศึกระดับบิ๊กแมตช์ที่แฟนบอลกระหายชมมากที่สุด เพราะเป็น “นัดชี้ชะตา” ที่มีผลต่อการลุ้นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อย่างมาก

ทั้งสองทีมขนผู้เล่นชุดใหญ่มาลงสนาม และต่างเปิดเกมบุกใส่กันอย่างดุเดือดตั้งแต่ต้น ท่ามกลางกองเชียร์แน่นอัฒจันทร์กว่า ๘,๐๐๐ คน

ทีมเจ้าบ้านอย่างชลบุรีฯ ได้ประตูนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ ๔ จากจังหวะที่ ดาร์โก้ ราโคเซวิช โยนบอลยาวมาหน้าประตู  กองหลังทีมเยือนสกัดพลาด  เข้าทาง พิภพ อ่อนโม้ ล้มตัวยิงบอลผ่านมือผู้รักษาประตูเข้าไปซุกก้นตาข่าย

ทั้งสองทีมผลัดกันบุกตลอดเวลา ด้วยเกมรุกที่รวดเร็ว และหวุดหวิดจะได้ประตูหลายครั้ง

ล่วงเข้าครึ่งหลังทีมชลบุรีฯ ทำเกมบุกได้มากกว่า  ทว่านาทีที่ ๕๖ ทีมบุรีรัมย์ฯ ฉวยโอกาสจากจังหวะโต้กลับเร็ว  แฟรงค์ อาเชียมปง รับลูกจากกลางสนามแล้วกระชากบอลหลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปยิงประตูตีเสมอได้สำเร็จ

จบการแข่งขันด้วยผลเสมออย่างดุเดือด ๑ ประตูต่อ ๑ ท่ามกลางความโกลาหลจากแฟนบอลฉลามชลที่ไม่พอใจการตัดสินของกรรมการ

ทว่าโอกาสในการลุ้นแชมป์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกของทีมฉลามชลก็ยังไม่หมดหวัง

แม้แต่ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ พีอีเอ ยังเคยบอกเราว่า เขาคิดว่าคู่แข่งที่สำคัญของทีมบุรีรัมย์ฯ ในฤดูกาลนี้ก็คือทีมชลบุรี เอฟซี

ต่างจากทีมฟุตบอลใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ฉลามชลนั้นเป็นสโมสรฟุตบอลของจังหวัดชลบุรีที่ค่อยๆ วางรากฐานก่อร่างสร้างทีมมาเป็นเวลานาน กว่าจะประสบความสำเร็จเป็นทีมฟุตบอลระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่างทุกวันนี้ และมีแฟนบอลติดตามเชียร์อย่างเหนียวแน่น

เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ หรือเมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว ศิษย์เก่าบ้าฟุตบอลของโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา อรรณพ สิงห์โตทอง และ ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ สองผู้บริหารทีมชลบุรี เอฟซี ในปัจจุบัน มีความคิดอยากทำทีมฟุตบอล จึงเข้าไปพูดคุยกับผู้บริหารของโรงเรียนกระทั่งได้ทำโครงการช้างเผือก รับเด็กฝีเท้าดีทั่วประเทศมาคัดตัวเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน

ไม่กี่ปีถัดมา ทีมโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาก็กวาดแชมป์ฟุตบอลนักเรียนนับไม่ถ้วน อรรณพและทีมงานจึงขยายโครงการสร้างทีมฟุตบอลนักเรียนไปสู่โรงเรียนอื่นในจังหวัด เช่น โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี

กระทั่งปี ๒๕๔๐ มีการก่อตั้งสมาคมกีฬาจังหวัดชลบุรี และสโมสรฟุตบอลจังหวัดชลบุรี (สโมสรชลบุรี เอฟซี ในยุคแรก) เพื่อส่งเข้าแข่งขันฟุตบอลไทยแลนด์โปรวินเชียลลีก โดยนักเตะในทีมส่วนใหญ่ดึงมาจากทีมฟุตบอลโรงเรียนอัสสัมชัญฯ และโรงเรียนจุฬาภรณฯ นั่นเอง

เส้นทางแห่งความสำเร็จของทีมชลบุรี เอฟซี เริ่มจากพวกเขาคว้าแชมป์โปรวินเชียลลีกได้เมื่อปี ๒๕๔๘  เลื่อนชั้น
ขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดของประเทศคือไทยพรีเมียร์ลีกในปีถัดมา

ปี ๒๕๕๐ ทีมชลบุรี เอฟซี ก็สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นทีมต่างจังหวัดทีมแรกที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศไปครอง และได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมแข่งขันทัวร์นาเมนต์ระดับเอเชียอย่าง เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก

ความสำเร็จครั้งล่าสุดคือคว้าแชมป์มูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ ๒๕๕๓ ด้วยการเอาชนะทีมเมืองทองฯ ยูไนเต็ด ๒ ประตูต่อ ๑

ตลอดเวลาที่ผ่านมา กล่าวได้ว่ารากฐานแห่งความสำเร็จของทีมฉลามชลก็คือ ระบบการสร้างนักเตะเยาวชนจากโรงเรียนที่เป็นเครือข่าย เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี  โรงเรียนชลราษฎรอำรุง จนได้ผลผลิตเป็นนักเตะฝีเท้าดีที่ถูกป้อนเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรชลบุรี เอฟซี อย่างต่อเนื่องรุ่นแล้วรุ่นเล่า

กล่าวอีกอย่างก็คือ หัวใจหลักของการทำทีมชลบุรี เอฟซี เน้นสร้างนักเตะขึ้นมาเองมากกว่าซื้อนักเตะเข้าสู่ทีม

หากดูผู้เล่นในทีมชุดปัจจุบัน นอกจากนักเตะต่างชาติและนักเตะไทยไม่กี่รายแล้ว กำลังหลักส่วนใหญ่ล้วนเป็น
นักเตะเด็กสร้างจากโรงเรียนในชลบุรีทั้งสิ้น ไม่ว่า พิภพ อ่อนโม้  สินทวีชัย หทัยรัตนกุล  สุรีย์ สุขะ  ชลทิตย์ จันทคาม  เอกพันธ์ อินทเสน  ภูริทัต จาริกานนท์  เกียรติประวุฒิ สายแวว ฯลฯ

รวมถึงกองหน้าดาวรุ่งอย่าง วานิช ใจแสน ซึ่งผ่านการเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังจากโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ก่อนมาศึกษาต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา  ฝีเท้าเข้าขั้นจนถูกดึงตัวมาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับทีมชลบุรี เอฟซี ตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี

“ตอนนั้นดีใจสุดๆ” เขาบอกเราด้วยดวงตาเป็นประกาย ระลึกถึงวันที่ฝันเป็นจริง เนื่องจากเป็นแฟนเชียร์ทีมฉลามชลตั้งแต่อยู่ ม. ๒  เห็นรุ่นพี่เล่นฟุตบอลจนเกิดแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นนักเตะอาชีพบ้าง

ปัจจุบันสโมสรชลบุรี เอฟซี นอกจากดึงนักเตะจากโรงเรียนในเครือข่ายเข้ามาเสริมทัพแล้ว โครงการสร้างนักเตะยังพัฒนาไปอีกขั้น เมื่อจัดทำอะคาเดมีฟุตบอลของตนเอง หรือชื่อทางการ “โครงการพัฒนาฟุตบอลของศูนย์ฝึกระดับเยาวชนสโมสรชลบุรี” มาตั้งแต่ปี ๒๕๕๐

“ทีมชลบุรีฯ มีปรัชญาการเล่นของตัวเอง นั่นคือเล่นให้เร็ว ดุดัน หาจังหวะส่งทะลุทะลวงไปข้างหน้า แล้วก็เปิดเกมรุกเต็มรูปแบบ  ถ้าเราฝึกเด็กขึ้นมาเอง ก็สามารถสร้างให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบ และเข้าใจปรัชญาการเล่นของทีมได้ดี” วิทยา เลาหกุล หรือ “โค้ชเฮง” ประธานที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิคและผู้จัดการทีมชลบุรี เอฟซี บอกแก่เรา

เด็กที่สังกัดทีมชลบุรี อะคาเดมี รุ่นปัจจุบันมีจำนวน ๔๔ คน  แบ่งเป็นทีมรุ่นอายุ ๑๒ ปีและ ๑๔ ปี  พวกเขาเป็นเด็กชายที่มาจากหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย

ศุภกร น้อยมา หรือ “โค้ชโก้” ผู้ฝึกสอนฟุตบอลรุ่น ๑๒ ปี บอกเราว่า เด็กรุ่นนี้มีที่มาจากทีมแมวมองของสโมสรเดินสายไปดูทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลนักเรียนตามภูมิภาคต่างๆ เมื่อเห็นเด็กคนไหนฝีเท้าโดดเด่นก็ชักชวนผ่านผู้ปกครองให้มาคัดตัวกับอะคาเดมี

“ที่นี่จะทดสอบไม่เหมือนที่อื่น คือจะเรียกเด็กมาช่วงปิดเทอม ให้มาร่วมซ้อมสัก ๑ อาทิตย์ ดูทักษะฟุตบอล และ
ดูว่าเขาปรับตัวอยู่กับเราได้ไหม หรือฝึกซ้อมเข้ากับระบบที่โค้ชเฮงวางไว้ได้หรือเปล่า”

เด็กที่ผ่านการทดสอบฝีเท้าจะต้องย้ายจากโรงเรียนเดิมมาอยู่ที่จังหวัดชลบุรี โดยสโมสรฝากให้เข้าเป็นนักเรียนประจำของโรงเรียนเทศบาลบ้านศรีมหาราชา ได้รับสิทธิเรียนฟรี มีอาหารกินครบมื้อ และมีห้องพักรวมจัดไว้โดยเฉพาะสำหรับเด็กนักฟุตบอล

แต่ละวันนักเตะรุ่นเยาว์ต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อลงซ้อมฟุตบอลรอบเช้าที่สนามหญ้าเทียมของสโมสรศรีราชา ซูซูกิ เอฟซี ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนเทศบาลบ้านศรีมหาราชา

เลิกซ้อมประมาณแปดโมงเช้า กลับหอพักไปอาบน้ำ กินข้าว แล้วเข้าเรียนตามเวลาปรกติ  บางวันเด็กๆ มีซ้อมตอนเย็นประมาณหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่มครึ่ง ก่อนอาบน้ำเข้านอน

การฝึกซ้อมแต่ละวันมุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทั้งทักษะความสามารถเฉพาะตัว ความเร็ว ความเข้าใจในเกม สภาพจิตใจ และความแข็งแกร่งของร่างกาย

เด็กอะคาเดมีกลุ่มนี้จะได้รับการฝึกสอนให้เข้าใจศาสตร์ลูกหนังไปทีละขั้น ตามหลักสูตรที่สโมสรพัฒนาขึ้น จนกว่าพวกเขาจะก้าวไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพเมื่ออายุราว ๑๗-๑๘ ปี

ดังเช่นโครงสร้างการสอนในปีนี้ ที่โค้ชเฮงมุ่งเน้นให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องเกมรับและการสื่อสารกันภายในทีม

นอกจากการฝึกซ้อมประจำวันแล้ว สโมสรยังมีนโยบายให้เด็กทีมชลบุรี อะคาเดมี ทั้งรุ่น ๑๒ และ ๑๔ ปี ตระเวนแข่งฟุตบอลเยาวชนรายการต่างๆ ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์

ที่ผ่านมาเด็กๆ “ฉลามชลจูเนียร์” ทั้งสองทีมกวาดความสำเร็จมามากมาย เช่น คว้าแชมป์การแข่งขันฟุตบอลนักเรียนกองทัพอากาศประจำปี ๒๕๕๔ มาได้ทั้งรุ่น ๑๒ ปี และ ๑๔ ปี

ขณะที่ฉลามชลจูเนียร์ รุ่น ๑๒ ปี ยังคว้าแชมป์รายการดานอนคัพ ชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งที่ ๑ พร้อมได้สิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยไปเล่นในรอบสุดท้ายกับทีมเยาวชนอีก ๓๙ ชาติทั่วโลก ในรายการ Danone Nations Cup World Final 2011 ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ในช่วงเดือนตุลาคม

เย็นวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๔  เราเดินทางไปถึงสนามของสโมสรศรีราชา ซูซูกิ เอฟซี ที่อำเภอศรีราชา ตามคำชักชวนของโค้ชโก้ ให้ไปชมทีมชลบุรี อะคาเดมี รุ่น ๑๒ ปี ลงซ้อมแข่งขันกับทีมฟุตบอลหญิงของสโมสรเดียวกัน

แม้คู่แข่งจะเป็นผู้หญิง แต่ก็เป็นทีมผู้ใหญ่ที่เล่นในลีกอาชีพ ได้เปรียบทั้งประสบการณ์และรูปร่างที่สูงใหญ่กว่า
เด็กชายตัวน้อย

หัวค่ำนั้นเราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเด็กๆ ฉลามชลจูเนียร์ทำเกมเหนือกว่าทีมพี่สาวอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งชนะไปด้วยการยิงประตูไม่ต่ำกว่า ๓ ลูก

สิ่งที่น่าทึ่งไม่ใช่เพราะเด็กชายคนใดคนหนึ่งแสดงฝีเท้าขั้นเทพออกมาให้เห็น ตรงกันข้าม แม้พวกเขามีทักษะดีเยี่ยมแต่ไม่มีคนใดพยายามเป็นพระเอกด้วยการโชว์ความสามารถเฉพาะตัว ลากเลื้อยพาบอลตะลุยไปคนเดียว

เรื่องน่าทึ่งที่สุดก็คือ เด็กๆ เหล่านี้แม้อายุยังน้อยแต่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในเกมฟุตบอลที่ต้องเล่นเป็นทีม
ผ่านเกมรุกและรับที่ประสานงานกันอย่างเป็นระบบ ทั้งการเคลื่อนที่หาที่ว่าง การผ่านบอล การทำชิ่งอย่างรู้ใจกัน การวิ่งตัดแนวรับคู่ต่อสู้ไปรับบอล จนถึงการทำประตูจังหวะสุดท้ายที่แม่นยำ

เรารู้มาว่าเด็กๆ เหล่านี้ล้วนอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และแทบทุกคนตั้งความหวังไว้ว่า วันข้างหน้าจะได้เข้าสังกัดทีมชุดใหญ่ของสโมสรชลบุรี เอฟซี

หากความหวังเป็นจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาจะเป็นขุมพลังที่เข้าไปเติมความแข็งแกร่งให้แก่ทีมฉลามชลในอนาคต

 

teamtpl01

ช่วงท้ายของการซ้อมทีม มักเป็นการยิงลูกฟรีคิก ซึ่งทีมฟุตบอลในปัจจุบันใช้เป็นอาวุธสังหารประตูคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระหว่างที่การแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกดำเนินไปอย่างเข้มข้น

แฟนบอลทั่วไปอาจพุ่งเป้าความสนใจไปที่เฉพาะทีมอันดับนำบนหัวแถวตารางคะแนน เช่น บุรีรัมย์ พีอีเอ,
เมืองทองฯ ยูไนเต็ด, ชลบุรี เอฟซี, บางกอกกล๊าส เอฟซี หรือ บีอีซี เทโรศาสน

หรือไม่ก็ทีมที่กำลังหนีตายอยู่ในโซนตกชั้นตอนท้ายฤดูกาล

ความจริงแล้วมีหลายทีมกลางตารางอันดับที่น่าจับตามอง หนึ่งในนั้นคือสโมสรเชียงราย ยูไนเต็ด

ณ วันที่กำลังเขียนต้นฉบับช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สโมสรฟุตบอลเจ้าของฉายา “กว่างโซ้งมหาภัย” รั้งอันดับ ๑๐ ของตาราง ด้วยสถิติลงแข่ง ๒๘ ครั้ง  ชนะ ๑๐  เสมอ ๗  แพ้ ๑๑  มีแต้มอยู่ ๓๗ คะแนน

สถิติอาจไม่สวยหรู แต่หากดูประวัติจะรู้ว่าทีมนี้น่าสนใจอย่างไร

เพราะพวกเขาเป็นทีมที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี ๒๕๕๒  ประเดิมเข้าร่วมการแข่งขันลีกภูมิภาค ดิวิชัน ๒  เพียงฤดูกาลแรกก็คว้าตำแหน่งรองแชมป์ดิวิชัน ๒ ได้โควตาขึ้นชั้นไปเล่นในลีกดิวิชัน ๑ ในปี ๒๕๕๓

และเพียงปีเดียวอีกเช่นกัน กว่างโซ้งมหาภัยก็ทำผลงานแซงทีมอื่นขึ้นมาอยู่อันดับ ๓ ตอนจบฤดูกาลแข่งขันลีกดิวิชัน ๑  ได้สิทธิ์เลื่อนขึ้นไปเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกในปี ๒๕๕๔ ร่วมกับทีมอันดับ ๑-๒ อย่างทีมศรีราชา ซูซูกิ เอฟซี และทีมขอนแก่น เอฟซี

สรุปก็คือ เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นตัวอย่างของทีมขนาดกลางจากต่างจังหวัด ที่ใช้เวลาเพียง ๓ ปีนับจากก่อตั้งก็พา
ตัวเองขึ้นชั้นมาเล่นในฟุตบอลลีกระดับสูงสุดของประเทศ

ช่วงกลางเดือนกันยายน เราเดินทางมาที่จังหวัดเชียงราย มีเป้าหมายไปเยือนรังของกว่างโซ้งมหาภัย

ก่อนหน้านี้ทีมเชียงราย ยูไนเต็ด ยังไม่มีสนามฟุตบอลของตัวเอง  เมื่อต้องเล่นเป็นทีมเจ้าบ้าน ต้องไปขอใช้สนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย หรือสนามกีฬามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน

ทว่าขณะนี้สโมสรอยู่ในระหว่างสร้างสนามฟุตบอลของตัวเอง ในบริเวณใกล้กับสนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงราย  แม้สนามยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมของนักฟุตบอลในทีมได้แล้ว

เราไปถึงสนามแห่งนั้นในวันที่ ๑๕ กันยายน  รอบบริเวณแวดล้อมด้วยทุ่งนาโล่งกว้าง ในสนามปูหญ้าเรียบร้อยแต่อัฒจันทร์สองฝั่งด้านข้างยังสร้างไม่เสร็จ เพิ่งขึ้นโครงสร้างเสาและคาน มีอาคารสองชั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางหัวสนามฝั่งหนึ่ง  เดิมเคยเป็นศูนย์สินค้าโอทอปของจังหวัด แต่ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการชั่วคราวและแคมป์ที่พักของทีมเชียงราย ยูไนเต็ด

บ่ายแก่ๆ วันนั้น สเตฟาโน คูกูรา หัวหน้าโค้ชชาวบราซิลของทีมกำลังเดินวางกรวยพลาสติกตามจุดต่างๆ ในสนามหญ้า เตรียมการฝึกซ้อม

นักฟุตบอลทั้งคนไทยและต่างชาติทยอยเดินลงสู่สนาม

อีก ๓ วันข้างหน้า คือวันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน พวกเขามีกำหนดเป็นทีมเจ้าบ้าน ต้อนรับการมาเยือนของทีมบีอีซี เทโรศาสน ในศึกไทยพรีเมียร์ลีก ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ระหว่างการฝึกซ้อมดำเนินไปอย่างคึกคัก ชายหนุ่มมาดมั่นคนหนึ่งเดินเข้ามาในสนาม ทักทายสตาฟฟ์โค้ชและ
นักเตะอย่างคุ้นเคย  เขาคือ มิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรเชียงราย ยูไนเต็ด และเป็นลูกชายของ ยงยุทธ ติยะไพรัช นักการเมืองใหญ่ของจังหวัดเชียงราย สังกัดพรรคเพื่อไทย

วันถัดมาเราจึงมีโอกาสพูดคุยกับเขาอย่างละเอียด

“เมื่อปี ๒๕๕๑ ผมเริ่มคิดอยากทำทีมฟุตบอล ตอนแรกคิดไว้หลายแนว เช่นไปเทกโอเวอร์ทีมในดิวิชัน ๒ แต่เมื่อเกิดลีกภูมิภาคจึงตัดสินใจกลับมาสร้างทีมฟุตบอลของจังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นบ้านเกิด จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งทีมเชียงราย ยูไนเต็ด เมื่อปี ๒๕๕๒  ต้องบอกว่าโชคดีที่ตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่บูมมาก เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายในการทำทีม ต้นทุนในการจ้างนักเตะยังไม่สูง ทำให้ไม่ต้องลงทุนสูงมากนัก”

มิตติบอกว่าแม้ทีมเพิ่งก่อตั้ง แต่ก็มีนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชมีคุณภาพ ทีมเชียงรายฯ จึงเลื่อนชั้นได้ในปีเดียว

“เมื่อเราขึ้นมาอยู่ดิวิชัน ๑ ในปี ๒๕๕๓ โค้ชธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล ได้ขอย้ายไปทำงานให้ทีมอื่น โค้ชที่เข้ามาใหม่ยังทำงานไม่เข้าที่ ทำให้สโมสรของเราค่อนข้างสะดุด  ต้นฤดูกาลเราต้องเปลี่ยนโค้ชถึง ๒ คน  ถึงช่วงกลางฤดูกาลตอนปิดเลกแรก ทีมอยู่ในอันดับที่ ๙ ผมจึงเริ่มคิดว่าปัญหาเกิดจากอะไร”

จุดเปลี่ยนของสโมสรเชียงราย ยูไนเต็ด คือการตัดสินใจทาบทาม สเตฟาโน คูกูรา อดีตผู้ฝึกสอนเยาวชนทีมชาติบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน ๑๙ ปี เข้ามาคุมทีม พร้อมดึงนักเตะฝีเท้าดีทั้งไทยและต่างชาติเข้าเสริมทัพอีกจำนวนหนึ่ง

การผ่าตัดทีมส่งผลอย่างน่าทึ่ง เมื่อพวกเขาก้าวจากอันดับ ๙ สู่อันดับ ๓ ภายในเลกสองของฤดูกาลแข่งขัน จนได้สิทธิ์เลื่อนขึ้นมาเล่นในไทยพรีเมียร์ลีก

ถึงวันนี้กว่างโซ้งมหาภัยจึงมีคู่แข่งเป็นสโมสรฟุตบอลระดับยักษ์ใหญ่ โดยที่มิตติประเมินว่าสโมสรของเขาจัดว่าเป็นทีมขนาดเล็ก

“สิ่งที่บอกว่าเป็นทีมขนาดเล็ก ง่ายๆ เลยก็คือดูต้นทุนในการทำทีม ซึ่งปีนี้เราใช้งบประมาณ ๒๐-๒๕ ล้าน เทียบกับทีมอื่นๆ ที่เขาประกาศงบมา ๗๐-๘๐-๑๐๐ ล้านบาท”

และเมื่อถามว่าจะบริหารทีมอย่างไรเพื่อสู้กับทีมใหญ่ในไทยพรีเมียร์ลีก ประธานสโมสรหนุ่มเผยทัศนะว่า

“ตอบโจทย์ได้ง่ายมาก โชคดีที่ทางไทยพรีเมียร์ลีกมอบโควตาให้แต่ละทีมมีนักเตะต่างชาติได้ ๗ คน ส่งลงสนามได้
๕ คน  ถ้าทีมเล็กใช้โควตาตรงนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด จะเป็นผลดีต่อทีมมาก เพราะเราไม่ต้องลงทุนกับนักฟุตบอลไทยเยอะ ในขณะที่ถ้านำนักฟุตบอลต่างชาติเก่งๆ เข้ามาเลย ๕ คน ก็แทบสร้างทีมดีๆ ขึ้นมาได้แล้ว

“ยกตัวอย่างทีมเชียงราย ยูไนเต็ด เรามีโค้ชที่ทำงานต่างประเทศมาก่อน ทำให้มีเครือข่ายนักฟุตบอลต่างชาติที่รู้จักอยู่มาก จึงนำนักฟุตบอลต่างชาติเข้ามาเป็นแกนหลักให้ทีมได้  ตำแหน่งไหนที่สำคัญที่เราสู้ทีมใหญ่อื่นไม่ได้ เราก็เอานักฟุตบอลต่างชาติเข้ามาเสริมศักยภาพ”

ดูรายชื่อนักเตะต่างชาติในทีมเชียงราย ยูไนเต็ด ชุดปัจจุบันทั้ง ๗ คน ซึ่งแทรกอยู่ทุกตำแหน่งไม่ว่ากองหน้า กองกลาง กองหลัง จนถึงผู้รักษาประตู  มีเพียง เลออนติน ชิเตสคู กองกลางเบอร์ ๑๓ เท่านั้นที่เป็นชาวโรมาเนีย นอกนั้นล้วนเป็นนักเตะบราซิลทั้งสิ้น

เมื่อเราได้พูดคุยกับโค้ชสเตฟาโน คูกูรา หรือ “โค้ชเตโก้” เขาบอกเราว่า

“ผมเป็นคนบราซิล การเลือกนักเตะชาวบราซิลทำให้ผมทำงานได้ง่ายกว่า แต่อีกเรื่องคือทีมเราเพิ่งขึ้นมาเล่นใน
ไทยพรีเมียร์ลีกเป็นปีแรก จึงต้องการนักเตะที่มีประสบการณ์ ถ้ามีแต่นักเตะหนุ่มๆ จะสู้ทีมอื่นไม่ได้  สังเกตดูว่านักเตะที่ผมเลือกเข้ามาทีมเชียงรายฯ ไม่ว่านักเตะไทยหรือต่างประเทศ เป็นนักเตะที่มีประสบการณ์ทั้งนั้น ส่วนใหญ่อายุ ๓๐ ขึ้นไป”

โค้ชเตโก้อธิบายว่า เพราะความเป็นคนบราซิลอีกเช่นกัน เขาจึงออกแบบการฝึกซ้อมรวมทั้งวางแนวทางการเล่นฟุตบอลของทีมเชียงรายฯ ให้เป็น “สไตล์บราซิล” นั่นคือเน้นการเล่นบอลสวยงาม ต่อบอลแม่นยำ เป็นเกมฟุตบอลที่เน้นทั้งเทคนิคและคุณภาพ

กระทั่งเย็นวันที่ ๑๘ กันยายน เราตามไปชมการแข่งขันระหว่างเชียงราย ยูไนเต็ด กับบีอีซี เทโรศาสน ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยมีกองเชียร์กว่างโซ้งในชุดเสื้อสีส้มตามมาเชียร์ทีมโปรดอย่างคับคั่ง

แม้เกมการแข่งขันวันนั้นจบลงโดยทีมเชียงรายฯ พ่าย บีอีซีฯ ไปด้วยสกอร์ ๑ ประตูต่อ ๓

แต่พวกเขาก็เล่นฟุตบอลได้อย่างคุ้มค่าน่าเทใจเชียร์ ด้วยการทำเกมบุกอย่างต่อเนื่องเร้าใจ สร้างโอกาสเข้าทำประตูครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่จังหวะสุดท้ายยังไม่แม่นยำพอ กระทั่งท้ายเกมเริ่มแผ่วลงและกองหลังเปิดช่องว่างมากขึ้น จึงเสียประตูที่ ๒ และ ๓ ให้คู่แข่ง

หลังกลับจากเชียงราย เรายังคงติดตามการแข่งขันของทีมเชียงรายฯ เป็นระยะ  กระทั่งในการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ทีมเชียงราย ยูไนเต็ด ก็สร้างผลงานสั่นสะเทือนวงการลูกหนัง เมื่อโค่นยอดทีมอย่างชลบุรี เอฟซี ไปได้อย่างดุเดือดถึง ๔ ประตูต่อ ๓

คงต้องตามดูต่อไปว่า พวกเขาจะสร้างผลงานในไทยพรีเมียร์ลีกปีแรกด้วยการจบฤดูกาลไม่เกินอันดับ ๘ ตามที่ประธานสโมสรวางเป้าหมายไว้ได้หรือไม่

 

การแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล ๒๕๕๔ ใกล้จะเดินทางถึงปลายฤดูกาลเข้าไปทุกที

อีกไม่นานคงจะรู้แล้วว่า สโมสรใดจะได้เป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ทีมใดจะติดกลุ่มนำของตาราง หรือทีมใดจะตกชั้นลงไปอยู่ดิวิชัน ๑

ประสบการณ์จากการตระเวนดูการแข่งขันฟุตบอลถึงขอบสนามหลายแห่งช่วยยืนยันว่า ฟุตบอลสโมสรของไทยนั้นฟื้นตื่นจากยุคซบเซาแล้ว ด้วยเกมการเล่นมีคุณภาพที่ดูสนุก เร้าใจ ไม่น่าเบื่อ และหวังว่าหลายๆ ทีมจะพัฒนายิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต