ด.ช. ณัฐชา เจริญศรี

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย อ. เมือง จ. นครปฐม

เรื่อง ความรู้สึกแห่งกาลเวลา

ความรักไม่เคยมีนิยามใดที่ถูกต้องอย่างเต็มประสิทธิภาพของอานุภาพแห่งความรัก ก็เพราะความรักเป็นวัตถุทางความรู้สึกภายใต้การสัมผัสของหัวใจ มิสามารถใช้ประสาทสัมผัสใดรับรู้ถึง “ความรัก” เช่นเดียวกับกาลเวลา กาลเวลาไม่มีใครบ่งบอกถึงความหมายอันแท้จริงของมันได้ สัมผัสได้ก็เพียงความรู้สึกเมื่อกาลเวลานั้นผ่านพ้นไปจนสาบสูญ แน่นอนสิ่งที่หลงเหลือจากกาลเวลาคือความรู้สึก ความรู้สึกที่จะยังคงฝังลึกอยู่ภายในจิตใจนานเท่านาน เพียงแต่ใครจะสามารถดึงความรู้สึกนั้นออกมาเป็นคำพูด หรือแปลความหมายออกมาตามริ้วปากกา หากเป็นเช่นนั้นกาลเวลาก็อาจทิ้งคราบของความอบอุ่นเอาไว้ในหน้ากระดาษแห่งความทรงจำ เช่น หนังสือ เวลาในขวดแก้ว (คุณประภัสสร เสวิกุล) และคืนหนาวดาวอุ่น (คุณพรชัย แสนยะมูล) เป็นหนังสือที่บ่งบอกถึงการระลึกถึงกาลเวลาถึงแม้จะใช้คำว่าอดีตก็ตาม และหนังสือสองเล่มนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่มีความปรารถนาเดียวกับหนังสือ พยายามหาความหมายของชีวิต ความรัก และความฝัน พร้อมทั้งดูแลและรักษากาลเวลาที่มีความสุขไว้ตราบนานเท่านาน

เวลาในขวดแก้ว (คุณประภัสสร เสวิกุล) สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ ประสบการณ์ของชีวิต หรือ หรือช่วงหนึ่งของชีวิต...เพียงช่วงเดียวและครั้งเดียวเท่านั้น กาลเวลาตรงช่วงนั้นถือได้ว่าเป็นเวลาอันล้ำค่า แต่การรักษากาลเวลาตรงนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ยากที่สุด อาจจะเก็บไว้ได้เพียงในสายลมแห่งความทรงจำภายใต้อ้อมกอดของกาลเวลาที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะอบอุ่นหรือเหน็บหนาว แต่ที่แน่ๆ คงไม่มีใครที่จะย้อนวันเวลาที่ผิดพลาดให้คืนกลับมาเพื่อจะแก้ไข และไม่มีใครที่จะเร่งเวลาที่มีความทุกข์ที่กำลังผ่านเข้ามาให้ผ่านไปโดยเร็ว มีบทหนึ่งในหนังสือกล่าวไว้ว่า “ถ้าฉันเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้ สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือสะสมวันที่ล่วงเลยมานิจนิรันดร์เพียงเพื่อมอบมันแก่เธอ และถ้าหากฉันสามารถทำให้คืนวันเป็นอมตะ หรือเพียงแต่คำพูด มันจะทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงได้ ฉันจะเก็บทุกโมงยามราวกับสมบัติอันล้ำค่า เพื่อมอบมันแก่เธอ” แสดงให้เห็นว่าคนเราควรทำในสิ่งที่คุ้มค่ากาลเวลามากที่สุด กอบโกยผลประโยชน์จากกาลเวลาที่มีให้ได้มากที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องจากช่วงเวลาอันล้ำค่าอันนั้นไปเมื่อไร จะได้ไม่ต้องมีคำว่า “ถ้า” เกิดขึ้นในความคิดช่วงหนึ่งของชีวิต ความคิดที่จะหวนช่วงเวลาที่มีความสุขเพื่อมาเสพสมเรื่องราวในเรื่องเวลาในขวดแก้วคงให้รู้ถึงความเป็นไปและสัจธรรมของชีวิต คงไม่...ไม่มีใครในโลกที่จะรักษาและใช้ช่วงเวลาที่มีความสุขไว้ได้จนชั่วนิรันดร์ และในทางเดียวกันก็ไม่มีใครที่จะเป็นทุกข์อย่างทุรนทุรายได้ตลอดไปเช่นกัน ทุกคนมีระยะเวลาอันมีค่าที่เท่ากัน ความทุกข์สุขก็ผ่านมาให้ทุกคนได้สัมผัสเท่า ๆ กัน เพียงแต่ใครจะสามารถเข้าใจธรรมชาติของกาลเวลา และความเป็นไปอันแท้จริงของชีวิตได้ก็เท่านั้น ใครจะพยายามมีความสุขบนความทุกข์ ที่กำลังโหมกระหน่ำด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร หรือ ฉันเข้าใจ” หรือแม้แต่ฝ่าฟันความทุกข์โศกและรักษาช่วงเวลาแห่งความสุขไว้ได้นานกว่ากันเท่านั้นเอง...เท่านั้นเองจริงๆ

ท่านใดก็ตามที่กำลังฝ่าฟันอุปสรรคของชีวิต เกิดอาการท้อถอย หนังสือเวลาในขวดแก้ว อาจจะช่วยให้กำลังใจยามท้อแท้ เพราะหากเราฝ่าฟันอุโมงค์แห่งความเลวร้ายนั้นมาได้ อนาคตก็คือแสงสว่างที่ชี้ทางสดใสแก่มวลมนุษย์ หนังสือเล่มนี้อาจจะสอนให้เราพยายามค้นหาแสงสว่างนั้น ในเมื่อทุกคนล้วนแล้วแต่มีอดีตที่ฝังใจ มันอาจจะช่วยให้เราคิดถึงคำสอนที่แผ่วเบาจากอดีต ชี้ทางให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่โลกนี้ตั้งอยู่ได้ นั่นก็คือความหวัง หวังในสิ่งที่เราจะสามารถเดินตามความหวังของเราได้ และเมื่อความหวังนั้นมิใช่การฝันที่เรียกกันว่า “ฝันลมๆ แล้งๆ ” ความหวังนั้นเดินโลดแล่นในโลกแห่งความเป็นจริง เราก็คือผู้ชนะ หมายถึงชนะใจตนเอง อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสังคม เพราะในสังคมไม่มีคำว่าชนะคงจะมีแต่คำว่าเสมอภาคและพ่ายแพ้เท่านั้น แค่เราเสียใจ แค่เรามีน้ำตา นั่นหมายถึงการพ่ายแพ้แล้ว ดังนั้นการรักษาเสถียรภาพของตนภายใต้กลไกของสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โปรดรักษาความเสมอภาคของตนเองไว้ อย่าคิดว่าต้องชนะ เพราะนั่นมิอาจเป็นไปได้ เพียงเท่านี้ความเสมอภาคที่เรียกกันว่าความสุขก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมและคงฝังลึกใต้จิตวิญญาณตลอดไป เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ เวลาในขวดแก้ว จะได้ทั้งข้อคิด กำลังใจรวมถึงการสร้างความฝันที่ต้องเป็นจริงในสักวัน...จึงต้องการให้ผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากที่เกิดจากภายในจิตใจ หรือแม้แต่ทางร่างกาย ที่กำลังขาดซึ่งกำลังใจ ได้อ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อจะได้มีกำลังใจ อาจเกิดคำปลอบใจตนเองที่หลุดออกมาจากจิตใต้สำนึก หรือแม้แต่การได้ข้อคิดดีๆ ในการดำรงชีวิตสืบไป...

คืนหนาวดาวอุ่น (คุณพรชัย แสนยะมูล) สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ ความยั่งยืนของสรรพสิ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนค้นหา แต่ก็น้อยเหลือเกินที่มีใครจะค้นพบ กาลเวลาได้ทำหน้าที่ดุจดังสายน้ำพาความจีรังนั้นให้สูญหายไปจากโลกแห่งความเป็นจริง สายน้ำได้พัดพาตัวของเราไปไกลด้วย ไปสู่ห้วงเวลาอันไกลโพ้น แต่เมื่อเราคิดถึงสายน้ำเก่าๆ ที่เราได้ว่ายเวียน เมื่อเรากลับไป ณ สายน้ำนั้น อาจไม่เหมือนที่เราบันทึกไว้ในความทรงจำก็ได้ เฉกเช่นความรัก กาลเวลาคงไม่มีอำนาจมากพอที่จะสะกดความรักให้คงอยู่ตลอดไปได้ หนังสือเล่มนี้มีบทหนึ่งกล่าวว่า “ความรักเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่สามารถเจริญเติบโตและผลิบานได้โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับฤดูกาลตามที่ท่านคาลิล ยิบราน กล่าวไว้ก็จริง แต่ความรักก็เป็นดอกไม้ชนิดเดียวเช่นกันที่สามารถห่อเหี่ยวได้โดยไม่ต้องเลือกฤดูกาลเช่นกัน” เท่านี้คงแสดงให้เห็นแล้วว่า สิ่งใดก็ตามที่หลงเข้ามาอยู่ภายใต้ห้วงแห่งกาลเวลา แน่นอนที่สุดสิ่งนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา คงไม่มีอะไรที่จะจีรังยั่งยืนมากไปกว่าตัวเราเอง ควรทำใจหากสิ่งที่เราเคยผูกพันกำลังจะจากไป กำลังจะเปลี่ยนไป ไม่เหลือแม้เถ้าแห่งความสำเร็จ อย่าเสียใจกับสิ่งนั้น เพราะอย่างน้อยในกาลครั้งหนึ่งเราก็เคยได้รับความสุขจากมัน แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าลองตัดความทุกข์ในปัจจุบันลงสักนิด แล้วหาความสุขกับเรื่องราวที่ผ่านมา แต่ก็มิได้หมายความว่าจะต้องไปจมอยู่กับกองอดีต อยู่กับปัจจุบัน แต่เราก็สามารถแกะกล่องความทรงจำแห่งอดีตที่มีความสุขบ้าง หากเวลาในปัจจุบันมันทุกข์ทรมานเกินไป อย่าไปเสียน้ำตาให้กับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เพราะมันก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรให้กลับมาได้ จงอย่าเรียกร้องให้สิ่งดีๆ ที่ผ่านพ้นกลับมา แต่ก็อย่าทำให้ความทุกข์จากไป จงเก็บมันไว้ในส่วนลึกของหัวใจที่เรียกว่า...ความทรงจำ บางทีมันอาจจะสอนอะไรแก่เราเมื่อเราหยิบยกกาลเวลาช่วงนั้นออกมาพินิจดู หนังสือเล่มนี้นอกจากจะบอกและชี้ข้อคิดถึงเรื่องกาลเวลาแล้ว ยังกล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์ด้วย...คนเรา...ธรรมชาติของคนเราก็เห็นประโยชน์ความสุขและประโยชน์ส่วนตนที่อยู่ใกล้มาก่อนอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีใครยอมรับออกมาตรง ๆ เท่านั้น ใครจะสละความสุขของตัวเพื่อมอบมันแก่คนอื่น หรือใครจะรอคอยความสุขที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่รู้ว่าจะมาถึงแน่หรือเปล่า จึงคว้าเอาความสุขใกล้ตัว แล้วปล่อยให้คนรอคอยเหมือนกันต้องผิดหวัง และไม่มีแม้ถ้อยคำที่กล่าวง่ายๆ ว่า “ขอโทษ” นั่นคือสิ่งที่ตัวละครที่โลดแล่นในหนังสือเล่มนี้ได้พบ และสอนให้ผู้อ่านเข้าใจธรรมชาติของกาลเวลาว่า “ต้องมีการเปลี่ยนแปลง” ธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่มีใครมีสีขาวบริสุทธิ์และก็ไม่มีใครดำจนมืดสนิท ทุกคนล้วนอยู่ตรงกลางของเฉดสีทั้งสอง ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นจะมีเฉดสีใดเข้มกว่า แต่ก็ไม่มีใครที่จะผสมสีทั้งสองเข้าด้วยกันได้ เพราะคงไม่มีความดีใดที่แฝงไปด้วยความชั่ว และคงไม่มีสิ่งที่เลวร้ายมองกลับมุมแล้วจะเป็นสิ่งที่ดีเหนือสิ่งอื่นใด กล่าวคือคนเราก็ต้องมีทั้งสิ่งที่ดีบ้าง และสิ่งที่เลวร้ายบ้างในตัว และไม่มีใครที่จะมีความดีและไม่ดีในการกระทำเพียงอย่างเดียว...ดังนั้นการที่มีแนวโน้มไปในแนวระนาบของสีขาวเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งการเสียใจและเสียหายทางความรู้สึกของผู้ที่กระทำและผู้ที่ได้รับผลกระทบของการกระทำนั้นๆ

ท่านที่กำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาหรือแม้แต่การกระทำของตัวเอง โปรดดีใจและภูมิใจหากมันเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ควรเสียใจหากมันเป็นเรื่องร้าย ควรจะถือว่ามันเป็นประสบการณ์ การเดินทางของชีวิตก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องพบเจอกับความจริงต่างๆ ที่ผ่านเข้ามากับการเดินทางในทุกช่วง อย่างไรก็ตามหากต้องการข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับการเป็นไปของสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยแน่นอนและยืนยาว การได้อ่านหนังสือที่เขียนมาพร้อมที่จะให้เราอ่านและคิดตาม ตามการดำเนินเรื่องก็เป็นสิ่งที่ดี และในที่นี้ขอแนะนำหนังสือเรื่องคืนหนาวดาวอุ่น หนังสือเล่มนี้ให้อะไรกับเรามากพอควรหากคิดตามไปเรื่อยๆ และหากเรามีจินตนาการที่กว้างไกลอาจจะได้คำพูดที่แสนอ่อนหวานออกมาจากทุกระยะการหายใจจากความคิดของเราเอง บางครั้งบางตอนหนังสือเล่มนี้อาจสอนอะไรแก่เรา ตัวอย่างเช่น สอนให้เราอย่าปล่อยความทุกข์ท้อให้กลับมาทำลายจิตใจเราเอง อย่าให้มันทำลายพลังแห่งความหวังของชีวิตมนุษย์ หากเรายังมีลมหายใจ หากว่าโลกใบนี้ยังคงหมุน จงก้าวเดินต่อไป ความฝัน ความหวัง ต้องเป็นจริงขึ้นในสักวัน สิ่งที่เราเคยพ่ายแพ้ สิ่งที่เราเคยผิดหวังก็ให้ทิ้งมันไว้กับกาลเวลาในช่วงนั้นแล้วอย่าหันกลับไปมอง เก็บความรู้สึกนั้นไว้ภายใต้วันวาน...

หนังสือทุกเล่มล้วนแต่มีคุณค่าในตัวของมันเอง แต่...แต่ก็ขึ้นอยู่กับใครจะสามารถพบคุณค่าของหนังสือเล่มนั้นได้มากกว่ากัน การที่กล่าวถึงกาลเวลา...ก็เพราะกาลเวลาเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพบในทุกๆ ระยะของลมหายใจแห่งชีวิต ทุกคนต้องพบสัจธรรมของชีวิตภายใต้วงเวียนแห่งกาลเวลา ภายในกาลเวลาของคนทุกๆ คนคงแฝงด้วยความสุขและความทุกข์ปะปนกันไป คงไม่มีใครลืมความร้าวฉานได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่ความสุขที่เราต้องการจะจดจำ บางครั้งมันอาจอยู่กับเราเพียงไม่นาน ดังนั้นเรา...คนเราทุกคนจึงไม่ควรเสียใจกับความทุกข์ที่อยู่ในความรู้สึกของหัวใจ จงใช้คำว่า “เข้าใจ” แทนคำว่า “ทำไม” เพียงเท่านี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกกันว่าความทุกข์ รวมทั้งรอยน้ำตาและความทรมานของจิตใจ คงไม่เกิดขึ้นกับชีวิตของคนเรา มันอาจจะเป็นเรื่องยากแต่ก็คงไม่มีวิธีอื่น มันคงเป็นวิธีสุดท้ายและวิธีเดียวที่คนอย่างเราๆ คนธรรมดาๆ เดินดินจะสามารถทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านั้น หนังสือปลอบใจหรือหนังสือสอนใจสักร้อยสักล้านเล่มก็ไร้ความหมาย หากเรา...ผู้อ่านทั้งหลายขาดความคิดเมื่อได้อ่านข้อคิดของหนังสือแต่ละเล่ม ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติแห่งการคิดวิเคราะห์ แต่ทว่าประสิทธิภาพและวุฒิภาวะของคนเราต่างกัน เราจึงต้องทำทุกสิ่งอย่างเต็มความสามารถ สิ่งที่ฝันเราจะไปถึงหรือไม่ก็ตาม จงภูมิใจกับความสำเร็จของความรู้สึก โปรดอย่าเสียใจหากเราไปไม่ถึงจุดหมาย อย่าเสียดายเวลาที่เสียไป และอย่าทิ้งความฝันนั้น ขอให้มีความสุขกับการทำในสิ่งที่ตนรัก ขอแค่การที่ได้รัก แม้จะไปไม่ถึงดาวที่เราคาดฝัน แต่เราก็ได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว หากเป็นได้เช่นนั้นก็คงจะดี...

การแนะนำหนังสือ เล่มนี้สิน่าอ่าน ในครั้งนี้ แนะนำเรื่องเวลาในขวดแก้ว และคืนหนาวดาวอุ่น เพราะเป็นหนังสือที่ให้กำลังใจเราได้เป็นอย่างดี เผื่อว่าจะมีใครท้อแท้แต่ไม่ท้อถอย หรือคนที่ต้องการหาประสบการณ์ชีวิตจากการอ่าน ได้รู้ถึงคุณค่าของกาลเวลาที่คนส่วนใหญ่มักจะเห็นคุณค่าของมัน เมื่อผ่านพ้นไปไกลแสนไกล...