กลับไปหน้า สารบัญ
หั ว เ ชื อ ก วั ว ช น
สัมพันธ์หลากหลายในสายเชือก
ข้อมูล อาคม เดชทองคำ เรื่อง วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์
ภาพ : ชัยชนะ จารุวรรณากร
    เชือกในมือเด็กเลี้ยงวัวถูกทอดออกไป ขดกลับเข้ามา แล้วก็ทอดออกไปอีก ปลายของมันพุ่งไปในทิศทางของวัวชนกลางลานทราย แต่ไม่ถึง อย่างนี้ไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวตลอดการพันตูของ "ไอ้โหนด" คล้ายกับจะสื่อความรู้สึกจากใจคนเลี้ยงว่า
    "เอาให้ตายเลยไอ้โหนด"
(คลิกดูภาพใหญ่)     ไอ้โหนดทดแทนใจพ่อแม่พี่น้องที่โยนมากับเชือกจูงวัว ด้วยลีลาชนอันจัดจ้าน เสยเขาทิ่มแทงคู่ต่อสู้ เสียง "ผลัวะ ๆ" ได้ยินถึงบนอัฒจันทร์ แลเห็นได้ชัดว่า "โคขาว" ฝ่ายตั้งรับกล้ามเนื้อสั่นระริกตลอดตัว อย่างนี้ราคาต่อรอง "สิบสองร้อย/ร้อย" ไม่มีใครรอง
ความจริงตามคำบอกเล่า วัวชนไม่เคยชนกันถึงตาย (แม้กระทั่งสาหัส) มันรู้แพ้รู้ชนะตามประสาสัตว์ ที่จะตายก็คนดูนั่นละ เวลาลุ้นเมามัน คนถือเชือกกับอีกบางรายที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ ก็จะเคลื่อนตัวเข้าใกล้วัวโดยไม่รู้ตัว จนกรรมการกลางสนามต้องเอาผ้า หรือไม้ใกล้มือไล่ฟาด พวกนั้นจึงถอยกลับด้วยท่าทีพร้อมจะเขยิบเข้าไปใหม่ทุกเวลา
    ชวนสงสัยว่าอะไรทำให้ต้องทุ่มเทเชียร์กันขนาดนี้ ?
    พอวัวชนะ บ้างก็ชูมือกระโดด...ตีลังกาลงในปลักขี้เลน  แสดงอาการลิงโลด เข้าสวมกอดวัวทั้งกลิ่นคาวเลือด บางคนร่ำไห้ออกมาด้วยความหนำใจ "ได้แรงอก" ภาพต่อมาเป็นการคล้องพวงมาลัย ตกแต่งประดับประดาเขาด้วยปลอกที่มีพู่สีสดใส ตลอดจนเสื้อสามารถก็มีให้วัว ชาวบ้านร้านตลาดเห็นต้องรู้ว่า "วัวกูชนะ" โดยที่วัวไม่รู้ความหมายคุณค่าที่แท้ของสิ่งเหล่านี้เลย ด้านผู้แพ้พากันจูงออกทางด้านหลัง หน้าบอกบุญไม่รับ 
    ชัยชนะหมายถึงเงินรางวัลตุงกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงเจ้าของวัว และพรรคพวก แต่ว่าไปแล้ว พิธีการประกาศชัยชนะนั้นสำคัญกว่า มีความหมายกว่าในสังคมชนวัว "ชนะ" เป็นเงินเท่าไหร่ไม่ต้องพูดถึง ขอให้ชนะเท่านั้นเป็นพอ
    อย่างน้อย ชัยชนะที่บ่อนบ้านเสาธงครั้งนี้ก็ทำให้ "โหนดนำโชค" วัวชาวบ้านจากลานสะกามีคนกล่าวขวัญถึงอีกนาน มีนายหัวสนใจอยากได้เป็นเจ้าของมากขึ้น และที่สำคัญสามารถทำให้มันยืนเป็นตัวหลักของวัวชน "รอบพิเศษ" ในรายการใหญ่ที่กำลังจะมาถึงได้สบาย ๆ 
    ณ อีกมุมของบ่อนบ้านเสาธง นักเลงวัวชนคนหนึ่งเฝ้าดู "ทางชน" ของไอ้โหนดอย่างตื่นเต้น เขาเป็นเจ้าของโคขาวเพชฌฆาตจากอำเภอทุ่งใหญ่ 
    ตื่นเต้นเพราะรู้เลยว่ามีโอกาสในการช่วงชิงชัยชนะจาก "โคโหนดนำโชค" ผู้ชนะในวันนี้ 
 (คลิกดูภาพใหญ่) วัวใต้ 

    ฝนโปรยรับงานเดือนสิบแต่เช้าวันต้นเทศกาล ดังคำท่านว่า "คนมีวาสนาทำบุญฝนตก ยาจกทำบุญแดดออก" ด้านคนต่างถิ่นก็เข้าถึงภาวะที่ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ของอากาศคาบสมุทรภาคใต้ไปพร้อมกัน
    ชนวัวเป็นส่วนหนึ่งของงานบุญ ? คงไม่ใช่เรื่องจะมาสอบถามกันเวลานี้ (มิฉะนั้นจะต้องลากไปถึงว่า "บุญ" คืออะไร) การชนวัวดำรงอยู่ควบคู่กับจังหวัดนครศรีธรรมราชมาช้านาน ในฐานะกีฬาพื้นบ้าน ในเทศกาลบุญเดือนสิบ ตรุษสงกรานต์ ปีใหม่ ถือว่าขาดวัวชนไม่ได้
    ช่วงเทศกาลบุญเดือนสิบ (ราวปลายเดือนกันยายน) สนามชนวัวหรือบ่อนวัวบ้านยวนแหลของอำเภอเมือง จัดมหกรรมชนวัวต่อเนื่องกันเจ็ดแปดวัน เปิดฉากจากสาย ๆ ว่ากันไปจนใกล้ค่ำจึงแล้วเสร็จ ๑๘-๒๐ คู่ มีให้ดูกันจุใจขนาดนี้ บริเวณรอบ ๆ สนามชนวัวจึงกลายเป็นคอกขนาดใหญ่ให้โคถึกกว่า ๒๐๐ ตัวพักแรมรอลงสนาม พร้อมคนเลี้ยงวัว หุ้นส่วนชีวิตที่กินนอนด้วยกันนานแรมเดือน
    ชนวัวช่วงเทศกาลจัดว่าเป็นนัดพิเศษ วัวเก่งก็มีวัวใหม่ก็มาก เนื่องจากตลอดปี จังหวัดนครศรีธรรมราชมีชนวัวแทบทุกสัปดาห์ หมุนเวียนกันไปในหกสนามของอำเภอต่าง ๆ โดยแต่ละสนามได้รับอนุญาตให้จัดเดือนละครั้ง 

 (คลิกดูภาพใหญ่)     หากต้องการขยายภาพความนิยมใน "กีฬา" ชนิดนี้ ให้กว้างขึ้นจากเมืองคอน จะเห็นว่าพัทลุง ตรัง สงขลาก็มีบ่อนชนวัวของตัวเองจังหวัดละสองสามสนาม รวมเป็น ๒๒ สนามทั่วภาคใต้ในขอบเขตวัฒนธรรมชนวัว บางจังหวัดแม้ไม่มีบ่อนชนวัวเป็นการถาวร แต่ก็นิยมเลี้ยงไว้ขายและชนต่างถิ่น 
    วัวดีที่สุดของภาคใต้ขณะนี้ นักเลงวัวยอมรับว่าเป็นวัวของบ้านนาสาร สุราษฎร์ธานี ซึ่งไม่มีสนามชนวัวของตัวเอง
    นอกจากนี้ การที่โคถึกวัยคะนอง ช่วงอายุระหว่าง ๕-๑๕ ปี ไม่อาจจะลงสนามได้ทุกบ่อยเหมือนนักมวยงานวัด ชนครั้งหนึ่งต้องพักรักษาตัวไปสองสามเดือน บางตัวต้องหกเดือน จึงติดคู่ชนครั้งใหม่ อาจเป็นตัวอย่างทางสถิติ แสดงให้เห็นว่าเรามีวัวชนหมุนเวียน อยู่ในลานทรายอันมหึมามากมายเพียงใด
   
หากคุณนั่งรถผ่านย่านที่มีรถเก๋ง รถปิกอัป มอเตอร์ไซค์จอดเต็มสองฟากถนนเป็นแนวยาว เก้าในสิบที่เจอก็ควรเป็นสังเวียนชนวัว ที่ซึ่งเงินสด ๆ สะพัดวันละเหยียบ ๑๐ ล้านบาท หากเป็นวัวดีของภาคใต้ค่าหัว ๓-๔ แสนบาทโคจรมาเจอกันด้วยแล้วบ่อนแทบปริ ค่าผ่านประตูรอบเดียวอาจเก็บได้ถึง ๓ ล้านบาท เหมือนที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์จำติดตาว่า "ใบห้าร้อยยัดใส่หลัว...ไม่ต้องนับ"
    เรามักจะเห็นวัวชนต่อเมื่อมันถูกจูงเข้าสนาม หรือยามออกเดินถนนกับคนเลี้ยง ตามฐานะความสัมพันธ์ ระหว่างวัวชนกับคนเลี้ยงหรือเจ้าของ ทว่าระหว่างหัวเชือกทั้งสองข้าง คือในมือคนจูงวัวข้างหนึ่งกับจมูกวัวข้างหนึ่ง ยังประกอบด้วยสายสัมพันธ์แวดล้อมอื่น ๆ ที่มองไม่เห็นของ "สังคมชนวัว" ซึ่งควรแก่การสนใจไม่น้อย นับตั้งแต่ครอบครัวคนเลี้ยงวัว, เถ้าแก่ (นักธุรกิจ) เจ้าของวัว, นายสนามชนวัว, ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดชนวัว, นักพนัน, พ่อค้าแม่ค้า, คนให้เช่าที่พักวัว, ผู้อุปถัมภ์สนาม, นักการเมืองท้องถิ่น นอกจากนี้ยังอาจหมายรวมถึง ขนบนิยมแฝงเร้นว่าด้วยการเสี่ยงสู้ ความต้องการเอาชนะ ไว้เหลี่ยมไว้เชิง ไม่ยอมเสียเปรียบของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาศัยวัวชนเป็นตัวแทน
    การคลายเกลียวเชือกแห่งความสัมพันธ์คงต้องเริ่มตั้งแต่ -- วิถีความคิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งวัวดี 
..................................................................
 (คลิกดูภาพใหญ่)     การได้มาซึ่งชัยชนะต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกเฟ้นวัวชน
    "ลุงดำ" เจ้าของวัวโหนดนำโชค ยังคงเชื่อเรื่องลักษณะเด่นจำเพาะของวัวดี ที่คนรุ่นเก่าเชื่อถือสืบกันมาว่า ให้ดูที่ขวัญ เขา สี ลักษณะอันเป็นศุภลักษณ์
"โคโหนด" มีสีแดงอมน้ำตาลระเรื่อของลูกตาลโตนดตรงบริเวณลำตัว ใต้ท้อง ส่วนหัวและสะโพกเป็นสีดำ "โคดุกด้าง" หมายถึงสีเทา - ดำหม่นเหมือนสีปลาดุก "ลังสาด" ก็คือสีน้ำตาลของผลลางสาด นอกจากนั้นก็มี สีแดง สีขาว นิลที่เป็นสีดำจนถึงดำเข้มตลอดทั้งตัว นักเลงวัวเรียกขานวัวของเขา จากสีพ่วงท้ายด้วยฉายาที่อาจเป็นลักษณะเฉพาะของวัวตัวนั้น หรือที่เป็นมงคลโดนใจ 
    แต่ละสียังมีโทนสีปลีกย่อยออกไปพอสมควร น่าสนใจตรงที่มีความเชื่อกันว่า วัวสีหนึ่งจะชนะวัวบางสี และอาจจะแพ้วัวบางสี เช่น วัวนิลเพชรชนะวัวโหนด วัวโหนดชนะวัวขาว ส่วนวัวที่ถือกันว่ามีลักษณะดีเลิศ ชนะวัวทั้งปวงคือ "วัวศุภราช" ลำตัวสีแดงเหมือนแสงเพลิงที่รุ่งโรจน์ แต่มีรอยด่างขาวตั้งแต่โคนหางตลอดถึงตา โดยเฉพาะบริเวณเท้าทั้งสี่ หาง หนอก หน้า ดังคำกล่าวที่ว่า "ตีนด่าง หางดอก หนอกผาดผ้า หน้าใบโพ" แต่วัวลายโดยทั่วไปที่ไม่ใช่วัวศุภราช จะไม่เป็นที่นิยมใช้เป็นวัวชน เพราะถือว่า "วัวลายควายขาวย่อมใจเสาะ" เจ้าของบางคนเลือกวัวที่สีถูกโฉลกกับชะตาราศีตัวเองด้วย 
      ดูขวัญ เขา สีแล้ว ยังต้องดูลักษณะเด่นบางอย่างประกอบ ตั้งแต่ รูปหน้า หู ตา หาง ลึงค์ ลูกอัณฑะ จนถึงขนที่อวัยวะเพศ อย่างที่ชาวบ้านประมวลไว้คล้องจองว่า "หู ตาเล็ก หางร่วง หัวรก หมอยดก คิ้วหนา หน้าสั้น เขาใหญ่ ลูกไข่ช้อนไปข้างหน้า" แต่ถ้าวัวมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งที่ เขากาง หลังโกง หางสั้นหรือยาวมากเกินปรกติ ถือกันว่าไม่ดี 
    แต่จากประสบการณ์ของคนเลี้ยงวัว ไม่มีวัวตัวใดที่มีนิมิตดี ครบถ้วนทุกลักษณะวัวชน แล้วจริง ๆ ก็ไม่น่าจะมีวัวครอบครองลักษณะเลว ครบถ้วนทุกกระบวนท่าเหมือนกัน ส่วนใหญ่มีทั้งลักษณะดีและร้ายคละปนกัน วัวชนที่มีลักษณะดี ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นวัวชนที่ดี  และชนชนะเสมอไป ขณะที่ตำราลักษณะวัวชนกล่าวว่า วัวที่ลักษณะร้ายสามข้อดังกล่าวข้างต้น รวมอยู่ในตัวเดียวกัน คือ "เขากาง หางเกิน และหลังโกง" ก็กลับถือว่าเป็นลักษณะที่ดี ว่ากันว่า "แดงไพรวัลย์" วัวชนลือชื่อในอดีตก็มีลักษณะเช่นนี้ 
    สิ่งที่คนรุ่นก่อนบอกเล่าต่อมาในรูปมุขปาฐะ นับเป็นภูมิปัญญาจากการเฝ้าสังเกต เก็บข้อมูลมาเนิ่นนาน วัวชนเป็นกีฬาที่ต้องต่อสู้แบบประจันหน้าตัวต่อตัว ดังนั้นการที่อวัยวะบางส่วน มีคุณลักษณะเด่น ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบคู่ต่อสู้ ในขณะที่อวัยวะบางส่วนต้องมีขนาดเล็ก เพื่อจะได้รอดพ้นจากการทำลายของคู่ต่อสู้ให้มากที่สุด คนปักษ์ใต้แยกอธิบายว่า
      "เขา" วัวชนต้องมีโคนเขาใหญ่และแคบ ช่วยป้องกันไม่ให้ปลายเขาของคู่ต่อสู้ ทะลวงเข้าไปทิ่มแทงกล้ามเนื้อบริเวณกกหู และลำคอได้ 
    "วงหน้า" ต้องมีขนาดเล็ก มนและสั้น ด้านหน้าของหัวแคบมีความสัมพันธ์กับโคนเขาใหญ่ ทั้งนี้ก็เพื่อ จำกัดพื้นที่ส่วนหน้า ที่จะต้องเสียดสี และเปิดรับอาวุธคู่ต่อสู้ให้น้อยที่สุด 
    "คิ้วและตา" คิ้วหนา ตาเล็กต่างก็เกื้อกูลในทำนองที่จะช่วยปกป้องตา ไม่ให้ได้รับอันตรายจากทั้งปลายเขาของคู่ต่อสู้ และเลือดที่ไหลในขณะทำการต่อสู้ 
    ขณะที่ลักษณะบางอย่างน่าจะมาจากความเชื่อล้วน ๆ เช่น "หัวรก หมอยดก" ชาวบ้านแปลความว่า เป็นวัวที่มีใจมาก น้ำอดน้ำทนสูง ไม่ยอมแพ้คู่ต่อสู้ง่าย ๆ
(คลิกดูภาพใหญ่) สังเวียนกลางทุ่ง

    ตอนลุงดำซื้อไอ้โหนดมา มันอายุราวหกเดือน เงิน ๖,๐๐๐ กว่าบาทก็เหมาะสมดีกับวัวพันธุ์พื้นเมือง ที่ใช้งานในไร่นาทั่วไปวัยขนาดนี้ ส่วนมากคนซื้อไม่รู้หรอกว่า ลูกวัวที่ได้มา มีเชื้อพันธุ์วัวชนเก่งกาจผสมอยู่บ้างหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นลูกวัวสายพันธุ์ดีนั้น ซื้อขายกันในราคาสูงเกิน ๑ หมื่นบาท 
    แต่แกเห็นว่ามันมีรูปลักษณ์ดีตามคตินิยม (เท่าที่เห็นได้ในขณะนั้น) 
    วัวทั่วไปพออายุ ๓-๔ ปีก็เริ่มถึก และเริ่มชิงความเป็นจ่าฝูง โดยการประลองกำลังชั้นเชิงในการต่อสู้ และน้ำใจอดทน เจ้าของฝูงจะคัดเลือกตัวชนะไว้เป็นพ่อพันธุ์ ตัวที่แพ้ก็ทุบลูกอัณฑะตอนเสีย ไม่ให้ขยายพันธุ์เสีย เรียกกันว่า "วัวลด" แต่สำหรับคนเลี้ยงระดับชาวบ้าน มีวัวแค่วัวสองตัว ถ้าชนเก่งก็ถือว่าโชคดีเหมือนถูกหวย ถ้าไม่สู้เพื่อนก็เลี้ยงเป็นวัวเนื้อโดยปริยาย ไอ้โหนดโตเป็นหนุ่มก็เริ่มส่อแววว่า มีอุปนิสัยส่อไปในเชิงชอบต่อสู้ เช่น ซุกซน ปราดเปรียว ชอบชนกับวัวอื่น ๆ ในทุ่ง ไม่กลัวแม้เผชิญหน้ากับตัวใหญ่กว่า ประสาที่เรียกว่า วัวด้น - แบบเดียวกับมฤตยูดำ ไมค์ ไทสัน นักมวยเฮฟวีเวต
    จึงเริ่มซ้อมชนกลางทุ่งนาเพื่อดูทางชน หรือชั้นเชิงของมันว่าจะอยู่ในระดับไหน ที่สำคัญมากคือดูใจแห่งความเป็นนักสู้ว่าชนได้นานเพียงใด หากวัวชนได้เพียง ๕ นาที หรือเพลี่ยงพล้ำเพียงเล็กน้อย แล้วหันหลังหนีก็ใช้ไม่ได้ เหมาะจะเลี้ยงเป็นวัวเนื้อมากกว่า การชนแบบนี้จะต้องพันเขาด้วยพลาสเตอร์ เพื่อแสดงเจตนาบริสุทธิ์ว่า ไม่ได้เล่นพนัน และมักชนกับวัวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่ไม่เคยผ่านสังเวียนจริงมาก่อน 

(คลิกดูภาพใหญ่)     ปัจจุบันวัวที่ชาวบ้านซื้อมาเลี้ยงราคา ๑ หมื่นบาท พอเอามาซ้อมชนจะจะเพียงครั้งสองครั้ง อาจขายให้เถ้าแก่ได้ทันที ๔-๕ หมื่นบาท ทว่าหลายคนก็ปฏิเสธไม่ยอมขาย ลึก ๆ ทุกคนก็หวังจะให้วัวโตขึ้นมา กลายเป็นตำนานวัวชนอย่างโคโพเงิน โคแดงไพรวัลย์ โคขาวรุ่งเพชรทั้งนั้น โคโพเงินเป็นวีรบุรุษของครอบครัวกาฬคลอด และชาวบางบูชา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากตายไปแล้ว คนในครอบครัวยังให้ความรักความผูกพันประหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ จึงได้สตัฟฟ์ไว้บูชาและจัดที่อยู่อันควรให้ 
    เจ้าโหนดเองก็มีคนเลียบเคียงขอซื้อมากมาย แต่เมื่อมันชนชนะสังเวียนกลางทุ่งครั้งหลังสุด ลุงดำและพรรคพวก ก็รู้ว่ามันจะเป็นวัวมีระดับในอนาคต ได้ใช้ชีวิตท่องไปตามสังเวียน เพื่อล่าเดิมพันวงเงินล้าน
    ความจริงเกี่ยวกับชีวิตวัวชนข้อหนึ่งจากปากนักเลงคือ การเป็นวัวชน เท่ากับยืดเวลาการตายของมันออกไป นานกว่าปรกติ วัวดี สุขภาพสมบูรณ์จะสามารถชนจนถึงอายุ ๑๒-๑๕ ปี พวกนี้มักจะอยู่ได้จนสิ้นอายุขัยในแปลงหญ้า ขณะที่วัวไม่ได้เป็นวัวชน อายุได้เพียง ๓-๔ ปีก็ถูกส่งขายเขียงเนื้อ 
.................................................
      "โคนิลเพชรหัวใจสิงห์" ดาวรุ่งอายุ ๗ ปีของบ่อนยวนแหล มีประวัติต่างจากไอ้โหนด มันเป็นผลผลิตจากสายพันธุ์ของวัวชนชั้นดี สายพันธุ์ดีหมายถึง gene วัวชนชั้นเลิศจากทางสายแม่ (พ่อของแม่เป็นวัวชน หรือพี่น้องตัวผู้ของแม่เป็นวัวชนระดับแชมป์เปี้ยน) ยิ่งถ้าผสมกับสายพ่อที่เป็นวัวชนระดับขุนพล ลูกที่ได้ย่อมมีพันธุ์ประวัติดี เข้าทำนอง "เชื้อมักไม่ทิ้งแถว" 
    เจ้านิลมีองค์ประกอบสำคัญซึ่งเป็นที่นิยมอีกข้อหนึ่ง คือโครงสร้างของร่างกายที่แข็งแรง -- คร่อมอกใหญ่ บั้นท้ายเล็กเรียวลาดลงคล้ายสิงโต วัวคร่อมอกใหญ่ได้เปรียบเพราะ ยามเข้าต่อหัว วัวจะทุ่มน้ำหนักไปข้างหน้าทั้งหมด ฝ่ายที่มีหน้าตัดของกล้ามเนื้อมาก หรือมีมวลมากย่อมได้เปรียบ จะสามารถกดดันคู่ต่อสู้ ให้เสียการทรงตัวได้ง่าย ขณะเดียวกันก็ต้านแรงปะทะจากคู่ต่อสู้ได้ดี  
    ทุกวันนี้เวลาจะซื้อวัวชน คนมีแนวโน้มที่จะเลือกวัวสายพันธุ์ดี (แม้ราคาแพงกว่าสองสามเท่า) มากกว่าจะเลือกว่าขวัญอยู่ตรงหนอก หรืออยู่กลางหลังตามภูมิความรู้ที่สั่งสมมา กระแสคิดที่แปรเปลี่ยน นอกจากแสดงว่าคนอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ ในการคัดเลือกมากขึ้นแล้ว จะเป็นไปได้ไหมว่า มันยังสะท้อนถึงลักษณะนิสัย เกี่ยวกับความต้องการเอาชนะ ที่เข้มข้นขึ้นของคนกลุ่มนี้ด้วย
 (คลิกดูภาพใหญ่)     วัวทั้งสองแสดงชั้นเชิงเข้าตานักเลงวัว และได้รับการขุนอย่างจริงจัง ฟิตตัว ออกกำลังแข็งแกร่ง...กล้ามคอขึ้นแน่นปึ้ก 
    หลังจากชนบ่อนชนะเพียงสองครั้ง มันก็ถูกซื้อมาอยู่กับเถ้าแก่ของบ่อนยวนแหล ด้วยราคา ๔ หมื่นบาท ตอนนี้ราคาของมันสูงจน "ไม่มีราคา" "ซื้อสิบกว่าเราก็ไม่ขาย" ครูจุ๋ม เจ้าของใหม่บอก "มันไม่ได้มีไว้ขาย" -- "สิบ" ของเขาภาษานักเลงวัวนักพนันหมายถึง ๑ แสนบาท
    ความที่ "เนื้อเลี้ยง" -กำลังบำรุงดี ทำให้ไอ้นิลได้รับการวาง (ซ้อมชน) ทุก ๑๕-๒๐ วัน มีคนเลี้ยงประจำสองคน ไม่นับคนตัดหญ้า อีกทั้งลุงเจ้าของคนเดิม ที่หมั่นมาดูแลเสมือนเป็นพี่เลี้ยงให้อีกคน 
    ในรอบหนึ่งวัน ทั้งเช้าและเย็นไม่ว่าสภาวะอากาศจะอย่างไร คนเลี้ยงจะพาวัวเดินออกกำลังตามถนนดิน หรือชายหาด ระยะทางใกล ้- ไกลตามแต่ต้องการ เดินวัวรอบเช้ากลับมา จะต้องอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้วัว ยิ่งใกล้วันแข่ง จะมีการเพิ่มรอบอาบ พร้อมด้วยการนวดเฟ้นให้วัวสดชื่นกระปรี้กระเปร่า หญ้าที่วัวชนกินต้องเป็นหญ้าตัดสด ๆ เท่านั้น ไม่ปล่อยให้วัวเดินแทะเล็มหญ้ากินเอง ในระยะหลังเริ่มมีการเลือกชนิดของหญ้าด้วยว่า ต้องเป็นหญ้าหราดกับหญ้าหวายข้อ ที่มีไขมันน้อยเท่านั้น วัวจึงได้รับธาตุอาหารที่เหมาะสม บางคนพอวัวติดคู่ชนแล้ว จะไม่ตัดหญ้าซ้ำที่เดิม เพราะกลัวถูกวางยา
    วัวกินหญ้าไปพร้อม ๆ กับ "ตรากแดด" แม้เมื่อกินหญ้าอิ่มแล้ว ก็ยังคงถูกปล่อยไว้ที่เสาหลักกลางแจ้ง ท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้าต่อไป เพื่อลดไขมัน และสร้างความเคยชินต่อภาวะตรากตรำ จะทำให้ไม่เหนื่อยง่ายเมื่อทำการชนจริง
 (คลิกดูภาพใหญ่)     สำหรับคนเลี้ยงวัวระดับชาวบ้าน กิจกรรมการประคบประหงม ต้องใช้แรงงานอย่างน้อยสองคน ไม่พ่อกับแม่ก็พ่อกับลูกชาย ต้องใช้ทั้งเวลา และความวิริยะอุตสาหะ ชาวบ้านจึงเลี้ยงวัวชนได้ไม่มากกว่าคราวละหนึ่งตัว หากมีภาระต้องดูแลลูก หาเงินส่งลูกก็เลี้ยงไม่ได้ 
    ฝ่ายคนที่รับจ้างเถ้าแก่เลี้ยงวัวก็ใช่ว่าเขาจะมีความผูกพันธ์ มุ่งมั่นในชัยชนะ ถึงขั้นทุ่มเทชีวิตให้แก่วัวชนน้อยกว่ากรณีที่เป็นเจ้าของเลี้ยงเอง เพราะความจริงคือ พวกเขาจะต้องกินนอนอยู่กับวัว เกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูก วัวชนตัวนั้นเป็นของพวกเขานั่นเอง โดยที่มีเถ้าแก่ (ซึ่งทำธุรกิจอย่างอื่นเป็นหลัก) ซื้อมาให้เลี้ยง
    คำว่า เลี้ยงวัว ของบรรดาเถ้าแก่ นายหัว จึงหมายถึงเขาจะต้องเลี้ยงคนเลี้ยงวัว เลี้ยงครอบครัวของคนเหล่านั้นให้อยู่ดีกินดี ถ้าครอบครัวคนเลี้ยงวัวมีปัญหา เถ้าแก่จะต้องมาดูแลด้วย มิฉะนั้นวัวจะมีปัญหาไปด้วย เหมือนที่มีคนสรุปว่า "ถ้าเขากินไม่อิ่ม ต้องมีปัญหาอย่างหนึ่งอย่างใดต่อวัวอย่างแน่นอน"
    เพราะสภาพแวดล้อมในสังคมชนวัวสอนให้รู้ว่า วัวชนนั้นต้องอยู่ในสถานะหุ้นส่วนของชีวิต ถ้าเลี้ยงแบบทีเล่นทีจริง ทำแบบขอไปทีก็จะไม่มีทางกำชัยชนะได้เลย
    เมื่อตัดสินใจได้ว่าวัวและตัวเองพร้อมที่จะติดคู่ชนแล้ว เจ้าของก็จะเอาวัวไปเปรียบที่บ่อน ตามวันเวลานัดหมาย หรือถ้าเป็นวัวมีชื่อชั้น ก็อาจตกลงติดคู่กันเองระหว่างเจ้าของวัว หรืออาจมีคนกลางเชื่อมประสานหาข้อตกลงโดยไม่ต้องไปที่สนาม
    การเปรียบวัวถือเป็นการประลองกำลังขั้นแรก ซึ่งอาจส่งผลถึงการแพ้ - ชนะกันได้ 
 (คลิกดูภาพใหญ่) ทำคำ

    สองสัปดาห์ก่อนถึงวันเปรียบวัว กลุ่มเจ้าของวัวบางรายจะตรากวัว ด้วยการให้วัวตากแดดตลอดวัน ควบคุมปริมาณน้ำและหญ้าให้วัวอิดโรย ไม่แสดงอาการคึกสู้ บางครั้งยังปล่อยให้ละเลงโคลนตมจนเลอะเทอะไปทั้งตัว ทั้งนี้เพื่อพรางตาฝ่ายตรงข้ามว่าวัวผอม ตัวเล็ก ดูแล้วไม่น่ากลัว ทำให้โอกาสติดคู่ได้ง่าย
    การเปรียบหาคู่ชน โดยทั่วไปจะนำวัวเข้าเทียบเคียงกัน เพื่อให้ทีมงานและหุ้นส่วน ร่วมกันดูและตัดสินใจว่าจะติดคู่กับตัวใด -- ดูขนาดตัวใกล้เคียงกัน, อายุจริง - อายุในการชน ว่ามีประสบการณ์ผ่านศึกมาโชกโชนเพียงใด, ลักษณะของเขาที่เหมือน ๆ กัน เพื่อไม่เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน แต่กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้ตายตัวเสมอ นักเลงบางคนดูทางชนด้วย พอเห็นวัวของเขาเหมาะกับทางชนฝ่ายโน้น ก็ตกลงทันที ตัวจะเสียเปรียบนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร วัวตัวเก่งชนชนะติด ๆ กันหลายครั้ง มักต่อน้ำหนักให้คู่ต่อสู้ พอได้คู่ชนแล้วก็ตกลงวงเงินเดิมพันกัน เดิมพันมาตรฐานจะอยู่ที่ ๒๐,๐๐๐-๑ ล้านบาท โดยนายสนาม ผู้จัดการสนามเป็นคนคอยเชื่อมประสานให้เกิดการลงตัวทั้งสองฝ่าย
    วัวยืนเทียบกันท่ามกลางบรรยากาศการซุบซิบของเจ้าของ ในเชิงหารือกับคนยืนข้างเคียง เสียงพูดค่อย ๆ หลุดออกมาเป็นระยะ ๆ -- 
    "กูว่าเอาได้นี่วะ" 
    "เสียสั้นสักหิดแต่ได้ยอด" 
    "เสียบางสักหิดแต่ได้ยาว"

 (คลิกดูภาพใหญ่)     ซึ่งในบรรดาผู้รายล้อมอยู่นั้น ฝ่ายจัดการของสนามก็ต้องการรวบรัดให้ได้คู่วัวเร็วที่สุดและมากที่สุดในหนึ่งวันเปรียบ โดยเฉพาะคู่วัวที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้กันว่าถ้าตกลงชนกันได้แล้ว ก็จะพนันกันด้วยเงินเดิมพันก้อนใหญ่ เงินเดิมพันก้อนใหญ่ จะเป็นแรงจูงใจให้คนเข้ามาดูสร้างรายได้ ให้ทางสนามอย่างงาม จึงอยากให้ทุกอย่างลงตัวโดยเร็วที่สุด
    ฝ่ายนักเลงวัวชนซึ่งพาวัวตัวเองตระเวนไปตามบ่อนต่าง ๆ ทั่ว รู้จักทางชนของวัว ว่าวัวตัวไหนชนอย่างไร ใจแค่ไหน และคุ้นชินกับเกมที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย  ชิงความได้เปรียบกันและกัน  แต่ทางด้านเจ้าของวัวหน้าใหม่ อาจตกเป็นเหยื่อของคนเลี้ยงวัวของสนาม ที่ได้จัดหาวัวตัวเด็ด ให้คนซุ่มเลี้ยงเอาไว้ เข้ามาเชียร์ให้ตกลงชนโดยไม่รู้เท่าทัน
    พอเห็นว่าวัวของฝ่ายตนได้เปรียบ หรือเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มลังเล แบ่งรับแบ่งสู้ ก็จะมีคนเข้าไปเชียร์ ด้วยการขันอาสาเป็นผู้รับรองในบางเรื่อง ที่เจ้าของวัวไม่แน่ใจ พูดด้วยวาจาท้าทาย ยุยงส่งเสริม เช่น
    "ถ้าไม่เอา (ตกลงชน) กับตัวนี้ กูให้จูงกันเชือกขาดก็ไม่ได้ชน"
    "เอาตะ...กูถือ เดิมพันกัน" 
    "ของหมัน (ของเขา) ไม่ใช่ดีไหรนิ ไม่เอากับตัวนี้ก็เภาแหละหมึง" (เภา= ไก่เภาที่รูปร่างใหญ่แต่ไม่สู้เพื่อน)
    อาจบางที ขนบนิยมของท้องถิ่นนั่นเองบอกเขาว่าถ้าเพื่อนท้าแล้วต้องสู้ ยอมไม่ได้ คำว่า วัวลด นอกจากหมายถึงวัวประเภท "ดังกล่าว" แล้ว ในภาษาของชาวนาในลุ่มน้ำนี้ใช้เรียกผู้ชายที่ (ใจ) ไม่สู้ด้วย ซึ่งไม่มีใครอยากเป็น
 (คลิกดูภาพใหญ่)     สิ่งสำคัญที่สุดของการตกลงทำการชน นายสนามจะเรียกทั้งสองฝ่ายมาทำสัญญา เรียกว่า ทำคำ สำหรับนักเลงวัวแล้ว การทำคำมีผลบังคับใช้กับคู่สัญญา มากกว่าการทำสัญญประเภทอื่น มันน่าจะกินความถึงการพูดคำไหนคำนั้นด้วย คู่สัญญารู้ดีว่าหากฝ่าฝืน หรือละเมิดสัญญาเมื่อใด นายสนามผู้เปี่ยมบารมี อาจจะนำมาตรการของศาลเตี้ยมาใช้ได้ทุกเมื่อ ทำให้ไม่เคยเกิดข้อขัดแย้ง จนถึงขึ้นโรงขึ้นศาลจากกรณีนี้แม้แต่ครั้งเดียว
    การให้ความสำคัญต่อการพูดคำไหนคำนั้น หรือสัญญาทางสังคม มากกว่าสัญญาลายลักษณ์อักษร ดูจะช่วยเสริมภาพนักเลงให้แก่คนในแวดวงวัวชน ในเมื่อ "นักเลง" หมายถึงความใจกว้าง เพื่อนฝูงมาก พูดคำไหนคำนั้น พฤติกรรมเหล่านี้ถือเป็นอุบายเชิงรุก เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการต่อไป
    ทำนองเดียวกับคำตอบว่า "ติดคู่ชนแล้ว" ต่อคนไถ่ถามที่ผ่านไปผ่านมา ดูสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ทุกคน มิใช่ในระดับ "วัวมีคู่ชน" เฉย ๆ แต่หมายถึงการได้เสี่ยงสู้ และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนักเลงด้วย
      วัวเองก็เหมือนรู้ ไอ้นิลเอาตีนหน้าทั้งสองสลับกันตะกุยทราย แสดงอากัปกิริยา จานดิน พ่นลมหายใจออกจากจมูกแรง ๆ เดินออกจากสนามวัวยวนแหลที่เปรียบวัว โดยไม่ต้องจูง แสดงว่ามันคึก เหมือนที่เคยทำฮึดฮัดกระตุกเชือก เวลาได้ยินเสียงวัวตัวอื่นชนในสนาม -- "นิลเพชรหัวใจสิงห์" ชนรอบพิเศษวันที่ ๓ ของงานบุญเดือนสิบกับวัวจากสุราษฎร์ฯ อำเภอบ้านส้อง เดิมพันข้างละ ๔ แสนบาท "โหนดนำโชค" เจอกับวัวจากอำเภอทุ่งใหญ่ ซึ่งเป็นค่ายที่รู้กันในแวดวงว่าซ้อมดี เดิมพันติดปลายเขา ๔ แสนเช่นกัน
    ด้วยเงินอุดหนุนค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายบางส่วนจากทางบ่อน ก่อนทำการชนหนึ่งเดือน ไอ้โหนดกับวัวอีกหกตัวจากอำเภอลานสะกา ย้ายเข้าค่ายพักวัวชั่วคราวด้านหน้าบ่อน เป็นทีมเดียวกัน คณะที่มาจากต่างตำบล ต่างจังหวัดก็พากันมาปักหลักอยู่รอบ ๆ บ่อนคึกคัก เพื่อให้วัวเรียนรู้ และคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของสนามใหม่ สถานที่ใหม่ในด้านต่าง ๆ เช่น ดิน น้ำ อากาศ และหญ้า จะทำให้วัวไม่ตื่นตระหนก และชนได้นานเสมือนกับชนในถิ่นฐานตัวเอง 
    เรื่องให้วัว "ลงที่" กับสภาพแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญ หลังจากเดินออกกำลังช่วงเย็น วัวชนต่างถิ่นมักจะถูกพาไปเล่นบ่อน หรือเดินภายในสนามแข่งขัน เพื่อให้คุ้นเคย และพักผ่อนคลายเครียด หลังจากที่มันอยู่ในแผนการฝึกปรือดูแลรักษามาตลอดวัน เจ้าวัวบางรายยอมถอนตัวจากการแข่งขัน เพียงเพราะเห็นว่าสถานที่นั้นหญ้าไม่ดี รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมไม่น่าไว้วาง หรือวัวลงซ้อมคู่แล้วไม่ยอมชน ยอมเสียมัดจำตามอัตราบ่อน ๓๐ เปอร์เซ็นต์จากเงินเดิมพันโดยที่เขาไม่รู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด "ดีกว่ายอมเสียเงินแสน หรือเสียวัว"
 (คลิกดูภาพใหญ่) ค่ายพักวัว

    ภายในค่ายพักวัวคือพื้นที่แห่งความ "สดและสาบ" กลิ่นของวัว ขี้วัวและหญ้าสด ๆ เคล้าคละปะปนกัน
กระต๊อบที่ปลูกสร้างติด ๆ กันเป็นห้องแถวของวัวดูทรุดโทรมไปบ้างในสายตาคนภายนอก เพราะสภาพเก่าคร่ำของมัน บวกกับความไม่ใส่ใจดูแลตัวเองของเด็กเลี้ยงวัว แต่บริการสำหรับวัวชนแต่ละตัว ต้องบอกว่า...ทุกระดับประทับใจ
    ยามเย็นหลังจากอาบน้ำลงขมิ้นให้วัว พวกเขาจะสุมไฟไล่เหลือบยุงให้หุ้นส่วนชีวิต ขณะปล่อยให้มันกินหญ้าจากกระบะ (บางคนคอยป้อนหญ้าให้) วัวทุกตัวมีมุ้งตาข่ายขนาดใหญ่เป็นของตัวเองภายในกระต๊อบ ขี้ เยี่ยวก็มีคนคอยรอง หรือเก็บกวาดเสมอ เด็กเลี้ยงวัวพูดว่า "วัวต้องออกเดิน กินและอาบน้ำครบถ้วน แต่ผมเองอาจไม่ครบ...ไม่จำเป็นต้องครบ"
    ผ่านไปตามโรงเรือนเกือบทุกแห่ง จะเห็นมะพร้าวกองสุม เจ้าของวัวว่าน้ำมะพร้าวอ่อน เป็นอาหารบำรุงกำลังวัวชน นอกจากนี้มันยังได้อาหารเสริมเป็นไข่ไก่ และถั่วเขียวต้ม โดยนักโภชนาการยังไม่มั่นใจว่า ไข่ไก่สดจะมีผลทางสร้างสรรค์อย่างไร ต่อสัตว์เคี้ยวเอื้อง บางคนเพิ่มความแข็งแกร่งภายในด้วยแคลเซียม ฉีดยาบำรุง ถ่ายพยาธิ ให้น้ำเกลือบ้างกรณีที่อากาศร้อนจัด

 (คลิกดูภาพใหญ่)     เกี่ยวกับสารกระตุ้นประเภทสเตรียรอยด์ เป็นเพียงข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยัน เพราะผู้เลี้ยงวัวระดับชาวบ้าน ไม่มีความรู้ว่าจะให้อย่างไร ปริมาณเท่าไร จึงกลัวสารตกค้างทำให้เสียวัวไปมากกว่า จะมีบ้างก็แต่สิ่งสารออกฤทธิ์เร็ว ที่คนกินได้ เช่น เหล้าขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง แต่สำหรับคนที่แน่ใจว่าวัวตัวเองสู้ จะไม่ให้กินของพวกนี้เลย
    กลางคืนจะมีเด็กเลี้ยงวัว หรือเจ้าของอย่างน้อยหนึ่งคน นอนเฝ้าวัวอยู่ข้าง ๆ ตลอดคืน พวกที่เหลือจะจับกลุ่มคุยกันอยู่ตรงนอกชาน เฝ้าระวังไม่ให้คนเข้ามาวางยา หรือกระทำการใด ๆ ให้วัวผิดปรกติจนพ่ายแพ้การแข่งขัน ยิ่งใกล้วันแข่งขัน บรรยากาศภายในค่ายก็ยิ่งเคร่งเครียดและเข้มงวด 
คนเฝ้ายามอดนอนหัวกระเซิงเหมือนผีดิบ
    "นักเลงวัวอย่างน้อยต้องไม่แพ้เพราะเพื่อนเอาเปรียบ ไม่คลางแคลงใจว่าเสียรู้คนอื่น" (เสียสตางค์บางทีไม่เท่าไหร่) ชายคนหนึ่งพูดนัยน์ตาเขม็ง "เบื่อวัวทำได้หลายแบบ เช่นสมัยก่อนเอาตะปูเข็มตอกตรึงบริเวณโคนเขาให้วัวรู้สึกเสียวและเจ็บปวด เอาของยัดใส่เข้าในรูหู หรือตำพืชสมุนไพรบางชนิดให้กินแล้วท้องอืดท้องร่วง เดี๋ยวนี้อาจเอายานอนหลับใส่กล้วยโยนให้กินตอนเจ้าของเผลอ หรือยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ปริมาณที่ไม่ถึงกับทำให้ตาย แค่มึนเมาเศร้าซึมผิดปรกติ 
 (คลิกดูภาพใหญ่)     "สังเกตดูได้วัวจะขาสั่น ไม่มีแรง พอปล่อยชนก็หันหลังวิ่ง"
    นี่คือสาเหตุที่ผู้เลี้ยงวัว จะต้องทำรั้วพร้อมกับขึ้นป้ายประกาศเป็นเขตหวงห้าม ต้องมีคนคอยเฝ้าโรงเรือนอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับหมาดุ ๆ กับการเลือกตัดหญ้าแบบไม่ซ้ำที่ ในเมื่อกระทำการต่อฝ่ายตรงข้าม ต้องฝ่าแนวป้องกันหลายชั้น แนวโน้มของผู้เห็นแก่เงิน จึงมุ่งไปในทางกระทำกับวัวตัวเองมากกว่า บางคนซุ่มให้วัวกินหญ้าจนอ้วนพี ไม่ตากแดด ไม่นำออกเดิน วัวจึงไม่แข็งแกร่งพอจะสู้ เรียกว่า "บ่มวัว" บางคนก็กลั่นแกล้งวัวของตน ให้ได้รับความเจ็บปวดทรมาน หรือให้วัวต้องตรากตรำก่อนวันชน โดยไม่ให้พักผ่อนเลย กรณีนี้มักจะทำกับวัวตัวที่เป็นต่อมาก ๆ จากนั้นเจ้าของวัว ก็ให้พวกพ้องตัว แอบไปเล่นพนันวัวอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นวัวรองด้วยเงินมาก ๆ แต่บางครั้งผลการต่อสู้ก็อาจกลับตาลปัตรได้ คือวัวที่เคยชนชนะบ่อย ๆ มักมีศักดิ์ศรีของผู้ชนะ และจิตใจนักสู้อยู่เหมือนกัน มันกลับสู้ยอมตายถวายชีวิต จนเป็นฝ่ายชนะทำให้เจ้าของวัว ต้องประสบกับความหายนะไปก็มาก
    คนจำพวกนี้ในวงการวัวชน ถือว่าไม่มีจิตใจเป็นนักเลง ไม่มีน้ำใจนักกีฬา จะถูกสังคมนี้อัปเปหิไม่คบค้าสมาคม และเล่นพนันด้วย และที่สำคัญก็คือเสี่ยงต่อการถูกเล่นงาน จากฝ่ายจัดการของสนาม เพราะทำให้นายสนามขาดความเชื่อถือ ในการบริหารจัดการ จนกระทบต่อการดำเนินการในเชิงธุรกิจการแข่งขัน
    นักเลงวัวยืนยันว่า "ถ้าบ่อนไหนมีการต้มวัว คนจะไม่เข้าจนร้างไปเอง"
 (คลิกดูภาพใหญ่)     รุ่งเช้า เนื้อที่บริเวณรอบ ๆ กว่า ๑๐ ไร่ แลดูคล้ายตลาดวัวควายกำลังเริ่มติดตลาด พี่เลี้ยงจูงวัวออกเดินขวักไขว่ทั้งเข้าและออก หลังจากเดินวัวตามเป้าหมายแล้ว พวกเขามักไปนั่งชุมนุมกันในร้านน้ำชา กลายเป็น "ชุมทางวัวชน" ริมทาง 
    นอกจากเจ้าของวัว ในร้านอาจมีอดีตเจ้าของวัว นายหัว นักพนัน นั่งพูดคุย ถามผลวัวชนเมื่อวาน เหมือนผู้ชายออฟฟิศคุยถึงผลฟุตบอล ยุแหย่กันฉันคนที่รักการเสี่ยงด้วยกัน แม้บางคนไม่คุ้นเคยเป็นการส่วนตัว แต่อย่างน้อยก็คุ้นหน้า (ในวงการ) เมื่อได้นั่งฟังจับสังเกตนานเข้า จะพบว่า แต่ละคนต่างก็มีวัวดีของตัวให้พูดถึง ในอดีตพวกเขาเคยเป็นเจ้าของวัวดัง เคยชน ๒ แสนกันมาแล้ว ขณะที่คุย
    สายตาของวงสนทนา ณ ร้านน้ำชามักจะพุ่งตรงไปรวมศูนย์อยู่ที่วัวซึ่งผูกเรียงรายอยู่ในคอก 
    การพูดคุยวิเคราะห์วิจารณ์มักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า "ถ้า" ในแทบทุกประโยค "ถ้าตัวนั้นแทงติดก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ" 
    "ถ้าตัวโน้นชนได้นานถึง ๑๐ นาทีขึ้นไปก็จะชนะลูกเดียว" 
    หรือ "ถ้าตัวนั้นกินเพลียงไม่ได้ก็จะเป็นตัวแพ้" 
(คลิกดูภาพใหญ่)     ในบางครั้งการสนทนาด้วยมุมมองที่แตกต่างระหว่างคู่คุย ก็จะนำไปสู่การตกลงพนันขันต่อกันล่วงหน้าก็มี อย่างไรก็ดี เหมือนที่คนบอกว่าในวงการพนัน "จะมีคนซื่อตรงได้เพียงแค่แมวนอน" เท่านั้น -- ก็คือการพูดจานั้น  ไม่ได้เสนอความจริงทั้งหมด เพื่อให้เพื่อนสำคัญผิดบางประเด็น เปรียบได้กับแมวที่พยายามนอนให้ตรงอย่างไร ก็ยังคดคู้อยู่ดี บางคนเปิดตัวทักทายด้วยการยั่วยุให้เล่า ด้วยหมายที่จะล้วงข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม เพื่อประโยชน์ในเกมการพนัน ทั้งของตัวเองและนายหัว บรรยากาศเช่นนี้จะหวนกลับมาอีกครั้ง ในช่วงเย็นที่มีเบียร์ เหล้าขาวเป็นสื่อ  แต่ใช้เวลาไม่นานเท่ากับช่วงเช้า เพราะต้องอาบน้ำวัว และประคบประหงมอื่น ๆ ต่อไป
    อันที่จริงคณะวัวชนที่มาจากตำบลเดียวกัน พำนักอยู่บริเวณใกล้ ๆ กัน รวมทั้งนักเลงวัวเจ้าถิ่นแถบ ๆ อำเภอเมือง มีความสัมพันธ์กันมากกว่าการดูแลช่วยเหลือกันฉันเพื่อน แต่หมายถึงการอุปถัมภ์กัน เป็นทีมเดียวกันในเชิงการพนันด้วย เงินเดิมพันวัวแต่ละคู่ เป็นความรับผิดชอบของเจ้าของวัวก็จริง แต่โดยส่วนใหญ่เงินจำนวน ๘ หมื่นหรือ ๒ แสนไม่ได้เป็นของคนคนเดียวหรือสองคนเท่านั้น แต่เป็นของหุ้นส่วนหลาย ๆ คนในหมู่บ้าน ฝากมาลุ้นวัวชนที่ตนเองชื่นชอบ คนที่ไม่ได้มาก็ฝากมาเล่นด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เรียกให้เก๋ว่าเป็นผลึกของความสัมพันธ์ก็ได้ 
    เดิมพัน ๒ แสนของวัวนิลเพชรหัวใจสิงห์ จึงรวมเอาเงิน "ลุง" คนที่เคยเลี้ยงมันด้วย นอกจากแกติดตามมาดูแลไม่ห่างแล้ว ยังมาเอาเดิมพันด้วยเช่นกัน ซึ่งเจ้าของคนใหม่บอกว่าต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน "เป็นน้ำใจ พึ่งพากัน วันหน้าวัวเขาชนเรา อาจต้องพึ่งพาอาศัยเขาบ้าง" 
(คลิกดูภาพใหญ่)     บรรยากาศการพนันขันต่อ ดูท่าว่าจะไปกันได้กลมกลืน กับกลิ่นอายความเชื่อ ไสยศาสตร์ในหมู่นักเลงวัว
    ก่อนมหกรรมชนวัวเดือนสิบจะเริ่มหนึ่งวัน ต้นยางใหญ่หลังสนามยวนแหล ยังมีผ้าแดงเก่า ๆ ผืนเดียว พอวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าผ้าสีพันเต็มไปหมด ในค่ำคืนก่อนจะทำการชน เจ้าของบางคนนิยมบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่นับถือสืบทอดกันมา ทั้งจากภูมิลำเนาเดิม และในบริเวณสนาม วัวใหม่ที่ลงชนในบ่อนครั้งแรก ก็จะมีหมอทำพิธีปลุกเสกให้ในคืนก่อนจะลงสนาม ซึ่งเป็นพิธีที่ปิดลับ ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด
    ชาวบ้านบางคนห้ามพระภิกษุ เข้ามาในบริเวณโรงวัว เพราะเชื่อว่าจะทำให้วัวของตนใจบุญ มีใจสงสารไม่ประหัตประหารคู่ต่อสู้เพื่อชัยชนะ บางคนไม่ยอมให้คนแปลกหน้าถ่ายรูปวัว กลัวเอาไปสักเลขลงยันต์ให้แพ้ และด้วยชื่อของมัน "ปลาไหล" ซึ่งโดยธรรมชาติไม่ได้มีชื่อเสียงด้านการต่อสู้เลย แต่ก็ถูกเอาเลือดผสมข้าวสุก นำไปพอกที่ปลายเขาวัว เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้วัวของตน ทิ่มแทงคู่ต่อสู้อย่างได้ผลจนเลือดไหล
      ใกล้วันชน ทีมงานของ "ไอ้นิล" ช่วยกันลงขมิ้นบริเวณหัว หนอก และลำตัวส่วนต้น ๆ ทุกเย็น นัยว่าเพื่อให้ทนทานต่อคมเขาคู่ต่อสู้ เขาทั้งสองข้างก็อาบด้วยน้ำผึ้งผสมยาดำ จนมันวาวให้ทนทานเช่นกัน จนวันสุกดิบก่อนทำการชนในวันรุ่งขึ้น ไอ้นิลรวมทั้งโคถึกทุกตัว จะถูกลับปลายเขาแต่งให้แหลมด้วยกระจก ขัดกระดาษทราย แล้วปกปิดยอดไว้อย่างดีด้วยพลาสติกล็อกเขา 
    นับจากนาทีนี้ บริเวณภายในคอก จะกลายเป็นเขตปลอดบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด เขาพูดเสียงเรียบและห้วนว่า "วันนี้วันสำคัญ วัวอาบน้ำแล้วจะไม่ให้ใครเข้าในโรง"
 (คลิกดูภาพใหญ่) วัวรอบพิเศษ

    เสียงกลองตุ้ง ๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้นำวัวเข้าสู่สนาม...
    ที่สุดของการเตรียมวัวชน นับตั้งแต่การคัดสรรให้ได้มาซึ่งวัวดี เลี้ยงดู อยู่บำรุงประคบประหงม ซ้อมชน และติดคู่ชน ก็คือวันที่ทำการชนวันนี้ เพราะเป็นวันที่จะพิสูจน์ ตรวจสอบว่าสิ่งที่เจ้าของวัวแต่ละคนคิด เชื่อและคาดหวังนั้นเป็นจริงเพียงใด--
    เกมของนักเลง เกมของคนไม่ยอมถูกเอาเปรียบ ที่เต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ เกมของคนไม่ยอมแพ้ จะออกมาในรูปใด
    เมื่อโฆษกสนามให้สัญญาณกลองอีกครั้ง เจ้าของวัวแต่ละฝ่าย ทำการเช็ดล้างวัวของตัว เพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมที่อาจจะทำให้เกิดการได้เปรียบกัน แล้วตามด้วยกรรมการกลางของสนาม จะเช็ดล้างบริเวณใบหน้า ลำคอ โคนเขา ซอกหู ตลอดไปถึงคร่อมส่วนหน้าเป็นครั้งที่ ๒ โดยต่างฝ่ายต่างก็ส่งตัวแทน ไปควบคุมการเช็ดล้างของกรรมการด้วย เพื่อป้องกันการลำเอียงที่อาจจะเกิดขึ้น และก็มีสิทธิ์ทักท้วง จนกระทั่งเป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย
    กรณีที่เป็นการชนกันระหว่างวัวคู่สำคัญ โดยเฉพาะคู่วัวที่มีเดิมพันตั้งแต่ ๑ ล้านบาทขึ้นไป นอกจากจะกระทำตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว ยังมีการปันน้ำกลางที่ผสมผงซักฟอก จากทางสนาม เพื่อเช็ดล้างครั้งสุดท้ายอีกด้วย หลังจากที่มาตรการต่าง ๆ ได้ถูกนำมาเพื่อตรวจสอบ และขจัดสิ่งแปลกปลอม จนถึงขั้นสุดท้ายก่อนที่จะวางวัวให้ชนกันคือ การใช้ทรายลูบปลายเขา เพราะที่ปลายเขาของวัวบางตัวอาจเคลือบ ทา หรือใช้มีดกรีดปลายเขาให้เป็นร่องเล็ก ๆ แล้วใส่ของมีพิษ หรือสารที่สร้างความแสบร้อน กรณีนี้ทรายจะช่วยป้องกันได้ดีที่สุด
    จากนั้นจึงเอากล้วยสุกละเลงทั่วบริเวณหน้า กกหู โคนเขา และลำคอวัว กลบกลิ่นสาบของฝ่ายตรงข้าม เพราะนัยว่าวัวหนุ่มจะเกรงวัวแก่ คู่ชนแต่ละคู่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่า วัวของอีกฝ่ายอายุเท่าไร่ ก็เลยทากลบกลิ่นเป็นการป้องกันเสียก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จูงวัวมาต่อหัวกันกลางสนาม...

 (คลิกดูภาพใหญ่)     วัวคู่สำคัญ อัฒจันทร์ผู้ชมชั้นที่ ๑ ของสังเวียนวัวยวนแหล คนแออัดกันแทบจะปริ ควันบุหรี่คละคลุ้งไม่หยุด เช่นเดียวกับการต่อรองที่แสดงผ่านการกวักมือ โบกมือ แบมือ เจ้าของวัวเกือบทั้งหมดมารวมอยู่ในสนามทางฝั่งชั้นที่ ๑ นอกจากนี้ยังมี นักเลงระดับนายหัว พ่อค้า นักธุรกิจ เจ้าของนากุ้ง เจ้ามือหวยใต้ดิน แม้แต่ข้าราชการ ทั้งนักพนันอาชีพ และสมัครเล่นมาพบปะกันโดยมิได้นัดหมาย พวกเขาแทบไม่ต้องพูดจากัน แต่สัญญาเกิดได้เพียงแค่สัญญาณมือ กับบัญชีหางว่าว ที่ตัวเองเขียนขึ้นว่าต่อรอง ออกตัวไว้กับใครบ้าง เขาพูดจากันด้วยภาษามือกับเงินสด ๆ เท่านั้น ไม่มีเครดิต เช็ค คนไม่มีเงินสดในมือ จึงถูกสกัดกั้นไม่ให้เข้าบ่อนโดยปริยาย
    อัฒจันทร์ชั้น ๒ ด้านตรงกันข้ามเป็นของเซียนท้องถิ่น คนขับรถ ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เยาวชนที่ติดตามผู้ใหญ่เข้าไปเชียร์วัว หรือมีความชื่นชอบทางด้านนี้ก็มาก ตามความจริงคนดูชั้น ๑ และ ๒ ยังมีการแบ่งกลุ่มภายในโดยปริยาย ด้วยเม็ดเงินที่ทุ่มแทงในการเล่นพนัน -- มุมเงินล้าน, มุมเงินแสน กลุ่มใครกลุ่มมัน ภาษาที่ใช้ในการพนันขันต่อก็ผิดแผกกันในด้าน 
    ความนัยของหลักตัวเงิน "สิบ" ในกลุ่มหนึ่งหมายถึง "พัน" แต่อีกมุมหมายถึง "แสน"
    ขณะที่พวกหนึ่งกำลังดูวัวชนอย่างเคร่งเครียด ภายในสนามอีกมุมหนึ่งมีการเลี้ยงเหล้าเบียร์ หมูเห็ดเป็ดไก่ เหมือนเลี้ยงโต๊ะจีน บรรยากาศชื่นมื่นจนน่าประหลาดใจ กลุ่มหนึ่งอาจเป็นเจ้าของวัวรวมทั้งญาติพี่น้องจากตำบลเดียวกัน เลี้ยงฉลองที่เอาชนะเดิมพัน และปลอบใจคนแพ้ กลุ่มหนึ่งอาจเป็นของฝ่ายจัดการสนาม กลุ่มนายหัวเลี้ยงเพื่อนฝูง คนในอุปถัมภ์ ตาม "โต๊ะจีน" เหล่านี้ นายสนาม ผู้จัดการสนาม หรือประธานกรรมการชี้ขาดของสนาม จะแวะเวียนเข้าไปดูแล
    ผู้ที่เข้าไปเล่นพนันในบ่อน บางครั้งไม่ได้เข้าไปเพียงเพื่อเล่นการพนันอย่างเดียว การพนันอาจเป็นเหตุผลรองลงมา เนื่องจากผู้ชมชอบวัวชนในสายเลือด และได้รับขนานนามว่า นักเลงวัวจะมีความภูมิใจ มันหมายถึง พรรคพวก ใจกว้าง มีเพื่อนในแทบทุกวงการ บ่อนวัวจึงเป็นสถานที่ซึ่งนักเลงเข้าไปพบปะสังสรรค์กัน การพนันกลายเป็นสื่อ ให้เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวในระดับหนึ่ง ที่แต่ละคนจะรู้ตำแหน่งแห่งที่ของตนในสนามอย่างชัดเจน
    มีความเป็นไปได้ที่จะกล่าวว่า เมื่อเริ่มแรกบริเวณรอบ ๆ บ่อนชนวัวจะต้องเป็นที่ว่างเปล่าจำนวนนับสิบ ๆ ไร่ แต่ด้วยพลังอำนาจของบ่อน ที่สามารถสร้างงานอาชีพ และรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวนไม่น้อย ได้ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐานรอบ ๆ บ่อนในเวลาต่อมา
    ครั้งหนึ่งสนามวัวเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการเชื่อมโยงกลุ่มผลประโยชน์เข้าด้วยกัน เพื่อโยงใยไปหาประโยชน์แอบแฝงอีกทอดหนึ่ง มากกว่าที่จะหาประโยชน์จากการจัดชนวัว นายสนามและผู้ดำเนินการ อาจไม่มีกำไรจากการชนวัว เนื่องจากผู้ชมชั้น ๑ ล้วนแต่เป็นที่ผู้อุปถัมภ์บ่อน -- นายอำเภอ ปลัดอำเภอ เจ้าของวัว เม็ดเงินที่ทางสนามได้รับจริง ๆ มาจากคนดูชั้นสอง แต่จำนวน และสถานภาพคนดูชั้น ๑ เป็นบารมีของนายบ่อนให้เป็นที่นับหน้าถือตา มีชื่อเสียงบารมี มวลชนเหล่านั้น จะเป็นฐานเสียงทางการเมืองในระดับหนึ่ง 
    เป็นที่รู้กันว่านักการเมืองระดับชาติหลายคน เริ่มต้นด้วยฐานคะแนนเสียง จากแวดวงวัวชน ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันสนามวัว ถูกนำใช้ไปในฐานะที่เป็นอาชีพ หรือหารายได้ในเชิงธุรกิจมากขึ้น
    วัวดีมีชื่อเสียงโด่งดัง แสดงถึงความสามารถ และบารมีของนายสนามเป็นสำคัญ กล่าวคือ นายสนามจะต้องเป็นผู้ที่สังคมวัวชนเชื่อถือ และไว้วางใจสูง มีเพื่อนฝูงที่คอยให้ความช่วยเหลือ ขอร้องเจ้าของวัวชนที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก และที่สำคัญคือ จะต้องมีเครดิต ที่จะรองรับเรื่องเงินเดิมพันของวัวบางตัว ที่มีไม่เพียงพอ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งต้องการจะชนด้วยเงินเดิมพันจำนวนมาก เช่น ถ้าโคโหนด ก. ต้องการจะชนในวงเงินเดิมพัน ๑ ล้านบาท ขณะที่โคแดง ข. รับได้เพียง ๗ แสนบาท แสดงว่าอีก ๓ แสนที่ขาดไป นายสนามจะต้องบริหารจัดการมาเติมจนเต็ม วัวคู่พิเศษจึงจะได้ชน เป็นต้น
........................................................
 (คลิกดูภาพใหญ่)     วัวชนไม่อาจรู้คุณค่าความหมายที่แท้ของการฉลองชัย แต่ตามธรรมเนียมผู้ชนะ ต้องมีผ้าคล้องคอ ปลอกเขา หรือเสื้อสามารถ ส่วนผู้แพ้ ถ้าเป็นวัวที่ชนครั้งแรก จะเสี่ยง ๕๐/๕๐ ที่จะถูกส่งไปอยู่บนเขียงเนื้อ หรือเลี้ยงต่อไปชนครั้งที่ ๒ การแพ้ของวัวที่ชนมานานหกเจ็ดครั้ง จะถูกปรนนิบัติในสองลักษณะ หนึ่ง - ปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติในแปลงหญ้า เป็นพ่อพันธุ์จนสิ้นอายุขัย สอง - เสี่ยงให้ชนดูอีกสักครั้ง เพราะวัวพรรค์นี้ ถือว่ามีน้ำอดน้ำทนใช้ได้ ที่แพ้อาจเพราะแพ้ทางก็เป็นได้ 
   
พอขายแล้วชาวบ้านจะมองหาลูกวัวตัวใหม่ที่มีแววต่อไป
    วัวโหนดนำโชคเป็นวัวที่แทงดีฝีเขาจัดจ้าน แต่มันไม่เคยชนนาน ๆ เพราะคู่ต่อสู้เจ็บ และยอมแพ้ไปก่อนเสียทุกครั้ง เหมือนนักมวยไม่เคยชกมากยก เมื่อมาเจอวัวโคขาวเพชฌฆาต ซึ่งเขาไม่ได้ยาวนัก แต่โครงสร้างร่างกายแข็งแรง คร่อมอกใหญ่เลยแพ้ทางชนกัน เมื่อมันหันหลังวิ่งลุงดำโบกมือขอไม่ "เกียดวัว" ด้วยการเอาไม้ยาว ๆ ไปไล่ให้มันสู้ต่อ แกเคยบอกไว้ว่า ตามสายตาของคนดู การเกียดวัวน่าจะเป็นสิ่งน่าสมเพชที่สุดของเกมชนวัว
    ส่วนไอ้นิลก็ชนะในลักษณะที่ไอ้โหนดแพ้นั่นละ แบบที่ครูจุ๋มพูดไว้ "ไอ้นิลไม่ต้องทำอะไรมาก เลี้ยวกินข้าง ๆ แล้วขึ้นคร่อมอยู่ข้างบนด้วยน้ำหนักตัว ๗๐๐ กว่ากิโลกรัมโถมขึ้นทับทำให้อีกตัวต้องยก "รื้อ" ด้วยพละกำลังทั้งหมด มันก็หมดเรี่ยวแรงแพ้ไปเอง
    วัวแพ้ ลุงดำและลูกน้องไม่มีคำโอดครวญ หาเหตุจากการพ่ายแพ้ต่อกัน ถ้าแม้นมีอยู่ก็เป็นเพียงพูดตัดพ้อ หยอกล้อด้วยเสียงหัวเราะแค่น ๆ ระหว่างแกกับเด็กที่ช่วยเลี้ยงวัว ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเท่านั้น ลงท้ายด้วยวลีที่ให้กำลังใจว่า "ไม่พลือ...เอาใหม่" ไม่ยอมแพ้ 
    ไอ้โหนดที่มันวิ่งรอบสนาม ลุงดำก็ตามเอาเชือกจูงวัวโยนใส่ให้มันด้วยแววตาห่วงใย แสดงสัมพันธภาพอันลึกซึ้ง ไม่แผกต่างจากตอนที่แกเชียร์.... จนหายตื่นแล้วจึงเข้าจับเทียนที่จมูกของมัน
 (คลิกดูภาพใหญ่) ขอขอบคุณ
    วิโชติ เกตุชาติ
    สันติ เกตุชาติ
    เปลี่ยน เกตุชาติ
    ผู้ใหญ่บ่าว มาแก้ว
    ลุงเล็ก-ป้าประมวล ศิลปผล และเจ้าของวัวชน ผู้ดูแลวัวชนทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการทำสารคดีเรื่องนี้ 
  หนังสือประกอบการเขียน
    วัวชนกับคนใต้ จรัญ จันทลักขณาและผกาพรรณ สกุลมั่น บรรณาธิการ
    "ชนวัว" สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ โดยวิเชียร ณ นคร

 (คลิกดูภาพใหญ่) สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ อาคม เดชทองคำ
เบื้องหลังงานวิจัย หัวเชือกวัวชน

    "ชนเหล่าใด ใครก็ตามที่ยิ่งมีปฏิกิริยาตอบโต้อันแข็งกร้าว แต่ขาดเหตุผลในเชิงวิชาการ ต่อการค้นพบโดยผ่านการพิสูจน์ซ้ำ จนตกผลึกในงานศึกษาวิจัยเรื่องหัวเชือกวัวชนมากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นการชี้ชัดว่า "ข้อค้นพบ" ในงานวิจัยชิ้นนี้มีความเป็นจริงมากขึ้นเพียงนั้น"
    อาคม เดชทองคำ กล่าวประโยคนี้ไว้ที่ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช ที่เขาสอนเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๔๓ -- เป็นช่วงเวลาที่ตัวท่านเองต้องหลบไปยังที่สงบ และปลอดภัยเป็นครั้งคราว รอให้เรื่องคลี่คลาย

 (คลิกดูภาพใหญ่)     วัวชนนั้นเกี่ยวกับที่มามีผู้เห็นแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมีความเห็นว่า การเลี้ยงวัวไว้ชนกัน เป็นแบบฉบับของภาคใต้โดยเฉพาะ มิได้เอาแบบอย่างจากที่อื่นทั้งในและนอกประเทศ "จังหวัดในภาคใต้ที่นิยมเลี้ยงก่อนใครอื่น คือจังหวัดนครศรีธรรมราช และพัทลุง แล้วได้กระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วภาคใต้และบางจังหวัดในภาคกลาง และภาคเหนือในเวลาต่อมา" 
    ขณะที่ผู้รู้บางท่านเสนอว่า ชาวไทยภาคใต้ น่าจะได้กีฬาประเภทนี้มาจากพวกโปรตุเกส กล่าวคือในสมัยพระเจ้าเอมมานูเอลแห่งโปรตุเกส ได้แต่งทูตเข้ามาเจริญพระราชไมตรีกับสยามใน พ.ศ. ๒๐๖๑ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา นับเป็นฝรั่งตะวันตกชาติแรก ที่เดินเรือเข้ามาค้าขายกับสยาม และได้ทำการค้าขายในสี่เมืองรวมทั้งนครศรีธรรมราช นอกจากทำการค้าแล้ว ชาวโปรตุเกสบางพวกยังได้เผยแพร่ขนบธรรมเนียมไว้หลายอย่าง เช่น การติดตลาดนัด การทำเครื่องถม และการชนวัว เป็นต้น
    งานวิจัยว่าด้วยวัวชน การชนวัวก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายหน หลากหลายจุดประสงค์ของการวิจัย แต่ก็ไม่เคยมีคนใต้เดือดร้อน กระทั่งเมื่อชิ้นงาน "หัวเชือกวัวชน" ที่ อาคม เดชทองคำ เสนอเป็นส่วนหนึ่งของชุดงานวิจัย "โครงสร้างและพลวัตวัฒนธรรมภาคใต้กับการพัฒนา" โดยศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เป็นหัวหน้าโครงการ "กลายเป็นข่าว"
    เมื่อ "ส่วนควบ" ของงานชิ้นนี้ขุดเอากำพืดพื้นผิว (surface trait) และกำพืดซ่อนเร้น (sources trait) เฉพาะตัวของประชาคมปักษ์ใต้กลุ่มหนึ่งมาพิสูจน์ซ้ำอีกครั้ง เป็นต้นว่า
 อ. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (คลิกดูภาพใหญ่)     คนปักษ์ใต้มีท่าทีแข็งกร้าว ตรงไปตรงมา มีความเชื่อมั่นในตนเองและมีอัตตาสูง ทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่ ชิงการนำ ดิ่งเดี่ยว เสี่ยงสู้ ไม่ยอมรับนับถือหรือนิยมยกย่องใครง่าย ๆ ไม่ยอมเสียเปรียบเสียรู้ใครง่าย ๆ ชอบศึกษาหาความรู้เพื่อจะได้รู้เท่าทัน มีท่าทีไว้เชิง และไม่เปิดตัวก่อน เมื่อพบคนแปลกหน้า นิสัยการบริการต่ำ ค่อนข้างเฉียบขาด รักใครรักจริง เกลียดใครเกลียดจริง เป็นคนรักหมู่คณะของตน 
    นอกจากนี้ยังกล่าวถึง พฤติกรรมเบี่ยงเบนของผู้ที่ใกล้ชิดกับสังเวียน และผู้ประกอบการวัวชนโดยเฉพาะ คือ ความชื่นชอบคนที่เป็นนักเลง (ตามนิยามของพวกเขา) ซึ่งให้ความสำคัญต่อความกล้าได้ กล้าเสีย ความเฉียบขาด ไม่ยอมแพ้ใคร และไม่รู้จักแพ้ เป็นต้น บุคลิกภาพเหล่านี้ ตามสายตาของคนต่างกลุ่ม ต่างวัฒนธรรม อาจมีความรู้สึกว่าเป็นคนแข็งกระด้าง ปกครองยาก ดุ ดื้อรั้น ไม่น่าไว้วางใจ-- "คบยาก"
    ทั้ง ๆ ที่โจทย์วิจัยหรือคำถามหลักของ "หัวเชือกวัวชน" คือ การหาสายสัมพันธ์ ระหว่างวัวชนกับผู้เลี้ยงวัวชน และกลุ่มเครือข่ายเป็นย่านใยในวัฒนธรรมการชนวัว ทั้งในบ่อนและนอกบ่อน จึงได้กำหนดให้การชนวัว เป็นสัญลักษณ์ในการอธิบายทั้งบุคลิกภาพพื้นผิว และบุคลิกภาพซ่อนเร้น และประโยชน์ที่เป็นผลพวงคือ ความพยายามจะหาคำตอบให้แก่คำถามที่ว่า การชนวัวในฐานะ ที่เป็นส่วนหนึ่งของคติชาวบ้านปักษ์ใต้ (นครศรีธรรมราช) มีนัยสัมพันธ์กับโครงสร้าง และพลวัตวัฒนธรรมภาคใต้ กับการพัฒนาหรือไม่อย่างไร
    สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และตัวผู้วิจัยจึงตั้งข้อสังเกตว่า การที่มีข่าววิจารณ์อย่างรุนแรงนั้น สาเหตุใหญ่เกิดจากผู้วิจารณ์ ยังไม่ได้อ่านตัวงานวิจัยโดยตรง ทำให้เกิดความสับสน เช่น
    - เมื่อพูดคำว่า "การไว้เหลี่ยมไว้เชิง" ก็จะมีส่วนขยายด้วย "ภายใต้กติกา" จึงไม่ได้หมายถึงการใช้เล่ห์เหลี่ยม
    - ที่ว่า "แม้ไม่ได้เปรียบ แต่ต้องไม่เสียเปรียบ" ไม่ได้หมายถึง ชอบเอาเปรียบผู้อื่น แต่ไม่ยอมเสียรู้เสียเชิงผู้อื่นง่าย ๆ 
อาคม เดชทองคำ (คลิกดูภาพใหญ่)     ต่อไปนี้นักวิจัยทั้งสองท่านจะเปิดเผยถึงประเด็นที่อาจยังค้างคาใจ พร้อม ๆ กัน
สารคดี : ที่ว่าสังคมการชนวัว สร้างนักเลงปักษ์ใต้ขนานแท้ หมายความว่าอะไร
ศ. สุธิวงศ์ : โดยวัฒนธรรมพื้นบ้านหมายถึง คนที่มีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะ รักความยุติธรรม ขนาดว่าลูกตัวเองผิดก็ลงโทษ นักเลงเขาจะไม่เอาเปรียบใครเด็ดขาด ยกคนที่ควรยก ข่มคนที่ควรข่ม ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ ไม่ใช่อันธพาล ซึ่งบอกได้เลยว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีนักเลงเช่นในอดีตแล้ว ถ้ามีใครมาถามผมว่า นักการเมืองปักษ์ใต้มีใครบ้างเป็นนักเลง ตอบได้ว่าไม่มี ในทุกวงการ มีการเอารัดเอาเปรียบกัน มากกว่ารู้แพ้รู้ชนะ ถึงได้ว่าเป็นวัฒนธรรมเก่า ที่เราเพรียกหายังไง ถ้ามันกลับคืนมาจะเป็นพลัง เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน หรือการพึ่งตนเอง
สารคดี : จะไม่ถือว่าเป็นพวกโหยหาแต่หนหลัง (nostalgia) กับอดีตที่ย้อนกลับคืนมาไม่ได้หรือ
ศ. สุธิวงศ์ : ไม่มีไม่ได้หมายความว่า ทำให้เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้ แต่หมายถึง เราต้องเริ่มกลับไปหานิยามความคิดแบบเก่า นักเลงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ที่มีผลต่อการพัฒนา ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าเราเอามาใช้ในทางที่กลาย ความหมายเป็นนักเลงอันธพาลก็เสีย คนไม่อาจเข้าใจลึกลงไป ในส่วนที่เป็นส่วนดี เราอยากให้เห็นว่ารากฐานของการเล่นวัวชนเป็นสิ่งดี 
    ทั้งหมดนี้เหมือนน้ำใสปนอยู่ในน้ำขุ่น แต่พอตอนหลังน้ำขุ่นมันมากกว่า ทำอย่างไรจึงกรองเอาน้ำใสออกมาใช้ประโยชน์ เอาน้ำขุ่นทิ้งไป ที่พูดเรื่องนี้เพราะของดีมันมีอยู่แล้วในอดีต จึงง่ายที่จะนำกลับมา
สารคดี : การเอาชนะกันของวัวชน มีความพิเศษอย่างไร เมื่อเทียบกับไก่ชน ปลากัดซึ่งภาคไหน ๆ ก็มีเล่น
อ. อาคม : วัวชนบ่งชี้ถึงความเพียรพยายามที่จะเอาชนะ เด่นชัดกว่าอย่างอื่น ต้องเลี้ยงเป็นปี ๆ จึงได้ชน คนเลี้ยงใช้มากกว่าสองคนขึ้นไป ไก่ชนเลี้ยงคนเดียว สามเดือนก็ได้ชน ชนวัวมีความยิ่งใหญ่ของเครือข่ายสายสัมพันธ์
    เวลาชนะแต่ละครั้ง วัวชนมีวิธีการแสดงออกถึงชัยชนะที่ยาวนาน ยิ่งใหญ่และเป็นทางการกว่า พอชนะก็รู้ได้เลยว่า จะต้องมีวัวอื่นมาเทียบเคียงเป็นคู่ชนคราวต่อไป
ศ. สุธิวงศ์ : ชนวัวมีกลุ่มผู้เล่นกว้างขวางกว่า คนที่เล่นก็ต้องมีระดับสูงกว่าด้วย กัดปลาชนไก่อยู่ในวงที่จำกัด กระบวนการจัดการไม่ซับซ้อน วัวชนต้องเตรียมการเป็นพิธีรีตอง มีกลุ่มจัดการที่ชัดเจน แล้วฐานของวัฒนธรรมการชนวัว มันมีส่วนร่วมสัมพันธ์ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ถ้านักการเมืองสามารถประสานกับคนกลุ่มนี้ได้ ก็นับว่าเป็นฐานคะแนนเสียง ที่มีความสำคัญมากพอสมควร
สารคดี : เท่าที่ทราบ ชนวัวเป็นเกมที่ต่อสู้และตัดสินกันอย่างยุติธรรม ไม่เคยมีการร้องเรียนต่อทางสนาม ทำไมอาจารย์จึงไม่ชูบุคลิกนี้ของคนใต้ แต่กลับเน้นเรื่องไม่ยอมถูกใครเอาเปรียบ
อ. อาคม : แน่นอน... ถ้าใครมามอบความอยุติธรรมให้เขา เขาก็จะถามหาความยุติธรรม ดูตัวอย่างได้จากการเช็ดล้างก่อนชนวัว ความจริงอาจเป็นแบบนั้น แต่เราใช้ถ้อยคำที่ครอบคลุมไปไม่ถึง ไม่เจตนาจะเสนอแต่ในแง่ลบอย่างเดียว
สารคดี : ถึงขณะนี้อาจารย์ยังยืนยัน ที่จะตีความบุคลิกภาพของคนใต้ ในแบบเดิมหรือ
อ. อาคม : ผมยังยืนยันการตีความเดิม  แต่เพียงในกรอบของวัวชนหกบ่อนทั่วนครฯ เท่าที่ศึกษาเท่านั้น เมื่อข้อมูลเป็นอย่างนี้จะตีความเป็นอื่นไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครอธิบายตรงนี้ได้ด้วยข้อมูลล้วน ๆ ต้องมีความเป็นส่วนตัวเข้าไปบ้าง แต่คนอ่านต้องวินิจฉัยได้ว่า ระหว่างความจริงที่ปรากฏ กับอคติของผู้ตีความอะไรมากกว่า
    ใน ๑๐ ส่วนเป็นข้อเท็จจริงเสีย ๘ ส่วนก็ถือเป็นปรกติวิสัยของงานวิจัย
ศ. สุธิวงศ์ : บุคลิกภาพนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัย ซึ่งไม่ใช่เรื่องของกรรมพันธุ์ แต่เป็นเรื่องการเรียนรู้ ได้คุ้นเคยอยู่กับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นลักษณะทั้งหลายเหล่านี้ ก็มาอยู่ในนักพนันวัวชน หรือคนใกล้ชิดในเครือข่าย เรื่องหัวเชือกวัวชน ก็ไปตอบคำถามของคนทั้งภาคใต้ไม่ได้ 
สารคดี :  จุดดีด้านอื่น ๆ ของการเลี้ยงวัวชนมีอะไรบ้างครับ
ศ. สุธิวงศ์ : จุดดีทางสรีระหรือพัฒนาสายพันธุ์วัวชน ไปสู่การเลี้ยงวัวเพื่อกิจกรรมอื่น การที่เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับวัวชน นับว่าฉันทะ วิริยะเกิดขึ้น หรือการที่วัวชนสามารถสร้างเครือข่ายชาวบ้าน ก็นับว่าเป็นผลดี เขารู้สึกว่านี่เป็นวัฒนธรรมของเขา
สารคดี : นอกจากที่กล่าวแล้ว ข้อสรุปที่ได้จากงานวิจัยของอาจารย์อาคมคืออะไร
อ. อาคม : ต้องดูจากคำถามวิจัยของเรื่อง คือเป็นการค้นหาโครงสร้าง พลวัตของกลไกในท้องถิ่นว่ามันเกิดขึ้น ดำรงอยู่ในลักษณะใด โดยใช้วัวชนเป็นเครื่องมือ ผมค้นพบคนกลุ่มหนึ่งในนครศรีธรรมราช ซึ่งกลไกโครงสร้างส่วนนี้มีความแข็งแกร่ง ยึดโยงกันเหนียวแน่นในแวดวงตัวเอง โดยตัวบ่งชี้ในการอธิบาย ในที่นี้หมายถึงคติหรือตาหนาว่า ต้องทำอย่างนี้ถึงเอาชนะได้ ถ้าเลี้ยงวัวแบบปล่อยปละละเลย ไม่มีทางเอาชนะ โดยเฉลี่ยคนกลุ่มนี้ เป็นคนชอบเอาชนะ โดยใช้วัวเป็นสัญลักษณ์ตัวแทน แล้วคนกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว แต่โยงกับครอบครัว เพื่อนบ้าน ซึ่งคนกลุ่มอื่น แม้ไม่ชอบการชนวัวแต่ก็ไม่ปฏิเสธ

     เมื่อพบกลไกอย่างนี้ คนใต้มีนิสัยทางลึกแบบนี้ ถ้าคุณจะพัฒนา จะมีนโยบาย และท่าทีต่อคนกลุ่มนี้อย่างไร จะสั่งการจากบนลงล่างอีกหรือ หรือจะเริ่มต้นจากหารือร่วมกัน เพื่อจะบอกว่าคุณมีเกียรติยศศักดิ์ศรีเท่ากัน ไม่มีใครเป็นนายใครเป็นไพร่ แต่อย่างนี้ส่วนราชการไม่นิยมกระทำ เสียเวลา... รำคาญจะหารือกับชาวบ้าน ชาวบ้านมันตั้งข้อสังเกตทักท้วงเก่ง ที่จะจัดการทรัพยากร แต่ถูกปิดกั้นมาตลอด
    ที่ผ่านมารัฐไม่เคยศึกษา ค้นหา ตรวจสอบฐานรากของชุมชนจริง ๆ หรืออาจตรวจสอบแล้วเพิกเฉยเสีย