สารคดี ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๑๙๖ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๔ "สุภาพบุรุษ-มนุษยภาพ"ศรีบูรพา"-กุหลาบ สายประดิษฐ์"
นิตยสารสารคดี Feature Magazine
นิตยสารสำหรับครอบครัว
www.sarakadee.com
ISSN 0857-1538
  ฉบับที่ ๑๙๖ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๔
 กลับไปหน้า สารบัญ

สุภาพบุรุษ-มนุษยภาพ

"ศรีบูรพา"-กุหลาบ สายประดิษฐ์

เรื่อง : สุชาติ สวัสดิ์ศรี
      "ผู้ใดเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ ผู้นั้นเกิดมาสำหรับคนอื่น"
    "ศรีบูรพา" : เล่นกับไฟ
    (พิมพ์ครั้งแรก : เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ : สิงหาคม ๒๔๗๑)

    "ความซื่อตรง คือความจริง 
    ความจริง คือความซื่อตรง"
    กุหลาบ สายประดิษฐ์ : มนุษยภาพ
    (พิมพ์ครั้งแรก : ศรีกรุง : ๑๐ มกราคม ๒๔๗๔)


(คลิกดูภาพใหญ่)     เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๔ ที่ผ่านมา ถ้าหาก กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมีอายุครบ ๘ รอบนักษัตร หรือเท่ากับ ๙๖ ปี ถ้าหากถือเอาวันมรณกรรมของเขามากำหนด วันที่ ๑๖ มิถุนายน ปีนี้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็ได้ละสังขารจากบรรณพิภพแห่งสยามประเทศไปแล้วเป็นเวลา ๒๗ ปี ตามธรรมเนียมปฏิบัติในการรำลึกถึง ส่วนใหญ่แล้วมักถือเอาวันเกิดมากำหนดมากกว่าวันตาย เพราะถือเป็นวันเริ่มต้นแห่งชีวิตและผลงานของบุคคลนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ในวันครบ ๘ รอบนักษัตรของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ปีนี้จึงได้มีคณะบุคคลคณะหนึ่งจัดงานรำลึกถึงเขา โดยถือเป็นหมุดหมายทางวรรณกรรมที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องพร้อมกันสามเรื่อง คือ 
    ๑. เป็นวาระครบ "๙๖ ปี ชาตกาล กุหลาบ สายประดิษฐ์" 
    ๒. เป็นวาระเกี่ยวข้องกับการก่อเกิดนักเขียน นักประพันธ์ คณะสุภาพบุรุษ ที่ถือเอาหนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ฉบับปฐมฤกษ์ ซึ่งออกจำหน่ายเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๔๗๒ มาเป็นหลักบอกเขต อีกทั้งหนังสือในรูปแบบ "นิตยสารรายปักษ์" เล่มนี้ก็มี กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นทั้งเจ้าของและบรรณาธิการ ดังนั้นในวันที่ ๑ มิถุนายน ปีนี้ คณะสุภาพบุรุษ จึงมีกำเนิดมาครบหกรอบนักษัตร หรือ ๗๒ ปี 
    และ ๓. เป็นวาระต่อเนื่องตามมา เนื่องจากวันที่ ๑๕ สิงหาคม ปีนี้ ถ้าหาก อบ ไชยวสุ ที่รู้จักกันในนามปากกา "ฮิวเมอริสต์" หนึ่งใน คณะสุภาพบุรุษ ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี ดังนั้นจึงถือเป็นความสำคัญร่วมกันหลายประการในงานชุมนุมช่างวรรณกรรมประจำปี ๒๕๔๔ ที่ได้จัดขึ้น ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยถือเอาวาระสำคัญทั้งสามมารวมอยู่ในงานวันเดียวกัน และได้จัดให้มีกิจกรรมและนิทรรศการว่าด้วย "นักเขียนเก่า หนังสือเก่า" อย่างเอิกเกริก 
    รวมทั้งถือเป็นวันประกาศเกียรติให้แก่ "จูเลียต" ชนิด สายประดิษฐ์ "สตรีผู้อยู่เคียงข้างสุภาพบุรุษ" และ เสาว์ บุญเสนอ นักเขียนใน คณะเพลินจิตต์ และ คณะประมวญฯ ที่แต่ครั้งอดีตเคยอยู่ร่วมสมัยเดียวกับ คณะสุภาพบุรุษ โดยเชิดชูให้บุคคลทั้งสองเป็น "นักเขียนช่อการะเกดเกียรติยศ" ประจำปี ๒๕๔๔ ไปพร้อมกัน
    ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตและผลงานของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่ค่อนข้างเป็นทางการครั้งแรก เนื่องจากเป็นการเล่าและบันทึกมาจากผู้ใกล้ชิดโดยตรง คือจาก ชนิด สายประดิษฐ์ ผู้เป็นภรรยา และจาก พ.ญ. สุรภิณ ธนะโสภณ ผู้เป็นบุตรสาว (ซึ่งได้เก็บประวัติมาจากการเล่าของนางจำรัส นิมาภาส พี่สาวคนเดียวของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ อีกต่อหนึ่ง) ข้อมูลจากความทรงจำทั้งสองส่วนนี้ เคยได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร โลกหนังสือ ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ การเขียนประวัติชีวิตและผลงานของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ในชั้นหลังต่อมา ส่วนใหญ่มักอ้างอิงมาจากแหล่งข้อมูลชั้นต้นส่วนนี้ นอกจากนั้นต่อมาภายหลังยังมีหลักฐานเพิ่มเติมมาจากเอกสารลายมือที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้เขียนขึ้นในชื่อ บรรทึกการแต่งหนังสือ ซึ่งถือเป็นการให้หลักฐานชั้นต้นที่มาจากเจ้าของผลงานโดยตรง แต่กระนั้นก็ถือเป็นเพียง "บันทึก" ในระยะเริ่มต้นชีวิตการประพันธ์ของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เท่านั้น ข้อมูลจาก "บันทึก" ส่วนนี้ เจ้าของบันทึกได้เขียนไว้ในสมุดนักเรียนเล่มบาง ๆ ระบุเวลาเกี่ยวกับเรื่องการแต่งหนังสือและเรื่องอื่น ๆ ตั้งแต่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๖๕ จนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ดังนั้นจึงถือเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิต และผลงานบางส่วนของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ในช่วงเริ่มต้นการเขียนหนังสือ เมื่ออายุ ๑๗-๒๓ ปีอย่างถูกต้องที่สุดเป็นครั้งแรก (๑)
(คลิกดูภาพใหญ่)

ชีวิตวัยดรุณ

    กุหลาบ สายประดิษฐ์ เกิดเมื่อปีมะโรง วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ (๒) เป็นคนจังหวัดกรุงเทพฯ พ่อชื่อสุวรรณ เป็นเสมียนเอก ทำงานอยู่กรมรถไฟ แม่ชื่อสมบุญ เป็นชาวนาอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี พี่น้องทางแม่มีอาชีพทำนา แต่นางสมบุญคนเดียวที่ไม่ชอบทำนา เมื่อโตเป็นสาวจึงเข้ามาอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ เล่ากันว่าเคยอยู่ในวังเจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา หรือ "วังสวนกุหลาบ" ที่ถนนประชาธิปไตย จนได้พบกับนายสุวรรณ และได้แต่งงานกัน ต่อมาได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อของนายสุวรรณ ซึ่งเป็นหมอยาตาแผนโบราณ มีบ้านเป็นเรือนแฝดสองหลังอยู่ในตรอกพระยาสุนทรพิมล ใกล้ ๆ หัวลำโพง นายสุวรรณกับนางสมบุญ ได้ให้กำเนิดบุตรสองคน คนโตเป็นหญิง ชื่อ จำรัส นิมาภาส (แต่งงานกับนายกุหลาบ นิมาภาส) ส่วนคนเล็กเป็นชาย ชื่อ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ภายหลังต่อมา สี่ชีวิตพ่อแม่ลูกได้แยกครอบครัวมาเช่าห้องแถวที่เป็นของพระยาสิงหเสนีอยู่แถว ๆ หัวลำโพง 
    เมื่ออายุสี่ขวบ กุหลาบเริ่มต้นเรียนหนังสือครั้งแรกที่โรงเรียนวัดหัวลำโพง จนถึงชั้นประถม ๔ นายสุวรรณได้ช่วยสอนหนังสือให้ลูกชายคนเดียวก่อนเข้าโรงเรียนด้วย เนื่องจากทำงานอยู่กับผู้จัดการฝรั่งที่กรมรถไฟ นายสุวรรณจึงพอพูดภาษาอังกฤษได้ เข้าใจว่ากุหลาบคงจะได้อิทธิพลเรื่องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาจากพ่อของเขาไม่มากก็น้อย แต่พ่อของกุหลาบอายุสั้น ป่วยเป็นไข้เสียชีวิตแต่เมื่ออายุเพียงแค่ ๓๕ ปี ตอนนั้นกุหลาบเพิ่งอายุหกขวบ แม่และพี่สาวได้เลี้ยงดูเขาต่อมา โดยแม่รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า และส่งพี่สาวไปฝึกเล่นละครรำ และละครร้อง เพื่อหาเงินมาช่วยจุนเจือและส่งเสียให้กุหลาบได้เรียนหนังสือโดยไม่ติดขัด กล่าวคือเมื่อจบชั้นประถม ๔ แม่ก็ได้เอากุหลาบไปฝากเข้าเรียนต่อที่ โรงเรียนทหารเด็ก ของกรมหลวงนครราชสีมา โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำ สอนทั้งวิชาทั่วไปและวิชาทหาร กุหลาบได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้สองปี แม่ก็รู้สึกสงสาร เพราะเห็นว่าลูกชายต้องอยู่เวรยามแบบทหาร และเห็นว่าอยากให้กุหลาบได้เรียนวิชาทั่วไปมากกว่า ดังนั้นจึงเอาออกจากโรงเรียนทหาร ให้มาอยู่ที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ โดยเริ่มต้นเรียนในชั้นมัธยม ๒ และได้เรียนเรื่อยมาจนจบชั้นมัธยม ๘ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘
    ชนิด สายประดิษฐ์ ได้เล่าไว้ในบันทึกที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร โลกหนังสือ (ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒ : พฤศจิกายน ๒๕๒๑) มีข้อความตอนหนึ่งว่า
    "ศึกษาที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ และจบ ม. ๘ ที่โรงเรียนนี้ ได้เห็นชีวิตลูกผู้ดี และลูกชาวบ้านที่โรงเรียนนี้ รักการเขียนหนังสือมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนนี้ เมื่ออยู่มัธยมชั้นสูง ได้ทำหนังสืออ่านกันในชั้นเรียน มี มจ.อากาศดำเกิง และเพื่อนคนอื่นอีกทำร่วมด้วย ครั้งหนึ่งหลวงสำเร็จวรรณกิจจับได้ ขณะกำลังเข้าสอนในชั้นว่า นักเรียนกำลังอ่านอะไรกันอยู่ และได้ยึดเอาหนังสือไป รุ่งขึ้นได้เอามาคืนให้พร้อมกับให้เรื่องของหลวงสำเร็จฯ เอง..." 
    ในบันทึกของ พ.ญ. สุรภิณ ธนะโสภณ ที่นางจำรัส นิมาภาส ได้เล่าให้ฟัง ก็มีเหตุการณ์ตอนนี้กล่าวไว้เช่นกัน คือ
    "ป๋าได้เริ่มหัดเขียนหนังสือตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยม ที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ และได้ออกหนังสือชื่อ ดรุณสาร และ ศรีเทพ ร่วมกับเพื่อน เมื่อจบชั้นมัธยม ๘ จากโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ป๋าก็ได้ออกทำงานโดยทำหนังสือพิมพ์กับเพื่อน และได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษตอนค่ำ ที่โรงเรียนสอนหนังสือไทย และอังกฤษของคุณแตงโม จันทวิมพ์ ชื่อโรงเรียนรวมการสอน และ สำนักรวมการแปล ซึ่งคุณโกศล โกมลจันทร์ เป็นผู้จัดการ..." 


(คลิกดูภาพใหญ่)

กำเนิดนาม "ศรีบูรพา"

    เมื่อเริ่มอายุ ๑๗ คือในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ มีหลักฐานชั้นต้น ทื่เป็นลายมือของกุหลาบ สายประดิษฐ์คือ บรรทึกการแต่งหนังสือ ซึ่งได้ลำดับชีวิตการเริ่มต้นทำงานประพันธ์หาเลี้ยงชีพ ในช่วงตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๕-๒๔๗๑ เป็นเวลารวมเจ็ดปี รายละเอียดเหล่านี้ทั้งหมด ได้นำมาแยกตีพิมพ์เป็นหลักฐานอยู่ในล้อมกรอบ
    ข้อมูลจากหลักฐานในช่วงอายุ ๑๗-๒๓ ปีของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ทำให้เห็นถึงภาพชีวิตในช่วงนั้น ว่าเต็มไปด้วยพลังมุ่งมั่นที่ต้องการจะเป็นนักเขียน นักประพันธ์ และต้องการฝึกฝนตนเองอย่างเข้มงวด เริ่มต้นตั้งแต่การออกหนังสือพิมพ์ในห้องเรียน การเขียนบทกวี เรื่องสั้น นวนิยาย เขียนเรื่องจากภาพยนตร์ กลอนเซียมซี กลอนลำตัด แปลหนังสือ และเริ่มชีวิตวัยหนุ่ม ในฐานะนักหนังสือพิมพ์อาชีพ ขณะเดียวกันก็ "ทดลองเรียนกฎหมาย" และฝึกฝน "การต่อยมวย" ไปพร้อมกันด้วย
    ข้อมูลจากหลักฐาน บรรทึกการแต่งหนังสือ ชิ้นนี้ ทำให้ได้ทราบชีวิตวัยรุ่นของกุหลาบ อย่างเป็นรูปธรรมหลายประการ เช่น
    พ.ศ. ๒๔๖๕ อายุ ๑๗ ปี เริ่มฝึกหัดการแต่งหนังสือ และทำหนังสือ โดยใช้พิมพ์ดีด
    พ.ศ. ๒๔๖๖ อายุ ๑๘ ปี เริ่มเขียนบทกวี และเขียนเรื่องจากภาพยนตร์ ส่งไปให้หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์สยาม มีข้อมูลเกี่ยวกับนามปากกาที่เคยใช้ในช่วงนั้น อย่างเช่น "ดาราลอย", "ส.ป.ด. กุหลาบ", "นางสาวโกสุมภ์", "หนูศรี", "ก. สายประดิษฐ์", "นายบำเรอ" และ "หมอต๋อง"
    พ.ศ. ๒๔๖๖ อายุ ๑๘ ปี เริ่มต้นใช้นามปากกา "ศรีบูรพา" เป็นครั้งแรก โดยเขียนงานชื่อ แถลงการณ์ ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ทศวารบรรเทิง ไม่ทราบเป็นงานเขียนประเภทใด แต่นั่นก็หมายความว่าในช่วงนั้น กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้มาทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่ โรงเรียนรวมการสอน และเป็นนักประพันธ์อยู่ใน สำนักรวมการแปล ของนายแตงโม จันทวิมพ์ แล้ว และเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในปีนี้ คือได้พบกับนักเขียนรุ่นพี่ ชื่อ บุญเติม โกมลจันทร์ (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "โกศล") บุญเติม หรือ โกศล ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการอยู่ที่สำนักทั้งสองนี้ มีชื่อเสียงเป็นนักแปล และนักเขียนกลอนลำตัดในรุ่นนั้น และเป็นผู้เริ่มใช้นามปากกาที่มีชื่อว่า ศรี นำหน้า กุหลาบ สายประดิษฐ์ เด็กหนุ่มอายุ ๑๘ ผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักประพันธ์ จึงได้มาฝึกการประพันธ์อยู่ที่ "สำนัก" นี้ ด้วยความมุ่งหวังอยากเรียนรู้ และหารายได้จากงานเขียนไปจุนเจือครอบครัว ที่มีฐานะค่อนข้างยากจน พร้อมกันนั้นก็ได้ชักชวนเพื่อนร่วมรุ่นอีกสองคน คือ ชะเอม อันตรเสน และ สนิท เจริญรัฐ ให้มาช่วยกันที่ สำนักรวมการแปล ด้วย
    บุญเติม หรือ โกศล โกมลจันทร์ เจ้าสำนักแห่งตระกูล "ศรี" มีนามปากกาเริ่มต้นตระกูล "ศรี" ของตนเองว่า "ศรีเงินยวง" ส่วนบรรดารุ่นน้องที่มาเข้าสำนัก เช่น ชะเอม อันตรเสน ได้นามปากกาว่า "ศรีเสนันตร์" สนิท เจริญรัฐ ได้นามปากกาว่า "ศรีสุรินทร์" และ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้นามปากกาว่า "ศรีบูรพา"

(คลิกดูภาพใหญ่)     พ.ศ. ๒๔๖๗ อายุ ๑๙ ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยม ๘ ถ้าใช้หลักฐานจาก"บรรทึก" ที่ปรากฏ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ใช้นามจริงของตัวเองเป็นครั้งแรกในการเขียนกลอนหก ชื่อ ต้องแจวเรือจ้าง พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน ชื่อ แถลงการณ์ศึกษาเทพศิรินทร์ หนังสือพิมพ์โรงเรียนเล่มนี้ มีหลวงสำเร็จวรรณกิจ (บุญ เสขะนันท์) ซึ่งเป็นครูวิชาภาษาไทยของเขาเป็นบรรณาธิการ ครูภาษาไทยคนนี้ได้สร้างความประทับใจและแบบอย่างที่ดีให้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ สืบต่อมาจนเมื่อเขาเขียนนวนิยายเรื่อง แลไปข้างหน้า (๒๔๙๗, ๒๕๐๐) ตัวละครที่เป็นครูชื่อ "ขุนวิบูลย์วรรณวิทย์" แห่งโรงเรียนเทเวศร์สฤษดิ์ นั้นก็ได้จำลองแบบมาจากครู "หลวงสำเร็จวรรณกิจ" แห่งโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์คนนี้ นอกจากนั้น งานเขียนกลอนหกเรื่อง ต้องแจวเรือจ้าง ที่ตีพิมพ์อยู่ใน แถลงการณ์ศึกษาเทพศิรินทร์ เมื่อปี ๒๔๖๙ ดังกล่าว ได้มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้อีกเช่นกันว่า "...เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่เปี่ยมไปด้วยความรักในแรงงานของมนุษย์ที่หล่อเลี้ยงโลก" (๓)
    อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานในปีเดียวกัน ขณะที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม ๘ โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ กุหลาบก็ได้เริ่มใช้นามปากกา "ศรีบูรพา" เขียนบทประพันธ์ขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ผลงานเรื่อง คุณพี่มาแล้ว ที่ปรากฏอ้างไว้ใน บรรทึกฯ ไม่ได้ระบุว่าเป็นงานประเภทใด แต่มีวงเล็บไว้ว่า "สองเล่มจบ" ทำให้เข้าใจต่อไปว่า น่าจะเป็นงานเขียนประเภท "นวนิยาย" และถ้าหากเป็นงานเขียนประเภท "นวนิยาย" จริง ข้อสันนิษฐานก็มีต่อไปว่า น่าจะเป็นงานเขียนนวนิยายเรื่องแรกของ "ศรีบูรพา" ด้วย ซึ่งข้อสันนิษฐานเรื่องนี้ตรงกับข้ออ้างอิงในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ของ ดร. ขวัญดี รักพงษ์ (มหาวิทยาลัยลอนดอน ๑๙๗๕) (๔) และวิทยานิพนธ์เรื่อง กุหลาบ สายประดิษฐ์ จากวรรณกรรมสู่หนังสือพิมพ์ ของ นุสรา อะมะลัสเสถียร (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๒๕๓๒) ที่ได้นำข้อความของ "ศรีบูรพา" จากคำนำนวนิยายเรื่อง คุณพี่มาแล้ว ของ "คณะรวมการแปล" มาอ้างอิงไว้ดังนี้
    "...นี่เป็นงานประพันธ์ชิ้นแรกของข้าพเจ้า ซึ่งได้รับเกียรติให้ตีพิมพ์และออกจำหน่าย ข้าพเจ้ายังคงเป็นนักเขียนหน้าใหม่สำหรับท่าน และด้วยหวั่นเกรงว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากพวกท่าน จึงเป็นเหตุผลที่ข้าพเจ้าต้องอธิบายเรื่องราว (เกี่ยวกับหนังสือ) และแนะนำตัวข้าพเจ้า"
    ถ้าหากผลงานเรื่อง คุณพี่มาแล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗ คือนวนิยายเรื่องแรกของ "ศรีบูรพา" ดังที่หลักฐานปรากฏ ข้อมูลที่มีผู้เคยอ้างว่าเรื่อง คมสวาทบาดจิต คือนวนิยายเรื่องแรกของ "ศรีบูรพา" คงจะต้องตรวจสอบกันใหม่
(คลิกดูภาพใหญ่)     พ.ศ. ๒๔๖๘ อายุ ๒๐ กุหลาบเรียนจบชั้นมัธยม ๘ มีข้อมูลใน บรรทึกฯ ระบุไว้ว่า "เป็นหัวหน้าออกหนังสือรายทส ชื่อ สาส์นสหาย แต่ออกมาได้ ๗ เล่มก็ 'หมดกำลัง' " นี่เป็นหลักฐานว่า กุหลาบ สายประดิษฐ์ เริ่มชีวิตการเป็นบรรณาธิการครั้งแรกในทันทีที่เลิกนุ่งขาสั้น หนังสือรายทส (รายสิบวัน) ที่ชื่อ สาส์นสหาย นี้ นายแตงโม จันทวิมภ์ เป็นผู้ออกทุนให้ ทั้งนี้เพื่อหารายได้ให้แก่ครูผู้สอนที่มาสอนเด็กในโรงเรียนรวมการสอน แต่ในที่สุดก็ต้องเลิกไปพร้อมกับสำนักทั้งสอง เพราะ "หมดกำลัง" อย่างที่ว่า ข้อมูลในหลักฐานต่อมา คือเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ กุหลาบได้เข้าทำงานที่กรมยุทธศึกษาฯ โดยเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ โดยมีตำแหน่งเป็น "เจ้าพนักงานโรงวิทยาศาสตร์" ได้เงินเดือนเดือนละ ๓๐ บาท การที่กุหลาบไปเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการที่ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ เพราะสืบเนื่องมาจากเคยส่งเรื่องไปลงพิมพ์ที่นี่ จนเป็นที่พอใจของ พ.ท. พระพิสิษฐพจนาการ (ชื่น อินทรปาลิต) (๕) ผู้เป็นบรรณาธิการในขณะนั้น ซึ่งต้องการ "ผู้ช่วย" ที่มีความรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษไปทำงาน 
    พ.ศ. ๒๔๖๙ อายุ ๒๑ เริ่มเขียนงานประพันธ์อีกหลายชิ้น ได้ลงตีพิมพ์ที่ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ (รายเดือน), สมานมิตรบรรเทิง (รายปักษ์), มหาวิทยาลัย (รายเดือน), สวนอักษร (รายปักษ์), สาราเกษม (รายปักษ์), ปราโมทย์นคร (รายสัปดาห์), ดรุณเกษม (รายปักษ์), เฉลิมเชาว์ (รายเดือน), วิทยาจารย ์(รายเดือน) ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ได้ไปช่วยเพื่อนทำหนังสือพิมพ์ ธงไทย รายสัปดาห์ และหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ซึ่งออกในงานรื่นเริงของโรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์
    หนังสือพิมพ์ ธงไทย มี เฉวียง เศวตะทัต เพื่อนร่วมรุ่นของกุหลาบเป็นหัวเรือใหญ่ เป็นหนังสือว่าด้วย "กลอนลำตัด" ออกอยู่ได้ ๒๐ เล่ม ก็เลิกไป ปัจจุบันถือเป็นหนังสือเก่า "หายาก" ประเภทหนึ่ง เพราะในรุ่นเก่าก่อนเมื่อประมาณ ๗๐-๘๐ ปี หนังสือ "กลอนลำตัด" ถือว่าจัดอยู่ในจำพวกขายได้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป จึงหมดความนิยม

    ข้อสังเกต : "ศรีบูรพา" อาจลืมข้อมูลในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ไปเรื่องหนึ่ง คือมีผลงานของเขาเป็นเรื่องสั้นชื่อ อะไรกัน ? พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ ศัพท์ไทย ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙
    เรื่องสั้น อะไรกัน ? ที่ใช้นามปากกา "ศรีบูรพา" ชิ้นนี้ บรรณาธิการ โลกหนังสือ ในอดีตเคยเข้าใจว่าเป็น "เรื่องสั้นเรื่องแรก" ของ "ศรีบูรพา" เนื่องจากมีหลักฐานแน่นอนปรากฏอยู่ในหนังสือ ศัพท์ไทย ฉบับดังกล่าว แต่ข้อมูลจาก บรรทึกการแต่งหนังสือ ทำให้เห็นว่าผู้ประพันธ์อาจลืมนึกถึงเรื่องสั้นชิ้นนี้ไป ดังนั้น จึงขอบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพิ่มเติม
    ชีวิตวัยรุ่นและวัยหนุ่มของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ในปี ๒๔๗๐ และ ๒๔๗๑ ขอให้ท่านอ่านเก็บรายละเอียดเอาจากสำนวนภาษาและลีลาที่ปรากฏอยู่ใน บรรทึกการแต่งหนังสือ ที่ได้นำเอามาล้อมกรอบตีพิมพ์โดยครบถ้วนเป็นครั้งแรกในนิตยสาร สารคดี ฉบับนี้
(คลิกดูภาพใหญ่)

การก่อเกิด "คณะสุภาพบุรุษ"

    ช่วงรอยต่อระหว่างวัยรุ่นกับวัยหนุ่ม ขณะที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ อยู่ประมาณสองปีเศษนั้น ได้มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ "Young กุหลาบ" ตัดสินใจเลิกคิดที่จะเอาดีทางรับราชการ และได้เบนชีวิตหันมาประกอบอาชีพนักเขียน นักหนังสือพิมพ์โดยอิสระเพียงอย่างเดียว ชนิด สายประดิษฐ์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ในบันทึกดังกล่าว มีใจความตอนหนึ่งว่า
    "จบการศึกษา ก็หัดเขียนหนังสือส่งไปให้ที่ต่าง ๆ อยู่ระยะหนึ่ง แล้วได้ทำงานหนังสือ เสนาศึกษาฯ ของโรงเรียนนายร้อย จนได้เงินเดือนเต็มขั้น ขึ้นอีกไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นนายทหาร ระหว่างทำงานอยู่ที่นี่ ก็ได้พบท่าทีวางเขื่องของนายทหารสมัยนั้นต่อผู้ทำงานที่เป็นพลเรือน
    "ระหว่างเงินเดือนถูกกดเพราะไม่ได้เป็นนายทหาร คุณกุหลาบได้สมัครสอบเป็นผู้ช่วยล่าม ที่กรมแผนที่ สอบได้ที่หนึ่ง แต่ถูกเรียกไปต่อรองเงินเดือนจากอัตราที่ประกาศไว้ โดยเจ้าหน้าที่กรมแผนที่อยากจะให้คนอื่นที่สอบได้ที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกของผู้ดีมีบรรดาศักดิ์ หรือนายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้ตำแหน่งนี้ เมื่อถูกต่อรองเป็นครั้งที่ ๒ คุณกุหลาบก็แน่ใจว่าเป็นการกีดกันและเล่นพรรคพวก ตั้งแต่นั้นก็ไม่คิดจะทำราชการอีก..."
    บันทึกความทรงจำของ "ฮิวเมอริสต์" ว่าด้วย สุภาพบุรุษ ที่เขียนตอนแรกลงในนิตยสาร ไทยกรุง ฉบับปฐมฤกษ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ และต่อมาได้เขียนขยายความทรงจำว่าด้วย สุภาพบุรุษ ให้ยาวมากขึ้น โดยลงติดต่อกันเป็นตอน ๆ ในนิตยสาร ลลนา ระยะใกล้เคียงกัน "ฮิวเมอริสต์" ได้ยกตัวอย่างด้วยอารมณ์ขันว่า เพราะกุหลาบมีปัญหากับทหารยามที่เฝ้าประตู เนื่องจากเป็นพลเรือน เวลาจะผ่านประตูเข้าไปทำงานในกรมทหาร เขาต้องลงจากรถจักรยานก่อน ส่วนพวกพลทหารนายทหารไม่ต้องลง ขี่จักรยานผ่านเข้าไปได้เลย กุหลาบเห็นว่าไม่ยุติธรรม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ "เขียนใบลาออกจากหน้าที่ผู้ช่วยบรรณาธิการ" และได้ตรงไปหาครูอบในทันที
    "ครูครับ ผมลาออกแล้ว"
    ครูอบได้ฟังเหตุผลก็ตอบในทันทีเช่นเดียวกัน
    "เอา ออกก็ออกกัน สมเหตุสมผลแล้ว แล้วจะทำอะไรยังไงกันต่อไป"
    "เราออกหนังสือพิมพ์ของเราเองซีครู"
    "เอาก็เอา มีโครงการยังไงว่าไปซี"

(คลิกดูภาพใหญ่)     "เรื่องอยากออกหนังสือพิมพ์ของเรากันเองนี้ ผมก็คิดอยู่นานแล้ว เพราะมัวแต่ทำงานเป็นลูกจ้างของเขาอยู่ยังงี้ เมื่อไหร่จะก้าวหน้าไปในทางที่เราคิดจะไปให้ใหญ่กว่านี้ ผมก็หาทางจะทำของเรากันเอง ให้ผลประโยชน์ตกอยู่แก่พวกเรา เราพอจะรวมกันเป็นกลุ่มก้อนได้ พอจะสามารถรับงานหนังสือพิมพ์รายอะไรได้สักฉบับหนึ่ง พอจะมีผู้ออกทุนให้ยืมมาก่อน เพื่อเริ่มงานได้ขนาดออกรายปักษ์ ผมคิดอยู่นานแล้วว่าจะใช้คำว่า สุภาพบุรุษ เป็นชื่อหมู่คณะที่เราจะรวมกัน"
    หนังสือพิมพ์ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ได้ถือกำเนิดออกฉบับปฐมฤกษ์ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ จัดพิมพ์ที่โรงพิมพ์อักษรนิติ บางขุนพรหม ของนายวรกิจบรรหาร ออกจำหน่ายทุกวันที่ ๑ และ ๑๕ ของเดือน มี กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นบรรณาธิการและเจ้าของ "ห้องสมุดไทยหนุ่ม" เป็นเอเยนต์ "ห้องเกษมศรี หน้าวัดชนะสงคราม" เป็นสำนักงาน ค่าบำรุง ๑ ปี ๖ บาท ครึ่งปี ๓.๕๐ บาท (เมล์อากาศ และต่างประเทศเพิ่ม ๑ บาท) ราคาจำหน่ายขายปลีกเล่มละ ๓๐ สตางค์ เงินค่าบำรุงส่งล่วงหน้า
    "สารบาน" ของหนังสือ สุภาพบุรุษ ฉบับปฐมฤกษ์ จำนวน ๑๖๒ หน้า ประกอบด้วยเรื่องดังต่อไปนี้

    ปรารมณ์พจน์คำฉันท์ (คณะสุภาพบุรุษ)
    เชิญรู้จักกับเรา (บรรณาธิการ)
    ปราบพยส ("ศรีบูรพา")
    ธาตุรัก ("แม่อนงค์")
    ธรรมบางข้อ ("แหลมทอง")
    เรื่องกินใจที่สุด ("แมวคราว")
    พูดกันฉันท์เพื่อน (บรรณาธิการ)
    ม้าจริง ๆ เป็นอย่างไร ("ฮิวเมอริสต์")
    น้ำตาลใกล้มด ("แก้วกาญจนา")
    ลีลาศาสต์ (สนิท เจริญรัฐ)
    หมายเหตุเบ็ดเตล็ด ("อุททิศ")

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นหมุดหมายสำคัญในหนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ฉบับปฐมฤกษ์ น่าจะอยู่ที่ข้อเขียนในลักษณะบทบรรณาธิการของตัวผู้เป็นทั้งเจ้าของและบรรณาธิการ ดังมีปรากฏอยู่ในเรื่อง เชิญรู้จักกับเรา และ พูดกันฉันท์เพื่อน
    ข้อเขียนเรื่อง เชิญรู้จักกับเรา กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ประกาศหมุดหมายที่สำคัญไว้เป็นตัวอย่างให้แวดวงวรรณกรรมชั้นหลังได้ประจักษ์อย่างสำคัญ ก็คือทัศนะที่บอกว่า งานเขียนหนังสือเป็นงานที่มีเกียรติ และเป็นอาชีพได้
(คลิกดูภาพใหญ่)     "เพื่อที่จะให้หนังสือ สุภาพบุรุษ อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยเรื่องอันมีค่ายอดเยี่ยม จึงขอประกาศไว้ในที่นี้ว่า เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะรับซื้อเรื่องจากนักประพันธ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นเรื่องบันเทิงคดี และสารคดี..."
"ทำไมเราจึงซื้อเรื่อง
    "สำหรับหนังสือพิมพ์ที่ออกเป็นรายปักษ์ หรือรายเดือน ดูเหมือนยังไม่เคยมีฉะบับใด ได้นำประเพณีการซื้อเรื่องเข้ามาใช้ การซึ่งเราจะกระทำขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ ก็เพราะเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรที่จะกระทำแล้ว... การประพันธ์ของชาวเราทุกวันนี้ เป็น เล่น เสียตั้ง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ที่จัดว่าเป็น งาน เห็นจะได้สัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ดอกกระมัง บัดนี้จึงควรเป็นเวลาที่เราจะช่วยกันเปลี่ยนโฉมหน้าการประพันธ์ ให้หันจาก เล่น มาเป็น งาน..." 
    สำหรับข้อเขียนของบรรณาธิการอีกชิ้นหนึ่ง พูดกันฉันท์เพื่อน กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "สุภาพบุรุษ" อย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกเช่นเดียวกัน และนี่คือเหตุหมายสำคัญที่อาจกล่าวได้ว่าจะติดตัวอยู่ในจิตวิญญาณของสามัญชนที่ชื่อ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ตลอดไปจนชั่วชีวิต
    เจ้าของและบรรณาธิการหนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ได้เขียน พูดกันฉันท์เพื่อน ว่าด้วยความหมายของคำว่า สุภาพบุรุษ อย่างชนิดที่เป็นเหมือน "คำมั่นสัญญา" บางอย่างของตัวเขาเอง ดังต่อไปนี้

    "...เรามีความเข้าใจหลายอย่างในคำ 'สุภาพบุรุษ' แต่ความเข้าใจนั้น ๆ หาถูกแท้ทั้งหมดไม่ บางคนยกมือชี้ที่บุรุษแต่งกายโอ่โถง ภาคภูมิ แล้วเปล่งวาจาว่า 'นั่นแลคือสุภาพบุรุษ' ความจริงเครื่องแต่งกาย ไม่ได้ช่วยให้คนเป็นสุภาพบุรุษกี่มากน้อย เครื่องแต่งกายเป็นเพียง 'เครื่องหมาย' ของสุภาพบุรุษเท่านั้น และ 'เครื่องหมาย' เป็นของที่ทำเทียมหรือปลอมขึ้นได้ง่าย เพราะฉะนั้นผู้ที่ติด 'เครื่องหมาย' ของสุภาพบุรุษ จึงไม่จำเป็นต้องเป็นสุภาพบุรุษทุกคนไป
    หนังสือเล่มหนึ่งแนะนำให้เรารู้จักสุภาพบุรุษของอังกฤษ โดยนัยดังต่อไปนี้
    ๑. ชอบการกีฬา.
    ๒. สุภาพเรียบร้อย.
    ๓. ถือตัว (คือไม่ยอมประพฤติชั่วง่าย).
    ๔. ไม่อึกทึกครึกโครม.
    ๕. ชอบอ่านหนังสือพิมพ์.
    ๖. มีนิสสัยซื่อสัตย์.
    กฎกติกาของสุภาพบุรุษอังกฤษ บางข้อไม่จำเป็นสำหรับสุภาพบุรุษไทยนัก แต่ถ้าเรามีกฎที่ดี และปฏิบัติตามได้มาก ๆ ก็ย่อมแน่ละ ที่ความเป็นสุภาพบุรุษของเราจะต้องเด่นขึ้น. ถึงอย่างไรก็ดี, เครื่องแต่งกาย ก็ไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ของสุภาพบุรุษอังกฤษในข้อใดข้อหนึ่ง บางทีสุภาพบุรุษอังกฤษเอง ก็คงจะถือว่า เครื่องแต่งกายเป็นเพียง "เครื่องหมาย" ของสุภาพบุรุษ เหมือนดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ข้างต้น.
(คลิกดูภาพใหญ่)     ข้าพเจ้าค่อนข้างแน่ใจว่า ประเพณีได้บังคับให้สุภาพบุรุษของเรา มีลักษณะต่างกับสุภาพบุรุษของชาติอื่นในบางประการ แต่จะต่างกันอย่างใด ไม่ใช่ความมุ่งหมายที่ข้าพเจ้าตั้งใจเขียนในเวลานี้.
    ชาวอังกฤษยังถือกฎที่พิสดารอยู่อีกอย่างหนึ่ง ที่ว่า "Three generations make a gentleman" เนื้อความดูจะกะเดียด ๆ มาข้าง 'ผู้ดีแปดสาแหรก' ของเรา กฎอันนี้ชาวอังกฤษในยุคปัจจุบัน ดูเหมือนไม่ค่อยได้เอาใจใส่ พาลจะเห็นว่าเป็นกฎที่น็อนเซ็นส์เอาทีเดียว ถ้าคนเราจะเป็นสุภาพบุรุษได้ ต่อเมื่อบรรพบุรุษต้องเป็นสุภาพบุรุษมาแล้วถึง ๓ ชั่วคน ก็ดูออกจะเป็นบาปอันหนัก สำหรับสุภาพบุรุษ ที่ไม่มีบรรพบุรุษเป็นสุภาพบุรุษอยู่ครัน ๆ. จากกฎอันนี้, สุภาพบุรุษดูเหมือนจะมีรูปร่างหน้าใกล้เข้าไปทางขุนนางเป็นอันมาก เพราะต้องอาศัยบารมีของผู้อื่นช่วย และก็ในหมู่พวกขุนนางอาจมีคนชั่วรวมอยู่ด้วยได้ ฉะนั้นในหมู่สุภาพบุรุษ ก็เห็นจะต้องมีคนชั่วรวมอยู่ได้ด้วยอีกกะมัง ? เป็นของน่าขันมาก, ถ้าสมัยนี้ยังมีคนนิยมนับถือในกฎที่ว่า "Three generations make a gentleman"
    ถ้าจะว่า "สุภาพบุรุษ" มีรูปร่างหน้าตาใกล้เข้าไปกับ "ผู้ดี" ดูจะไม่ค่อยมีข้อคัดค้าน แต่ต้องให้เป็น "ผู้ดี" ซึ่งคนในสมัยนี้เข้าใจกัน ถ้าเป็น "ผู้ดีเดิรตรอก" อย่างสมัย ๑๐ ปีก่อนลงไป สุภาพบุรุษของเราก็คงไม่มีโอกาสใกล้เข้าไปได้อีกตามเคย. แต่อย่างไรก็ตาม, คำว่า "สุภาพบุรุษ" ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีความหมายแรงกว่า "ผู้ดี" เพราะผู้ดี, ตามความเข้าใจ
    ของข้าพเจ้า, เป็นแต่ทำตัวสุภาพอ่อนโยนอยู่ในกรอบของจรรยาเท่านั้น ส่วนสุภาพบุรุษ นอกจากจะต้องทำหน้าที่อย่างผู้ดี ยังมีหน้าที่จุกจิกอื่น ๆ ที่จะต้องทำอยู่มาก. 
    หัวใจของ " 'ความเป็นสุภาพบุรุษ' อยู่ที่การเสียสละ เพราะการเสียสละเป็นบ่อเกิดของคุณความดีร้อยแปดอย่าง หากผู้ใดขาดภูมิธรรมข้อนี้ ผู้นั้นยังไม่เป็นสุภาพบุรุษโดยครบครัน. ถ้าจะอธิบายความหมายของสุภาพบุรุษให้กะชับเข้า ก็จำต้องยืมถ้อยคำที่ว่า 'ผู้ใดเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ ผู้นั้นเกิดมาสำหรับคนอื่น', ซึ่งข้าพเจ้าได้แต่งไว้ในหนังสือเรื่องหนึ่งมาใช้..." (๖)

    ประโยคที่ว่า "ผู้ใดเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ ผู้นั้นเกิดมาสำหรับผู้อื่น" ที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยกข้อความมาไว้ในเครื่องหมายคำพูดนั้น แท้จริงก็หาได้เอามาจากผู้อื่นไม่ แต่เป็นข้อความที่มาจากนวนิยายขนาดสั้นเรื่อง เล่นกับไฟ ที่ "ศรีบูรพา" ได้เขียนลงตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ถือเป็นประโยคที่ยังสด ๆ ร้อน ๆ สำหรับคนหนุ่มอายุ ๒๓ ที่ได้ประกาศ "อุดมคติ" เอาไว้อย่างเป็นรูปธรรม โดยแทรกอยู่ในนิยายรักโรแมนติกเรื่อง เล่นกับไฟ ของเขาเอง และได้นำมาประกาศ คล้ายเป็นเข็มมุ่งของหมู่คณะว่า จะรักษาความเป็น สุภาพบุรุษ เอาไว้ให้ถึงที่สุด เพราะ สุภาพบุรุษ นั้นหมายถึง "ผู้เกิดมาสำหรับคนอื่น" นี่คือแก่นหลักของหมู่คณะที่เรียกตัวเองว่า สุภาพบุรุษ ที่ได้แสดงปณิธานว่า ในภายภาคหน้า แม้หมู่คณะนี้จะกระจัดกระจายกันไป หรือยังรวมกลุ่มกันทำงานในฐานะนักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ แต่ความมุ่งมั่นของบรรณาธิการ-กุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่ว่าจะ "เกิดมาสำหรับคนอื่น" นั้น คงยังยืนยงอยู่ต่อมา จนกลายเป็นเบ้าหลอมสำคัญของตัวเขาเอง จวบจนสิ้นชีวิต (๗)
(คลิกดูภาพใหญ่)     คณะสุภาพบุรุษ ที่ก่อเกิดมาพร้อมกับหนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ นั้น ประกอบด้วยคนหนุ่มในวัยไล่เลี่ยกัน ที่เห็นว่าอาวุโสมากกว่า กุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็มีอยู่บ้าง เช่น ขุนจงจัดนิสัย ชิต บุรทัต สถิตย์ เสมานิล หอม นิลรัตน์ ณ อยุธยา และ อบ ไชยวสุ แต่ทว่าทั้งหมดก็ล้วนเป็น "เกลอ" กัน มีชีวิตผูกพันกันด้วยผลงานทางการประพันธ์
    ความทรงจำของ "ร. วุธาฑิตย์" (นามปากกาของ จรัล วุธาฑิตย์) ที่เขียนเล่าถึง คณะสุภาพบุรุษ โดยพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ ชมรมนักเขียน ของ ประกาศ วัชราภรณ์ (บำรุงสาส์น : ๒๕๐๙) ข้อเขียนเรื่อง ชมรมสุภาพบุรุษ ของ วิลาศ มณีวัต ที่อยู่ในหนังสือ โฉมหน้านักประพันธ์ (คลังวิทยา : ๒๕๐๒) ตลอดจนข้อเขียนอย่างเช่น เมื่อพรหมลิขิตให้ข้าพเจ้าเป็นนักประพันธ์ ของ ยศ วัชรเสถียร ที่พิมพ์ครั้งแรกอยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้น มนุษยเดินดิน ของเขาเอง (โอเดียนสโตร์ : ๒๕๐๓) หนังสือเหล่านี้ถือเป็นงานเขียนในยุคมืดของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และยุคเผด็จการ "ถนอม - ประภาส" ที่สามารถต่อยอดให้นักอ่านในชั้นหลัง รุ่น พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๑๐ สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวเกี่ยวกับคำว่า คณะสุภาพบุรุษ และ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเห็นว่าหนังสือบางเล่มอย่างเช่น ๑ ศตวรรษหนังสือพิมพ์ไทย ของ เสลา เลขะรุจิ (บำรุงสาส์น : ๒๕๑๐) กลับไม่ให้ความสำคัญแก่ คณะสุภาพบุรุษ และ กุหลาบ สายประดิษฐ์ แม้แต่น้อย
    ข้อเขียนที่เป็นความทรงจำของ "ร. วุธาฑิตย์" หนึ่งในนักเขียน คณะสุภาพบุรุษ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือของ ประกาศ วัชราภรณ์ เมื่อ ๔ ทศวรรษก่อน ถือเป็นเรื่องต่อยอดที่สำคัญ เพราะได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ คณะสุภาพบุรุษ ไว้มากที่สุด พร้อมทั้งได้ตีพิมพ์รูปถ่ายที่ถือว่าคลาสสิกอย่างยิ่ง ทำให้เกิดภาพคุ้นตาเป็นครั้งแรกว่า คณะสุภาพบุรุษ นั้นเคยมีตัวตน (นัดถ่ายเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๓ หน้าบันไดศาลสถิตยุติธรรม) โดยให้รายละเอียดว่า คณะสุภาพบุรุษ นั้นประกอบไปด้วย กวี นักเขียน นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ ทั้งหมด ๑๘ คน
    คณะผู้ก่อการมีทั้งหมด ๑๐ คน คือ
    ๑. กุหลาบ สายประดิษฐ์ ("ศรีบูรพา")
    ๒. อบ ไชยวสุ ("ฮิวเมอริสต์")
    ๓. มาลัย ชูพินิจ ("แม่อนงค์")
    ๔. ระคน เภกะนันท์ (นามปากกา "กู๊ดบอย")
    ๕. อุเทน พูลโภคา (นามปากกา "ช่อมาลี")
    ๖. โชติ แพร่พันธุ์ (นามปากกา "ยาคอบ") (๘)
    ๗. บุญทอง เลขะกุล (นามปากกา "วรมิตร")
    ๘. สนิท เจริญรัฐ (นามปากกา "ศรีสุรินทร์") 
    ๙. สุดใจ พฤทธิสาลิกร (นามปากกา "บุศราคำ")
    ๑๐. จรัญ วุธาฑิตย์ (นามปากกา "ร. วุธาฑิตย์")
    คณะผู้มาร่วมก่อการ มีทั้งหมด ๘ คน
    ๑. ขุนจงจัดนิสัย (ไม่ทราบนามปากกา)
    ๒. ชิต บุรทัต (นามปากกา "แมวคราว")
    ๓. หอม นิลรัตน์ ณ อยุธยา (นามปากกา "คุณฉิม")
    ๔. เสนอ บุณยเกียรติ (นามปากกา "แสงบุหลัน")
    ๕. ฉุน ประภาวิวัฒน (นามปากกา "นวนาค")
    ๖. สถิตย์ เสมานิล (นามปากกา "นายอยู่")
    ๗. โพยม โรจนวิภาต (นามปากา "อ.ก. รุ่งแสง")
    ๘. พัฒน์ เนตรรังษี (นามปากกา "พ. เนตรรังษี")
(คลิกดูภาพใหญ่)     ในบรรดา คณะสุภาพบุรุษ ทั้ง ๑๘ คนนี้ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่มีข้อมูลเชิงประวัติให้คนรุ่นหลังได้รับทราบ แต่ส่วนใหญ่แล้วขาดข้อมูล ไม่รู้แม้แต่วัน เดือน ปีเกิดปีตายด้วยซ้ำ (หนังสือเรื่อง สุภาพบุรุษนักประพันธ์ ของ ประกาศ วัชราภรณ์ ที่รวบรวมขึ้นใหม่ล่าสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ไม่ได้ช่วยให้เห็นภาพในแง่ข้อมูลเพิ่มเติมมากนัก) นอกจากนี้ ที่บอกว่า คณะสุภาพบุรุษ มี ๑๘ คน ถ้าหากอ่านเพิ่มเติมในความทรงจำของ สุภาพบุรุษ ที่ "ฮิวเมอริสต์" เขียน ก็จะพบว่ามีเพื่อนนักเขียนของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ แต่ครั้งสมัย เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ อีกสองคน ที่อยู่ใน "ก๊วน" นี้ตั้งแต่วันแรกที่มาชุมนุม "ดื่ม" กันที่ "ห้องเกษมศรี" คือ ทองอิน บุณยเสนา (นามปากกา "เวทางค์") และ ร.ท. ขจร สหัสรจินดา (นามปากกา "พันเพ็ชร") ทั้งสองคนเป็นนักเขียนมือดีทั้งในแง่เรื่องสั้นและนวนิยายที่ถูกลืมไปแล้ว นอกจากนั้น คณะสุภาพบุรุษ ยังน่าจะมีเพื่อนนักเขียนของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ชื่อ เฉวียง เศวตะทัต (นามปากกา "วงศ์เฉวียง") รวมอยู่ด้วย เพราะทั้งสองคนเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ครั้งทำหนังสือพิมพ์ ธงไทย ที่ว่าด้วย "กลอนลำตัด" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ 

    หนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อ ๗๒ ปีก่อน มียอดพิมพ์ครั้งแรก ๒,๐๐๐ เล่ม หนังสือได้รับความนับถือในทันที เพราะจำหน่ายได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ สุภาพบุรุษ ฉบับที่ ๒ เพิ่มยอดพิมพ์เป็น ๒,๓๐๐ เล่ม และฉบับที่ ๓ เพิ่มยอดพิมพ์เป็น ๒,๕๐๐ เล่ม มีสมาชิกส่งเงิน "ค่าบำรุงหนังสือ" เข้ามาเป็นประจำประมาณ ๕๐๐ คน ใน พ.ศ. ๒๔๗๒ ประชากรประเทศสยามยังมีไม่ถึง ๑๕ ล้านคน นับว่าน่าอัศจรรย์เอาการที่หนังสือในลักษณะเรื่องสั้น บทกวี นวนิยาย บทความ ตอบปัญหา ฯลฯ ซึ่งจัดเป็น Literary Magazine มากกว่าเป็นลักษณะ "ข่าวสาร การบ้าน การเมือง" หรือ Current Newspaper แม้ขณะนั้นจะเรียกตัวเองว่าเป็นหนังสือ, หนังสือพิมพ์ แต่ก็เพราะในยุค พ.ศ. ๒๔๗๒ ยังไม่มีคำว่า นิตยสาร เกิดขึ้นในภาษาไทย การจัดทำหนังสือทั่วไปทุกลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น "ราย" อะไรก็ตาม จะเรียกเหมือนกันหมดว่าเป็น หนังสือ หรือไม่ก็ หนังสือพิมพ์ แม้รัชกาลที่ ๖ จะบัญญัติคำว่า วารสาร ขึ้นใช้กับ ทวีปัญญา รายเดือน ในความหมายที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Periodical แล้วก็ตาม แต่ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ว่าใครทำหนังสือแบบไหนก็ตาม มักจะเรียกรวมกันว่า "ทำหนังสือพิมพ์" ไปทั้งหมด ชี้ให้เห็นว่าบ่อเกิดของการเป็นนักเขียน นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์แต่ดั้งเดิมนั้น ถือเป็นภาวะเดียวกัน ไม่แยกกันเหมือนอย่างปัจจุบัน
(คลิกดูภาพใหญ่)     ตามหลักฐานชั้นต้นที่พบในงานนิทรรศการ "นักเขียนเก่าไม่มีวันตาย" เพื่อแสดงคารวะ นักเขียน นักประพันธ์ คณะสุภาพบุรุษ นั้นได้มีการนำหนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นบรรณาธิการและเจ้าของมาแสดงไว้ทั้งหมดจำนวน ๒๓ เล่ม ซึ่งนับเป็นครั้งที่ ๒ ก็ว่า ได้ที่มีการนำหลักฐานชั้นต้นว่าด้วยหนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์มาแสดงไว้มากที่สุด (ก่อนหน้านี้ กองบรรณาธิการ โลกหนังสือ เคยนำมาแสดงไว้ครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย) จากข้อมูลเท่าที่มีหลักฐานชั้นต้นของหนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ทั้ง ๒๓ เล่ม ทำให้ปะติดปะต่อได้ว่า หนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ที่ถือเป็นบ่อเกิดของ คณะสุภาพบุรุษ เมื่อ ๗๒ ปีก่อนนั้น ได้มีการจัดทำกันทั้งหมด ๓๗ เล่ม โดยมีขนาดรูปเล่มแบบ Pocket Magazine ตลอดทั้งปี พ.ศ. ๒๔๗๒ อยู่ ๒๔ เล่ม คือตั้งแต่ฉบับที่ ๑-๒๔ ราคาจำหน่าย ๓๐ สตางค์ ครั้นขึ้นปี พ.ศ. ๒๔๗๓ หนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ได้ขยายรูปเล่มให้ใหญ่ขึ้น (ขนาดใกล้เคียงกับ โลกหนังสือ) คือตั้งแต่ฉบับที่ ๒๕-๓๗ และได้เพิ่มราคาจำหน่ายเป็น ๔๐ สตางค์
    จากหลักฐานนี้จึงน่าจะชัดเจนได้ว่า หนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ได้จัดทำกันทั้งหมด ๓๗ เล่ม ฉบับปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๒ และฉบับสุดท้าย คือปีที่ ๒ เล่มที่ ๓๗ ระบุเวลาไว้คือวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓ ศิลปินผู้วาดปกของ สุภาพบุรุษ รายปักษ์มักชอบวาดรูป "สุภาพสตรี" ขึ้นปกแทบทุกเล่ม และบางเล่มก็จะวาดเป็นรูปผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกัน เริ่มต้นจากผู้ใช้นามว่า "ธัญญา" แห่งสยามศิลป์ สลับกับ "เฉลิมวุฒิ" (นามปากกา เฉลิม วุฒิโฆษิต) และ สุภาพบุรุษ รายปักษ์เล่มสุดท้ายเป็นภาพปกที่วาดโดย อ.ก.รุ่งแสง (ทำให้ทราบว่า โพยม โรจนวิภาต ผู้ใช้นามปากกา "งามพิศ" เวลาเขียนบทกลอน และ "อ.ก.รุ่งแสง" เวลาเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายนั้น ก็เป็นหนึ่งในบรรดานักประพันธ์ที่ชอบวาดรูปในสมัยนั้น)
    หนังสือ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ ฉบับสุดท้าย คือปีที่ ๒ ฉบับที่ ๓๗ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓ ได้ยุติการจัดทำลงไปโดยไม่มีหลักฐานการแถลงอยู่ในบทบรรณาธิการแต่ประการใด บางทีอาจจะเป็นเหตุผลเหมือนอย่างที่ สุภา ศิริมานนท์ ได้เคยกล่าวไว้
    "การแต่งหนังสือเป็นอย่างเดียว ไม่มีความรู้ไม่มีความสันทัดในทางบริหาร ถึงจะจำหน่ายได้ดี นิตยสารนี้ก็ไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้" (โลกหนังสือ : ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๑)
    แต่ถ้าพิจารณาอีกประเด็นหนึ่งจากข้อเขียนความทรงจำของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานนี้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้เขียนความทรงจำของตนในช่วงนั้นไว้อย่างน่าสนใจว่า
(คลิกดูภาพใหญ่)     "ฉันมีโชคชะตาของฉันที่จะดำเนินต่อไปด้วยความดำริริเริ่มของฉันเอง ฉันต้องการจะทดลองความคิดและความสามารถของฉัน จากความฝึกฝนที่ฉันได้รับมา ๕-๔ ปี ดังนั้นในเดือนมิถุนายน พ.ส. ๒๔๗๒ ฉันจึงรวบรวมสมัครพรรคพวก จัดตั้งหนังสือพิมพ์รายปักษ์ สุภาพบุรุษ ขึ้นโดยได้รับความอุดหนุนจากนายหอม นิลรัตน์ ณ อยุธยา เจ้าของหนังสือพิมพ์ ไทยหนุ่ม ซึ่งในเวลานั้นเปนหนังสือพิมพ์รายวันที่มีวิธีการอันก้าวหน้ากว่าหนังสือพิมพ์ใด ๆ ในสมัยเดียวกัน
    "กิจการของเราได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม ชื่อเสียงของคณะเรา คณะ 'สุภาพบุรุษ' แผ่กว้างออกไปจนกระทั่งราวต้นปี พ.ส. ๒๔๗๓ หนังสือพิมพ์ บางกอกการเมือง ซึ่งเปนหนังสือพิมพ์ผู้น้องของหนังสือพิมพ์ กรุงเทพไทยเดลิเมล์ (คือเป็นหนังสือพิมพ์ร่วมเจ้าของเดียวกัน) ของบริษัทสยามฟรีเปรส ประสพความเสื่อมโทรม ขาดความนิยม และจำนวนหนังสือที่พิมพ์จำหน่าย ได้ลดลงเปนลำดับ ทางกองอำนวยการจึงได้ประชุมปรึกสาหาทางแก้ไข นายชะอุ่ม กมลยะบุตร นักหนังสือพิมพ์อาวุโส และในเวลานั้นเปน 'พี่เบิ้ม' อยู่ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ กรุงเทพเดลิเมล์ ได้เสนอต่อกองอำนวยการว่า ถ้าจัดการให้ได้ตัวฉันมาเปนบรรณาธิการ ก็คงปรับปรุงหนังสือพิมพ์ บางกอกการเมือง ให้ขึ้นสู่ความนิยมได้ ด้วยได้เห็นความสำเร็จของฉันในการจัดตั้งหนังสือพิมพ์รายปักษ์ สุภาพบุรุษ มาแล้ว ทางกองอำนวยการของสำนักนั้น ตกลงรับข้อเสนอของนายชะอุ่ม และได้ให้คนมาติดต่อ บอกเชินฉันเปนบรรณาธิการ
    "ว่าตามจริง ในเวลานั้นฉันก็กำลังเพลิดเพลิน ในกิจการงานหนังสือพิมพ์ สุภาพบุรุษ ของฉันอยู่ไม่น้อย เพราะประการหนึ่ง งานของเรากำลังเจรินเปนปึกแผ่น ประการที่สอง เรามีเวลาเป็นอิสระแก่ตัว ที่จะเชื้อเชินมิตรสหายนักเขียนของเรามาร่วมชุมนุมสนทนาเลี้ยงดูรื่นเริงกันได้ทุกเวลาเย็น นะที่สำนักงานของเรา หรือนะที่สรรพานิช หรือนะที่ใดที่หนึ่งตามแต่เราจะพอใจ เรามีรายได้จากกิจกรรมงานของเราเพียงพอที่จะจับจ่ายเลี้ยงดูกันได้ โดยไม่ต้องระมัดระวังในความสิ้นเปลือง เรามีเสรีเต็มเปี่ยม เพราะว่ารายได้เหล่านั้นมันเปนของเรา
(คลิกดูภาพใหญ่)     "รายได้ทางหนังสือพิมพ์ สุภาพบุรุษ ของฉันนั้น สูงกว่ารายได้ในตำแหน่งบรรณาธิการ บางกอกการเมือง สัก ๒-๓ เท่า แต่เมื่อฉันได้คำเชิน ใจฉันก็ไหว กลิ่นหนังสือพิมพ์ข่าวแตะจมูก และความรู้สึกของฉันอย่างแรง ฉันสูดกลิ่นนั้นด้วยความรู้สึกซาบซ่านสั่นสเทือน ฉันใช้เวลา ๕ ปีของเยาวมานพ ฝึกฝนและหาความชำนาญอยู่ในโลกหนังสือแม็กกาซีนและนวนิยาย ความกระหายคั่นต่อไปของฉันก็มีอยู่ว่า ทำไฉนฉันจะได้ผ่านอาณาจักรแม็กกาซีนและนวนิยาย ไปสู่อาณาจักรหนังสือพิมพ์ข่าวอย่างจริงจังสักครั้งหนึ่ง ฉันต้องการรู้รสชีวิต และต้องการผเชินภัย ถ้าหากมีภัยอยู่จริงในอาณาจักรนั้น
    "เมื่อฉันมีความเอนเอียงในใจ ที่จะไปสู่อาณาจักรใหม่ ฉันก็ปรึกสาหารือกันกับพรรคพวก และจัดแจงชีวิตของเราให้สำเร็จผลไปในทางนั้น หนังสือพิมพ์ สุภาพบุรุษ นั้น เปนหน่อเนื้อเชื้อไขของเราเอง จะเปรียบก็เหมือนเปนเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของเรา พวกเรา ธุระสำคัญของเราจึงอยู่ที่ว่าจะต้องจัดแจงให้กิจการหน่อเนื้อเชื้อไข ได้ดำรงอยู่และได้ดำเนินต่อไปโดยราบรื่น..."
    (กุหลาบ สายประดิษฐ์ : บทบาทอันหนึ่งในชีวิตการหนังสือพิมพ์ของฉัน : อ้างใน "สิงห์ สนามหลวงสนทนา" เนชั่นสุดสัปดาห์ : ๑๖-๒๒ เมษายน ๒๕๔๔)

    หลังจากเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓ ตำนานแห่ง คณะสุภาพบุรุษ ยังคงมีสืบต่อมา แต่ทว่ามิได้เป็นไปในลักษณะของการจัดทำ Literary Magazine อีกต่อไป การยุติลงของ สุภาพบุรุษ รายปักษ์ อาจมีสาเหตุมาจาก "การบริหารจัดการ" (เช่นเก็บเงินจากสายส่งไม่ได้) หรืออาจมีสาเหตุมาจากการ "อิ่มตัว" ของบรรณาธิการเองก็เป็นได้ ดังที่กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้เอ่ยความในใจบอกว่า "ฉันมีความเอนเอียงในใจที่จะไปสู่อาณาจักรใหม่..." "...ความกระหายคั่นต่อไปของฉันก็มีอยู่ว่า ทำไฉนฉันจะได้ผ่านอาณาจักรแม็กกาซีนและนวนิยาย ไปสู่อาณาจักรหนังสือพิมพ์ข่าวอย่างจริงจัง..."
    คำว่า หนังสือพิมพ์ข่าว คือคำตอบที่แจ่มชัดในตัวของมันเอง
(คลิกดูภาพใหญ่)

บนเส้นทางหนังสือพิมพ์

    หนังสือพิมพ์รายวัน บางกอกการเมือง ซึ่งนายหลุย คีรีวัต เป็นเจ้าของได้เริ่มออกตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๖๖) มีพระสันทัดอักษรสารเป็นบรรณาธิการ ภายหลังมีปัญหาทางสุขภาพจึงได้ให้พระวินัยสุนทรการรักษาการแทน แต่ความนิยมหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้เริ่มลดลง ดังนั้นจึงได้ติดต่อให้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ มาเป็นบรรณาธิการแทน เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๓ และได้มีการปรับปรุงจัดตั้งกองบรรณาธิการใหม่ โดยมี สนิท เจริญรัฐ, เฉวียง เศวตะทัต, ชะเอม อันตรเสน, จาก คณะสุภาพบุรุษ มาช่วยงาน ปรับเปลี่ยนรูปแบบแปลกใหม่เรียกร้องความสนใจ เช่น พิมพ์สีตามวัน หรือริเริ่มจัดทำฉบับพิเศษ จนผู้อ่านเรียกขานกันว่า บางกอกการเมืองยุคใหม่ ทำยอดจำหน่ายสูงมาก จนเมื่อเกิดปัญหาตีพิมพ์ข่าวพระยาสมบัติบริหาร เจ้ากรมมหาดเล็ก หกล้มต่อหน้าพระที่นั่ง ข่าวนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ตกเป็นข่าว ดังนั้นจึงหาทางบีบมาทางเจ้าของทุน กุหลาบ สายประดิษฐ์ เห็นว่าไม่ยุติธรรมจึงขอลาออกทั้งคณะ หลังจากทำมาได้เพียง ๓ เดือนเท่านั้น เรื่องนี้กลายเป็นข่าวเกรียวกราวในวงการหนังสือพิมพ์และผู้อ่านระยะนั้น
    ปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๓ นั้นเอง กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้รับการชักชวนอีกครั้งจากนายเอกโป้ย (เอก) วีสกุล เป็นนายทุนออกหนังสือพิมพ์รายวัน ไทยใหม่ ในนามของบริษัทไทยใหม่จำกัด มีนายเอก วีสกุล และนายเต็ก โกเมศ เป็นผู้ถือหุ้น และมี กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นบรรณาธิการ เปิดสำนักงานที่ตรอกกัปตันบุช สี่พระยา 
    คณะผู้จัดทำเป็นกลุ่มสุภาพบุรุษอีกเช่นเคย โดยกุหลาบได้ตั้งคำขวัญว่า "ตั้งต้นชีวิตใหม่ โดยอ่านไทยใหม่" ถือเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ก้าวหน้าโดดเด่นอีกฉบับหนึ่งในยุคนั้น นอกจากจะเสนอข่าวและบทความเป็นที่นิยมของผู้อ่านแล้ว กุหลาบ สายประดิษฐ์ ยังได้สนับสนุนให้เปิดด้านบันเทิงคดีขึ้นมาด้วย โดยได้จัดทำออกเป็น ไทยใหม่วันอาทิตย์ มอบให้ มาลัย ชูพินิจ เป็นผู้ดูแล และออกหนังสือพิมพ์ ที่เน้นไปทางด้านบันเทิงคดีโดยตรงอีกฉบับหนึ่ง ในชื่อหนังสือพิมพ์ สุริยา โดยให้ โชติ แพร่พันธุ์ เป็นบรรณาธิการ และ สันต์ เทวรักษ์ เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ สุริยา เปิดฉากเรียกความฮือฮาด้วยเรื่อง ยอดขุนพล ของ "ยาขอบ" อันถือเป็นตอนเริ่มต้นของนวนิยายเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ในเวลาต่อมาที่หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวัน
    หนึ่งปีผ่านไป กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ใช้นโยบายให้ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่บรรณาธิการกันคนละปี ขึ้นปีที่ ๒ สนิท เจริญรัฐ ได้เป็นบรรณาธิการ และได้นำเสนอบทความทางการเมือง เรื่องว่า ชีวิตของประเทศ โดย "ศรทอง" (นามปากกาของพระยาศราภัยพิพัฒ) เนื้อหาเป็นทำนองเรียกร้องให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบรัฐสภา ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกเพ่งเล็งจากฝ่ายของรัฐบาลกษัตริย์อย่างมาก

(คลิกดูภาพใหญ่)     แต่ครั้นได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง มนุษยภาพ ของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ หลวงวิจิตรวาทการก็ได้เข้ามาถือหุ้น และเบี่ยงเบนนโยบายไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ในที่สุด กุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็ได้ลาออกทั้งคณะ จากนั้นก็มาร่วมทำหนังสือพิมพ์ ผู้นำ รายสัปดาห์ โดยมีนายเทียน เหลียวรักวงศ์ เจ้าของโรงพิมพ์สยามพานิชการ จำกัด เป็นผู้ออกทุน มีนายทองอิน บุณยเสนา (เวทางค์) เป็นบรรณาธิการ เริ่มออกฉบับปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๗๕ ต่อจากนั้น กุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็ได้เข้าร่วมประจำกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ศรีกรุง และหนังสือพิมพ์ สยามราษฎร์ ได้เขียนบทความทางการเมืองลงตีพิมพ์หลายชิ้น จนถึงเรื่อง มนุษยภาพ ซึ่งเขียนต่อจากที่เคยได้ลงในหนังสือพิมพ์ ไทยใหม่ บทความเรื่องนี้ เป็นการจี้จุดอ่อนของ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และกลายเป็นบทความที่มีความสำคัญที่สุด ในวงการหนังสือพิมพ์ไทยชิ้นหนึ่ง แต่แล้วกลับส่งผลให้หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ถูกปิด และพระยาอุปการศิลปเศรษฐ ผู้เป็นบรรณาธิการถูกถอนใบอนุญาต คำว่า "แท่นพิมพ์ถูกล่ามโซ่" ก็น่าจะมีที่มาจากกรณีนี้ ครั้นปิดได้ ๙ วันจึงได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการต่อไป โดยเปลี่ยนบรรณาธิการมาเป็นนายเจริญ วิศิษฏศรี (๙)
    ด้วยเหตุผลที่ว่ามีการโจมตี ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างกว้างขวาง และประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจขั้นพื้นฐาน ต่อระบอบประชาธิปไตย หลังจากที่สยามประเทศมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดย "คณะราษฎร" เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ พลตรี พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ซึ่งดำรงพระอิสริยยศในขณะนั้นเป็นหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ได้ตกลงพระทัยออกหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวัน โดยมอบให้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นบรรณาธิการ เริ่มฉบับปฐมฤกษ์ของหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวันกำเนิดเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๗๕ มีคำขวัญประจำหนังสือพิมพ์ว่า "บำเพ็ญกรณีย์ ไมตรีจิตต์ วิทยาคม อุดมสันติสุข"
(คลิกดูภาพใหญ่)     กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้รวบรวมเพื่อนพ้องใน คณะสุภาพบุรุษ ที่เคยร่วมงานกันมาแต่เก่าก่อน กลับมาอีกครั้ง ได้แก่ มาลัย ชูพินิจ, สนิท เจริญรัฐ, เฉวียง เศวตะทัต, โชติ แพร่พันธุ์ ฯลฯ โดยมาช่วยกันจัดทำหนังสือพิมพ์รายวันฉบับนี้ ขณะนั้นทุกคนต่างล้วนเป็นนักเขียน นักประพันธ์ที่เริ่มมีชื่อเสียงแล้ว ดังนั้นจึงย่อมสร้างความนิยมให้แก่ผู้อ่านเป็นอย่างดี เพราะมีประสบการณ์อยู่พร้อมมูล และมีวิธีการเขียนอย่างมีชีวิตชีวา นอกเหนือจากบทนำ บทความ คอลัมน์ และความรู้ที่มุ่งสร้างความเข้าใจเรื่องระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังพร้อมที่จะให้ความบันเทิงด้วยงานวรรณกรรม อาทิ นวนิยายเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ของ "ยาขอบ" และ ข้างหลังภาพ ของ "ศรีบูรพา" เป็นต้น
    หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวันได้ประกาศความมีศักดิ์ศรีที่จะพัฒนาหนังสือพิมพ์ไปสู่ยุคใหม่ โดยได้ปวารณาตัวว่า ประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวม คือ เข็มทิศของหนังสือพิมพ์ และมีจุดยืนเคียงข้างประชาธิปไตย ผลที่ได้รับคือถูกสั่งปิดถึงสองครั้ง ด้วยบทความที่วิพากษ์วิจารณ์การเมืองในยุคนั้นอย่างตรงไปตรงมา (๑๐)
    พ.ศ. ๒๔๗๗ อยู่ในช่วงที่หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวันได้รับความนิยมนำหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ละงานให้เพื่อน ๆ ดูแลแทน และได้อุปสมบทที่วัดเบญจมบพิตรฯ อยู่หนึ่งพรรษา
    พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่งงานกับ ชนิด ปริญชาญกล (อาชีพครูและแปลหนังสือใช้นามปากกาว่า "จูเลียต") งานแต่งงานจัดขึ้นที่วังถนนเพลินจิต มี ม.จ. วรรณไวทยากร วรวรรณ เป็นเจ้าภาพ พร้อมทั้งได้ประทานที่ดินในซอยพระนางให้ปลูกเรือนหอ กุหลาบและชนิด มีบุตรด้วยกันสองคน คือ แพทย์หญิงสุรภิณ ธนะโสภณ และนายสุรพันธ์ สายประดิษฐ์
    พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นช่วงที่หลวงพิบูลสงครามมีบทบาททางการเมืองสูงมาก และเกิดไม่พอใจที่กองบรรณาธิการ ประชาชาติ ให้การสนับสนุนพระยาทรงสุรเดช คู่แข่งทางการเมืองของตน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าของกับกองบรรณาธิการ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ไม่ประสงค์จะให้เกิดการแตกหัก จึงถือโอกาสเดินทางไปดูงานด้านหนังสือพิมพ์ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาหกเดือน โดยได้รับคำเชิญจากหนังสือพิมพ์ อาซาฮี หลังจากนั้นไม่นาน หม่อมพร้อม วรวรรณ พระชายาของ ม.จ. วรรณไวทยากร ("พระองค์วรรณ") ในนามเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวัน ก็ได้ขอร้องให้ มาลัย ชูพินิจ รักษาการแทน แต่กองบรรณาธิการได้ลาออกทั้งคณะ หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ รายวันจึงค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงเป็นลำดับ 
    กุหลาบ สายประดิษฐ์ กลับจากญี่ปุ่นก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่ ประชาชาติ อีก เขาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่เขียนหนังสืออยู่กับบ้าน นวนิยายของเขาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ก็มีเช่นเรื่อง ข้างหลังภาพ (ประชาชาติ รายวัน : ๒๔๘๐) และเรื่อง ป่าในชีวิต (สยามนิกรรายวัน : ๒๔๘๐) เป็นต้น (๑๑)
(คลิกดูภาพใหญ่)

ช่วงกลางและช่วงหลังแห่งชีวิต

    เพื่อรวบรัดให้เห็นชีวิตของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ โดยสรุป ขอนำ "ชีวประวัติโดยสังเขป" ที่ปรากฏในหนังสือ ข้อคิดจากใจ กุหลาบ สายประดิษฐ์ (บ้านศรีบูรพา : ๒๕๓๗) มาลงไว้ ณ ที่นี้ โดยถือเอาตั้งแต่ช่วง พ.ศ. ๒๔๘๑ เป็นต้นมา จนถึงช่วงมัชฌิมวัยและปัจฉิมวัย
    พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๘๙
    -เป็นกรรมการอำนวยการหนังสือพิมพ์ ประชามิตร
    -เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ สุภาพบุรุษ
    -รวม ประชามิตร-สุภาพบุรุษ เป็นฉบับเดียวกัน มอบหมายให้มิตรสหายรับช่วงงาน ทำหน้าที่โดยร่วมเป็นผู้รับชอบ (๑๒)
    -ก่อนสงครามยุติใน พ.ศ. ๒๔๘๘ เขียนบทความขับเคี่ยวกับรัฐบาลที่คืบหน้าไปสู่ระบอบเผด็จการแทบตลอดเวลา
    พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการก่อตั้งสมาคมหนังสือพิมพ์ฯ
    พ.ศ. ๒๔๘๕ หลังจากเขียนบทความติดต่อกันคัดค้านการฟื้นฟูบรรดาศักดิ์ของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับผลสำเร็จ การฟื้นฟูบรรดาศักดิ์ครั้งนั้นต้องระงับพับไป และเขียนบทความคัดค้านรัฐบาลร่วมมือกับญี่ปุ่นในการทำสงคราม ได้ถูกจับด้วยข้อหากบฏภายในประเทศ ถูกคุมขังอยู่ราวสามเดือน จึงได้รับอิสรภาพเพราะคดีไม่มีมูล
    พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๘๙ ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (๑๓)
    พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๔๙๒ ไปศึกษาวิชาการเมืองในประเทศออสเตรเลียราวสองปี
    พ.ศ. ๒๔๙๒-๒๕๑๐ ตั้งสำนักพิมพ์สุภาพบุรุษ พิมพ์จำหน่ายหนังสือของ "ศรีบูรพา" และ "จูเลียต" เขียนหนังสืออยู่กับบ้าน

(คลิกดูภาพใหญ่)     พ.ศ. ๒๔๙๕ ปราศรัยในที่ประชุมใหญ่สมาคมหนังสือพิมพ์ฯ และเขียนบทความเรียกร้องให้รัฐบาลเลิกเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ และยกเลิก พ.ร.บ. การพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
    พ.ศ. ๒๔๙๕ รับตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย เรียกร้องสันติภาพคัดค้านสงครามรุกรานเกาหลี
    พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้รับมอบหมายจากสมาคมหนังสือพิมพ์ฯ ให้เป็นประธานนำคณะไปแจกสิ่งของ ที่มีผู้บริจาคแก่ประชาชนภาคอีสาน ที่ประสบภัยธรรมชาติอย่างร้ายแรง ประกอบกับการที่ได้ร่วมคัดค้านสงครามรุกรานเกาหลี จึงถูกจับกุมพร้อมด้วยมิตรสหาย ในข้อหากบฏภายใน และภายนอกราชอาณาจักร ถูกตัดสินจำคุกเป็นคณะใหญ่ ๑๓ ปี ๔ เดือน และถูกคุมขังไว้ในเรือนจำบางขวางฐานนักโทษการเมือง
    ก.พ. ๒๕๐๐ ได้รับนิรโทษกรรมเนื่องในวโรกาสครบรอบ ๒๕ พุทธศตวรรษ (หลังจากถูกคุมขังอยู่สี่ปีเศษ)
    เม.ย. ๒๕๐๐ ได้รับอิสรภาพมาไม่ทันถึงสองเดือน ได้ไปร่วมประท้วงรัฐบาลกรณีจับบรรณาธิการสยามรัฐ (ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช) โดยร่วมปราศรัยในที่ประชุมใหญ่ตามคำเชิญของสมาคมหนังสือพิมพ์ฯ (๑๔)
    พ.ย. ๒๕๐๐ ได้รับเชิญให้ไปเยือนสหภาพโซเวียตเพื่อร่วมฉลองครบรอบ ๔๐ ปีของการปฏิวัติโซเวียต
    ส.ค. ๒๕๐๑ ได้รับเชิญให้นำ "คณะผู้แทนส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม" ไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะที่กำลังเยือนจีนอยู่นั้น ในประเทศไทย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารจับกุมคุมขังผู้รักชาติรักประชาธิปไตยอย่างขนานใหญ่ (รวมทั้งนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ที่กลับจากไปเยือนจีนด้วย) เพื่อมิให้ถูกจับกุมคุมขัง กุหลาบ สายประดิษฐ์ จึงขอลี้ภัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างอยู่ในจีนได้เขียนและพูดกระจายเสียงออกอากาศ เล่าเรื่องสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ได้ไปเห็นทางสถานีวิทยุปักกิ่ง และได้ร่วมประชุมสากลหลายครั้ง
    ต.ค. ๒๕๐๑ เดินทางจากจีนไปร่วมประชุมกลุ่มนักเขียนเอเชีย-แอฟริกาที่เมืองทาชเคนท์ สหภาพโซเวียต
    พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมประชุมสัมมนาทางวิทยาศาสตร์ (สาขาสังคมศาสตร์) ที่ปักกิ่ง
    พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมประชุมกลุ่มนักเขียนเอเชีย-แอฟริกาที่ปักกิ่ง
    ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๗ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ถึงแก่กรรมด้วยโรคปอดบวมและเส้นโลหิตหัวใจตีบตันที่โรงพยาบาลเซียะเหอในปักกิ่ง ทางการรัฐบาลจีนได้จัดพิธีศพให้อย่างสมเกียรติ มีมิตรสหายทั้งชาวไทย ชาวจีน และชาวต่างประเทศอื่น ๆ ไปร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
(คลิกดูภาพใหญ่)

ร่องรอยแห่งความจำได้

    กุหลาบ สายประดิษฐ์ มีสิริอายุรวมได้ ๖๙ ปี ๓ เดือน ๓ วัน เมื่อเขาได้ลาร่างจากสังขารไป เหลือทิ้งไว้แต่ผลงานแห่งการทำความดี ความงาม และความจริงให้ปรากฏ ทางการจีนได้กล่าวไว้อาลัยในงานพิธีศพที่สุสานปฏิวัติปาเป่าซานครั้งนั้น มีใจความตอนหนึ่งว่า "กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นผู้อุทิศชีวิตเพื่องานทางวรรณกรรม และหนังสือพิมพ์ ผลงานเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อการต่อสู้ในการเรียกร้องเอกราช และประชาธิปไตยของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง..." 
    ในหนังสือ รำลึกถึงศรีบูรพา-กุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่ "เพื่อนร่วมคุก ๒๔๙๕-๒๕๐๐ และสหธรรมมิก" ได้จัดทำขึ้นไว้อาลัยเมื่อทราบข่าวการจากไปครั้งนั้น (สำนักพิมพ์สันติธรรม : ๒๕๒๘) กรุณา กุศลาสัย ได้กล่าวไว้อาลัยว่า "คุณกุหลาบเป็นนักมนุษยธรรมอย่างแท้จริง... ร่างของคุณกุหลาบได้สลายไปแล้วตามกฎของธรรมชาติ แต่อุดมการและแนวความคิดของคุณกุหลาบจะไม่มีวันสลายตาม ตราบเท่าที่หนังสือไทยยังมีอยู่"
    นิตยสาร โลกหนังสือ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๑ ที่จัดทำขึ้นเพื่อ "รำลึกถึงศรีบูรพาและกลุ่มนักประพันธ์คณะสุภาพบุรุษ" สุภา ศิริมานนท์ อดีตบรรณาธิการ อักษรสาส์น ได้กล่าวอ้างถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์ ว่าเคยเฝ้าเตือนย้ำเขาเสมอว่า "ในการเป็นหนังสือพิมพ์นั้น เราจะต้องเป็นสุภาพบุรุษพร้อมกันไปด้วยเสมอ"
    สอดคล้องกับที่ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้แสดงปาฐกถาที่สมาคมหนังสือพิมพ์ฯ ในโอกาสวันครบ ๒๐ ปีแห่งมรณกรรมของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๓๗ มีความตอนหนึ่งคือ
    "นามของกุหลาบนั้นบ่งไปถึงต้นไม้ที่ดอกมีกลิ่นหอม ดมก็ได้ ชมความงามก็ได้ ใช้ทำยาก็ได้ ใช้ลอยน้ำเพื่อดื่มด้วยความชื่นใจก็ได้ พร้อมกันนั้น กุหลาบก็มีหนามอันแหลมคม พร้อมที่จะทิ่มตำฝ่ายอธรรมและฝ่ายเผด็จการ... แม้คุณกุหลาบจะมีคุณค่าในฐานะนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ แต่คุณค่าที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือการเป็นสุภาพบุรุษผู้มีมนุษยภาพ..." 
    ร่องรอยแห่งความจำได้ที่เป็นเกียรติประวัติสำคัญของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ในประการต่อมาเมื่อไม่นานนี้ คือการที่เขาได้รับ รางวัลปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านประชาธิปไตยและสันติภาพ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓ ซึ่งในคำประกาศเกียรติคุณตอนหนึ่ง ได้กล่าวยกย่องเขาว่า เขาเป็นบุคคลพิเศษ

(คลิกดูภาพใหญ่)     "ในฐานะนักคิด นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ด้วยวิถีทางอันปราศจากการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือทางอ้อม ด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ และจริงจัง..."
    นับจากนี้ไปอีกสี่ปี ข้างหน้า คือในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เมื่อ กุหลาบ สายประดิษฐ์ มีอายุครบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล สยามประเทศแห่งนี้จะมีกลุ่มหรือองค์กรใดบ้างที่เตรียมงานฉลองให้เขาอย่างจริงจังและจริงใจ
    จนกว่าเราจะพบกันอีก...
    "ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน
    แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก"
    "ศรีบูรพา" : ข้างหลังภาพ : ๒๔๘๐

    "ไนเวลาสงบ ท้องฟ้าโปร่ง สว่างจ้าด้วยแสงตวัน ไคร ๆ ก็แลเห็นว่าเรายืนอยู่ที่ไหน เวลาพายุกล้าฟ้าคนอง ผงคลีฟุ้งตลบไปไนอากาส ไม่เห็นตัวกัน ต่อพายุสงบฟ้าสว่าง ไคร ๆ ก็จะเห็นอีกครั้งหนึ่งว่า เรายืนหยู่ที่เดิม และจักหยู่ที่นั่น..." 
    กุหลาบ สายประดิษฐ์
    บทนำ : ประชามิตร สุภาพบุรุส
    ๑ ธันวาคม ๒๔๘๗