สารคดี ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒๐๐ เดือน ตุลาคม ๒๕๔๔ "๑๑ กันยายน ๒๐๐๑ วันถล่มอเมริกา"
นิตยสารสารคดี Feature Magazine
นิตยสารสำหรับครอบครัว
www.sarakadee.com
ISSN 0857-1538
  ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒๐๐ เดือน ตุลาคม ๒๕๔๔
 กลับไปหน้า สารบัญ

๑๑ กันยายน ๒๐๐๑ วันถล่มอเมริกา

เรื่อง : กองบรรณาธิการ
       ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ท้องฟ้าเหนือมหานครนิวยอร์กปลอดโปร่ง แจ่มใส --ควรเป็นอีกวันที่อเมริกันชนดำเนินชีวิตไปตามปรกติสุข
     อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด วันนั้นกลับกลายเป็นวันแห่งความพินาศย่อยยับ สยดสยองสะเทือนขวัญ ซึ่งจะตราตรึงหลอกหลอนชาวอเมริกันไปชั่วลูกชั่วหลาน
     แวบแรกคนอาจไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นเครื่องบินลำมหึมาพุ่งหายเข้าไปในตึก ขณะตึกยักษ์ถล่มราบลงเป็นหน้ากลอง นอกจากกลืนกินชีวิตผู้คนนับพันแล้ว มันยังบอกอเมริกันชนให้รู้ว่า ประเทศของเขาไม่มั่นคงปลอดภัยอย่างที่คิด
     การตอบโต้ของพญาอินทรีที่จะต้องมีขึ้นแน่นอน ทำให้ชาวโลกเฝ้ามองด้วยใจระทึก โลกของเราจะเป็นอย่างไรในอนาคต มันอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกเลยก็เป็นได้
คลิกดูภาพใหญ่

๑. วันโลกาวินาศ

     ว่ากันว่าชาวอเมริกันขึ้นเครื่องบินสายการบินภายในประเทศกันเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับคนไทยขึ้นรถไฟหรือรถทัวร์ไปต่างจังหวัด
     ผู้โดยสารทั้ง ๘๑ คน บนเครื่องบินโบอิ้ง ๗๖๗ ของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ ๑๑ ที่บินขึ้นจากสนามบินเมืองบอสตันเวลา ๗.๕๙ น. คงจะเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายอารมณ์ คอยแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายที่ลอสแองเจลิส ไม่มีทางที่ใครจะคาดคิดเป็นอันขาดว่าอนาคตที่รอพวกเขาอยู่จะน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนั้น
     โบอิ้ง ๗๖๗ เที่ยวบินที่ ๑๑ ไปไม่ถึงจุดหมาย มันเปลี่ยนเส้นทาง นำผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่บนเครื่อง และน้ำมันเต็มลำ ปักหัวเข้าใส่ยอดตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ อาคาร ๑ เมื่อเวลา ๘.๔๕ น.
     เสียงระเบิด แรงสะเทือน เปลวไฟและกลุ่มควันที่พวยพุ่ง เศษกระจก อะลูมิเนียมชิ้นส่วนอาคาร ชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ และกระดาษเอกสารที่ร่วงกราวลงมาราวห่าฝน สะกดผู้คนบนท้องถนนโดยรอบให้ตะลึงงัน เงียบกริบด้วยความงุนงง
     สื่อมวลชนทุกสำนักปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็วฉับพลัน กล้องโทรทัศน์และกล้องถ่ายภาพนิ่งจากมทุกมุม หันเลนส์เข้าสู่จุดหมายเดียวกัน จึงทันบันทึกภาพความวินาศต่อมาที่คนไม่รู้ อาจคิดว่าเป็นการย้อนภาพวิดีโอ
     ภาพข่าวถ่ายทอดสดที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์ทั่วโลกขณะนั้น คือตึกแฝดเวิลด์เทรดเซนเตอร์ สูงตระหง่านโผล่พ้นแนวแท่งตึกเรียงรายบนเส้นขอบฟ้า ของเกาะแมนฮัตตัน ควันไฟสีดำพวยพุ่งเป็นเส้นสายออกมาจากอาคารหนึ่ง ขณะผู้สื่อข่าว และใครหลายคนกำลังตั้งข้อสงสัยอยู่ว่า เหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อครู่เป็นอุบัติเหตุ เครื่องบินอาจสูญเสียการควบคุม เงาดำของเครื่องบินอีกลำ พลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า...

คลิกดูภาพใหญ่      โบอิ้ง ๗๖๗ สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ ๑๗๕ ที่บินขึ้นจากบอสตันลำนั้น ก็ไม่ได้มุ่งสู่ลอสแองเจลิสตามกำหนด มันพุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ อาคาร ๒ เมื่อเวลา ๙.๐๖ น. ห่างจากเครื่องบินชนตึกครั้งแรก ๒๑ นาที
     เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทพร้อมเปลวเพลิงลูกใหญ่ม้วนออกมาเป็นระลอก อีกครั้งที่ข้าวของ โต๊ะ เก้าอี้ เศษกระจก เอกสาร ฝุ่นคอนกรีตหนาทึบร่วงกราวลงมาด้านล่าง คนที่เฝ้ามอง และผู้ที่เพิ่งหนีออกมาจากอาคาร ๑ ต่างกรีดร้องตื่นตระหนก วิ่งหนีกันสับสนอลหม่านทั่วท้องถนน ขณะขบวนรถกู้ภัย และรถพยาบาลเปิดไซเรนดังลั่นวิ่งสู่บริเวณเกิดเหตุ
     ภาพที่น่ากลัวและชวนสลดที่สุดในเวลาต่อมาก็คือ บรรดาผู้ที่ติดค้างบนตึกแฝดที่หนีไฟลงมาไม่ได้ ถูกความร้อนรุมเร้า จนตัดสินใจกระโดดออกมาจากหน้าต่างบนชั้นต่าง ๆ ร่วงละลิ่วลงมาข้างล่าง
     เมื่อเครื่องบินพุ่งชนตึกครั้งที่ ๒ อาจทำให้หลายคนฉุกคิดถึงความผิดปรกติ ทว่าเมื่อครั้งที่ ๓ ตามมาอีก บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าทั้งหมดเป็นการก่อวินาศกรรม
     วอชิงตัน ดี.ซี.-เมืองหลวงของประเทศ ๙.๔๐ น. เครื่องโบอิ้ง ๗๕๗ สายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบิน ๗๗ บรรทุกผู้โดยสาร ๕๘ คน ลูกเรือ ๖ คน บินเข้าชนด้านหนึ่งของอาคารทรงห้าเหลี่ยมตึกเพนทากอน กระทรวงกลาโหม เกิดระเบิดรุนแรง ไฟลุกท่วม ควันพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า
     คลื่นความตระหนกตกใจ มึนงง สับสน แผ่ไปทั่วอเมริกา มาตรการฉุกเฉินถูกประกาศใช้ มีการอพยพผู้คนออกจากสถานที่สำคัญ ทั้งทำเนียบขาว รัฐสภา ตึกเอ็มไพร์สเตรต ตึกเซียร์ เครื่องบินรบบินขึ้นสู่น่านฟ้า ปกป้องผู้ที่อาจเข้ามารุกราน ไม่มีใครรู้ว่าความเลวร้ายอะไรจะตามมาอีก
     กระทั่ง ๙.๕๘ น. มีผู้โทรศัพท์จากเครื่องบินสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบิน ๙๓ จากเนวาร์กมุ่งสู่ซานฟรานซิสโก มาถึงหน่วยรับแจ้งเรื่องฉุกเฉิน ๙๑๑ บอกว่าเขากำลังหลบในห้องน้ำบนเครื่องบิน
 คลิกดูภาพใหญ่      "เราถูกจี้"
     เครื่องบินลำนั้นตกห่างจากตัวเมืองพิตต์สเบิร์ก ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ๑๓๐ กิโลเมตร กระแสข่าวที่ตามมาระบุว่า หากไม่ตกเสียก่อน เครื่องบินกำลังมุ่งไปสู่ที่ตั้งของทำเนียบขาว !
     กลับมาที่นิวยอร์ก หายนะที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้น
     เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วที่เครื่องบินทั้งสองลำพุ่งชน และค้างอยู่ในตึกแฝดเวิลด์เทรดเซนเตอร์ แรงกระแทก การระเบิดติดต่อกัน และเปลวเพลิงเผาไหม้จากน้ำมันเครื่องบิน ทำให้ความร้อนเพิ่มอุณหภูมิจนถึง ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส โครงเหล็กรับน้ำหนักของอาคารค่อย ๆ อ่อนตัวกระทั่งถึงจุดไม่อาจทานน้ำหนักมหาศาล ของตัวตึกชั้นบนที่โถมทับลงมา
     อาคารทิศใต้แม้เกิดเหตุทีหลัง แต่เครื่องบินพุ่งชนที่ชั้นต่ำกว่าด้วยความรุนแรงมากกว่า ถล่มก่อนเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ส่วนบนของอาคารระเบิดออก เป็นฝุ่นผงแตกกระจาย เสียงตูม ๆ ดังตามมา จากนั้นทั้งอาคารถล่มรูดจากชั้นบนลงสู่ชั้นล่าง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เกิดแรงอัดอากาศ ดูดฝุ่น ควัน กระดาษ ชิ้นส่วนข้าวของต่าง ๆ ปลิวว่อน ท่ามกลางเสียงหวีดร้องตื่นตระหนกของผู้คน
     อาคาร ๑ ถล่มในอีก ๒๙ นาทีต่อมา ในลักษณะเดียวกัน เกิดโกลาหลราวเป็นวันโลกาวินาศ ผู้คนเต็มท้องถนนแตกตื่นวิ่งหนีกันอลหม่าน มวลฝุ่นจากอาคารที่แตกระเบิด ปลิวฟุ้งเป็นม่านทึบปกคลุมท้องฟ้า จนทั่วย่านสลัวมัวหม่นไม่ผิดแดนสนธยา ฝุ่นผงค่อย ๆ โปรยปรายลงจากอากาศราวหิมะตก ทับถมทั่วถนน และรถยนต์ที่จอดอยู่เป็นชั้นฝุ่นหนาทึบ บัดนี้ตึกแฝดระฟ้าเวิลด์เทรดเซนเตอร์ หายวับไปจากเส้นขอบฟ้าเกาะแมนฮัตตัน เหลือเพียงซากปรักหักพังสุมซ้อนเป็นภูเขาเลากา กลืนกินชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาล
     รายงานข่าวที่ตามมาระบุว่า เฉพาะเครื่องบิน ๔ ลำ มีผู้เสียชีวิต ๒๖๖ ศพ ผู้เสียชีวิตที่เพนทากอนประมาณ ๘๐๐ ราย พนักงานดับเพลิงที่เข้าไปในตึกแฝดเสียชีวิตราว ๓๐๐ ราย ผู้ที่ติดค้างอยู่ในตึกเสียชีวิตหลายพันคน คาดว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมดนับหมื่นคน และยอดรวมความเสียหายอาจมีมูลค่าถึง ๒ หมื่นล้านดอลลาร์
     ชาวอเมริกันล้วนตกอยู่ในภาวะขวัญเสีย ทั่วประเทศเหมือนเป็นอัมพาต เที่ยวบินทุกสายถูกยกเลิก รถไฟใต้ดินหลายสายถูกปิด สถานที่ราชการ สถานศึกษา ตลาดหลักทรัพย์ปิดทำการ ที่นิวยอร์ก ร้านรวงปิดเงียบเชียบ ผู้คนส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่ในบ้าน
     หายนะยังส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ตลาดหุ้นในเอเชีย และยุโรปต้องปิดทำการ เนื่องจากภาวะการซื้อขายดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เช้าวันที่ ๑๓ กันยายน ตลาดหุ้นนิกเคอิของญี่ปุ่น ร่วงทันทีร้อยละ ๕.๐ ต่ำสุดในรอบ ๑๓ ปี ตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงทันทีร้อยละ ๗.๖ ขณะราคาน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์พุ่งพรวดจาก ๒๔ ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น ๓๐-๓๑ ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
 คลิกดูภาพใหญ่

๒. ฝีมืออสูร

     เหตุการณ์ก่อวินาศกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดของอเมริกาเมื่อ ๑๑ กันยายน เกิดขึ้นในช่วงเวลาครบรอบ ๖๐ ปี ของเหตุการณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์ที่เกาะฮาวายพอดี ครั้งนั้นกองทัพเรืออเมริกัน ถูกถล่มโดยไม่ทันรู้ตัว จากฝูงบินพลีชีพกามิกาเซ่ของญี่ปุ่น จนพินาศยับเยิน
     ขณะที่การก่อวินาศกรรมครั้งนี้ เกิดขึ้นใจกลางประเทศสหรัฐอเมริกา
     ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวในแถลงการณ์ครั้งแรกต่อสาธารณะว่า มันเป็นการกระทำของอสูรร้าย
     แน่นอน คนธรรมดาสามัญที่ไหน จะสามารถคิดค้นแผนปฏิบัติการที่ทั้งโหดเหี้ยม เลือดเย็น แต่ก็สลับซับซ้อนเปี่ยมประสิทธิภาพเช่นนี้
     ใครจะเชื่อว่าวันหนึ่ง จะเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอเมริกา ประเทศมหาอำนาจที่มีหูตาเป็นสับปะรด แต่ละปีทุ่มงบประมาณไม่ต่ำกว่า ๑ หมื่นล้านดอลลาร์ แก่งานข่าวกรอง และการต่อต้านการก่อการร้าย มีระบบดักฟังข่าวสารข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ทั้งดาวเทียม และเครื่องบินสอดแนม ซ้ำมองไกลไปถึงสงครามอวกาศ เตรียมติดตั้งขีปนาวุธบนฐานดาวเทียมในโครงการสตาร์วอร์
     เป็นไปได้อย่างไรภายในวันเดียว เครื่องบินถูกจี้ในเวลาไล่เลี่ยกันถึงสี่ลำ โดยกลุ่มคนร้าย ซึ่งภายหลังมีรายงานข่าวว่า ใช้คัตเตอร์เป็นอาวุธเท่านั้น ! เปลี่ยนเครื่องบินอเมริกัน ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารอเมริกัน ให้กลายเป็นจรวดระเบิด พุ่งเข้าชนตึกที่สำคัญที่สุดของอเมริกา จนถล่มราบคาบ
     ไม่มีใครรู้ว่า จอมบงการจ้องมองผลงานของตนเอง ผ่านสถานีข่าวอเมริกันด้วยแววตา และสีหน้าอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ สหรัฐอเมริกาได้ระดมสรรพกำลัง เจ้าหน้าที่ออกพลิกแผ่นดิน สืบหากลุ่มก่อการอย่างเต็มกำลัง
     สำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ ทุ่มกำลังหนึ่งในสี่หรือประมาณ ๗,๐๐๐ คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ๔๐๐ คน ออกแกะรอยหาผู้ต้องสงสัยทั่วประเทศ
     เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถยนต์ต้องสงสัยยี่ห้อนิสสัน อิลติมา สีเงิน จากสนามบินนานาชาติเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐเมน เมื่อคืนวันที่ ๑๒ กันยายน ภายในรถพบเป้ที่ทิ้งเอาไว้ มีตำราการบินภาษาอารบิกอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นรถที่สองผู้ต้องสงสัยจี้เครื่องบินเช่าเอาไว้ ก่อนเดินทางจากเมืองพอร์ตแลนด์ ไปยังสนามบินโลแกน เมืองบอสตัน เพื่อก่อวินาศกรรม

คลิกดูภาพใหญ่      รายงานข่าวระบุว่า หนึ่งในสองผู้ต้องสงสัยคือนายโมฮัมเหม็ด อัตตา อัสซัน อาลี ซึ่งเคยสมัครเรียนการขับเครื่องบิน จนได้รับใบอนุญาตขับเครื่องบินแล้ว
     ที่รัฐฟลอริดา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการค้นบ้านพักหลายหลัง ที่ย่านดาวี, โครัล สปริงส์, เวโร บีช, ซาราโซตา เคาน์ตี้, ย่านธุรกิจในฮอลลีวูด รวมทั้งโรงเรียนสอนการบิน "ฮัฟฟ์แมน อาวิเอชั่น อิงค์" ในย่านสนามบินนครบาลเวนิช
     นายรูดี เด็กเกอร์ส ผู้อำนวยการสอนการบินของโรงเรียนดังกล่าว เผยในรายการลาร์รี คิง ไลฟ์ ว่า ชายผู้ต้องสงสัยทั้งสองคน เคยลงเรียนที่โรงเรียนนี้ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๓
     ที่เมืองบอสตัน จุดเริ่มต้นที่คนร้ายขึ้นเครื่องบินที่สนามบินนานาชาติโลแกน ทีมหน่วยสวาทพร้อมอาวุธปืนกล นำกำลังบุกตรวจค้นโรงแรมเวสติน ย่านแบ็คเบย์ หนังสือพิมพ์ บอสตันโกลบ รายงานว่า หน่วยสวาทควบคุมผู้ต้องสงสัยในโรงแรมไปสามคน หลังพบว่าบัตรเครดิตของทุกคน ถูกนำไปใช้ซื้อตั๋วเครื่องบินโดยสารลำหนึ่ง ที่พุ่งชนตึกเวิลด์เทรดฯ
     นายจอห์น แอชครอฟต์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และนายโรเบิร์ต มูลเลอร์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอ ร่วมกันแถลงข่าวถึงการสอบสวนหากลุ่มคนร้าย
     ข่าวระบุว่า เอฟบีไอ พบเงื่อนงำของกลุ่มผู้ก่อการร้ายสี่กลุ่ม เป็นชาวตะวันออกกลางทั้งหมด เชื่อว่าเป็นผู้ลงมือปฏิบัติการครั้งนี้ กลุ่มทั้งหมดพร้อมผู้สนับสนุนรวมอย่างน้อย ๕๐ คน ปฏิบัติการเป็นอิสระจากกัน แต่ละกลุ่มมีหัวหน้ารับผิดชอบหนึ่งคน ที่เหลืออาจไม่เคยเห็นหน้ากันเลย แต่ติดต่อกันเป็นระยะ ผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล)
     ต่อมา เอฟบีไอประกาศรายชื่อผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินทั้งสี่ลำ จำนวน ๑๙ คน รวมทั้งโมฮัมเหม็ด อัตตา ด้วย
     รายชื่อผู้ต้องสงสัยทั้งหมด รวมทั้งการปฏิบัติการแบบพลีชีพ ทำให้การสืบสวนพุ่งประเด็นไปที่ กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงแห่งตะวันออกกลาง ชื่อที่สมควรถูกกล่าวถึงได้แก่ กลุ่มจิฮัด, กลุ่มฮามาส, กลุ่มอิสลามิก จิฮัด แห่งปาเลสไตน์ และกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในเลบานอน กลุ่มเหล่านี้เป็นศัตรูคู่อาฆาต ที่ทำสงครามกับอิสราเอลมาอย่างโชกโชน
     ทว่าผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า โอกาสที่ทั้งสี่กลุ่มจะเป็นผู้ลงมือมีไม่มาก เพราะความชำนาญ และศักยภาพไม่เพียงพอ ทั้งยังขาดการสนับสนุนทางการเงิน
 คลิกดูภาพใหญ่

     "มีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ที่มีทั้งทรัพย์สิน กำลังคน และมีความเชี่ยวชาญที่จะทำอย่างนี้ได้" เป็นความเห็นของ ลี ครีนด์เลอร์ ผู้เชี่ยวชาญข้อมูลด้านการก่อการร้าย
     ในที่สุด ปลายนิ้วของ "ลุงแซม" ที่กำลังเกรี้ยวกราด ก็ชี้ใส่หน้าของบุรุษผู้หนึ่ง... โอซามา บิน ลาเดน ผู้ถูกระบุว่า เป็นหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอัล ไกวด้า ซึ่งมีขุมข่ายโยงใยทั่วโลก
     ที่จริง แม้ขณะยังไม่ได้เริ่มกระบวนการสืบสวน เพียงหนึ่งวันหลังเหตุวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ชื่อของ บิน ลาเดน ก็ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ในฐานะผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง
     ยิ่งนานวันเขายิ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ใบหน้าเรียวยาวไว้หนวดเครา สีหน้านิ่งสงบ และดวงตากลมโตลึกล้ำ ปรากฏบนสื่อทุกแขนง บนปกนิตยสาร ในโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ในโปสเตอร์ประกาศจับของอเมริกา
     บิน ลาเดน ส่งแถลงการณ์ไปยังสำนักข่าวหนึ่งของอาหรับ ปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการวินาศกรรม แต่ดีใจที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับอเมริกา


คลิกดูภาพใหญ่

๓. ศัตรูหมายเลข ๑ ของอเมริกา

     โอซามา บิน ลาเดน ผู้ถูกสหรัฐอเมริกาตั้งค่าหัวถึง ๕ ล้านดอลลาร์ผู้นี้เป็นใครมาจากไหน ?
     โอซามา บิน ลาเดน เป็นลูกคนที่ ๑๗ จาก ๕๗ คน ของ มูฮัมหมัด บิน ลาเดน นักธุรกิจก่อสร้างชาวซาอุดีอาระเบีย ตระกูลของของเขาร่ำรวยมหาศาล และมีสายสัมพันธ์อันดี กับราชวงศ์กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย
     ปี ๑๙๘๐ กองทัพสหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน บิน ลาเดน ในวัยหนุ่ม ตัดสินใจเข้าร่วมกับขบวนการต่อต้านโซเวียต ของชาวอัฟกานิสถาน
     นอกจากสนับสนุนเงินจำนวนมหาศาลแล้ว เขายังจับอาวุธร่วมฝึก และร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ กับนักรบมูจาฮีดีนในสมรภูมิสุดโหด ต่อสู้กับกองทัพสหภาพโซเวียต ที่มีจำนวนมากกว่า และอาวุธทันสมัยกว่าอย่างไม่หวั่นเกรง
     ระหว่างสงคราม บิน ลาเดน ได้จัดตั้งกลุ่ม al-Qaida ที่แปลว่า ฐานที่มั่น รวบรวมกลุ่มอาสาสมัครนักรบอาหรับ ที่ร่วมต่อสู้กับทหารโซเวียตเข้าเป็นพรรคพวก
     ชนวนแค้นที่ บิน ลาเดน มีต่ออเมริกาเกิดขึ้นในปี ๑๙๙๐ เมื่อกองทัพอิรักเข้ายึดคูเวต นำไปสู่สงครามอ่าวเปอร์เซีย บิน ลาเดน ขอให้กษัตริย์ซาอุฯ ระดมกองกำลังจากกลุ่มของเขา เพื่อป้องกันประเทศ แต่กษัตริย์ซาอุฯ กลับเชื้อเชิญกองทัพอเมริกันเข้ามาแทน
     หลังสหรัฐอเมริกาชนะสงคราม ยังถือโอกาสตั้งฐานทัพอยู่ในซาอุฯ อย่างถาวร ทำให้ บิน ลาเดน ไม่พอใจอย่างมาก เขาเห็นว่าคนนอกศาสนาเหล่านี้ เข้ามาสร้างความแปดเปื้อน ให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกมุสลิม
     บิน ลาเดน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ซาอุฯ ในเรื่องนี้ ไม่นานรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศยกเลิกฐานะความเป็นพลเมืองของเขา

คลิกดูภาพใหญ่      ปี ๑๙๙๖ บิน ลาเดน ประกาศ "ฟัตวา" หรือประกาศิตทางศาสนา เรียกร้องให้ชาวมุสลิมสังหารทหารอเมริกันในซาอุฯ และโซมาเลีย อีกสองปี เขาประกาศฟัตวาครั้งที่ ๒ เรียกร้องให้ชาวมุสลิมทั่วโลก ฆ่าพลเรือนอเมริกันทุกคนที่พบเห็น
     สหรัฐฯ เชื่อว่า บิน ลาเดน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมรุนแรงหลายครั้ง
     ปี ๑๙๙๓ เหตุการณ์ระเบิดตึกเวิลด์เทรดฯ ครั้งก่อน มีผู้เสียชีวิต ๖ คน บาดเจ็บกว่า ๑,๐๐๐ คน
     ปี ๑๙๙๖ กลุ่มอาคารสำนักงานทหารของสหรัฐอเมริกา ในซาอุดีอาระเบียถูกวางระเบิด มีผู้เสียชีวิต ๑๙ คน บาดเจ็บอีก ๓๗๒ คน
     ปี ๑๙๙๘ ลอบวางระเบิดสถานทูตสหรัฐฯ ในเคนยา และแทนซาเนีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม ๒๒๔ คน บาดเจ็บ ๓๗๒ คน
     และปี ๑๙๙๘ มือระเบิดพลีชีพใช้เรือเป็นพาหนะ พุ่งเข้าชนเรือพิฆาต ยูเอสเอสโคล ในเยเมน ทำให้ทหารเรือ ๗ นายเสียชีวิต และอีก ๓๙ คนได้รับบาดเจ็บ
     ข้อมูลของสหรัฐฯ ระบุว่า เครือข่ายปฏิบัติการก่อการร้ายของ บิน ลาเดน นอกจากในอัฟกานิสถานแล้ว ยังมีอยู่ในแอลเบเนีย แอลจีเรีย อาเซอร์ไบจาน บังกลาเทศ บอสเนีย อังกฤษ แคนาดา เชชเนีย เอกวาดอร์ อียิปต์ อิริเทรีย จอร์แดน ลิเบีย เลบานอน เคนยา โคโซโว มาเลเซีย มอริเตเนีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ซาอุดีอาระเบีย โซมาเลีย ซูดาน ตูนิเซีย ทาจิกิสถาน แทนซาเนีย ยูกันดา อุซเบกิสถาน อุรุกวัย กาตาร์ เยเมน หรือแม้แต่ในสหรัฐฯ เอง 
     กล่าวได้ว่าทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ได้พบคู่ปรับคือ กลุ่มก่อการร้ายไร้พรมแดน
     ปัจจุบันหลายฝ่ายคาดว่า โอซามา บิน ลาเดน พร้อมกองกำลังยังกบดานอยู่ในอัฟกานิสถาน เพราะมีสายสัมพันธ์แนบแน่น กับรัฐบาลตาลีบันมาตั้งแต่สมัยสงครามต่อสู้สหภาพโซเวียต
     ดังนั้น เมื่อประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศกร้าวว่า สหรัฐอเมริกาจะถล่มทั้งกลุ่มผู้ก่อการร้าย และประเทศที่ให้ที่พักพิง
     ย่อมหมายความว่า หากรัฐบาลตาลีบันไม่ยอมส่งมอบตัว โอซามา บิน ลาเดน ตามที่อเมริกาคาดคั้น อัฟกานิสถาน มีสิทธิ์เป็นสมรภูมิของสงครามครั้งแรกแห่งศตวรรษที่ ๒๑
คลิกดูภาพใหญ่

๔. สงครามและความเกลียดชัง

     การประกาศสงครามของอเมริกาครั้งนี้ นอกจากเพื่อตอบโต้ผู้ก่อวินาศกรรมแล้ว ยังเป็นความพยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีของอเมริกากลับคืนมา
     เพราะตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ สูง ๑๑๐ ชั้น เป็นที่ตั้งของสำนักงานบริษัทหลักทรัพย์ ที่มีชื่อเสียงของโลกจำนวนมาก ส่วนตึกเพนทากอน เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางทหารของอเมริกา วินาศกรรมสะท้านโลกเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน จึงไม่เพียงทำลายชีวิต และทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล แต่ยังเป็นการจงใจทำลายสัญลักษณ์ของระบบทุนนิยม และอำนาจทางทหารของอเมริกาที่ครอบงำโลก
     แม้ชาวอเมริกันจำนวนมากกำลังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้า โกรธแค้น แต่อาจมีสักคนฉุกคิดขึ้นมาก็ได้ว่า อะไรทำให้ผู้ก่อการร้ายโกรธแค้นอเมริกาขนาดนี้ ? อะไรทำให้สลัดอากาศทั้ง ๑๙ คนไม่เสียดายแม้ชีวิต เพื่อบรรลุเป้าหมายทำลายอเมริกา ? แล้วคนขับเครื่องบินล่ะ เขารู้อยู่ทุกขณะจิต ที่เรียนขับเครื่องบินเป็นแรมปีหรือไม่ ว่าเรียนเพื่อที่จะไปตาย ?
     นายวิลเลียม บีแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมตะวันออกกลาง ประจำมหาวิทยาลับบราวน์ยูนิเวอร์ซิตี้ ในเมืองโรดไอแลนด์ สหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า นับตั้งแต่สหรัฐฯ เข้ามามีอำนาจบทบาท ในตะวันออกกลางแทนอังกฤษ สหรัฐฯ ได้ดำเนินนโยบายต่อโลกมุสลิม ที่น่าจะเรียกได้ว่า "เดินแถวสู่ความตาย" เพราะไม่เคยเห็นนโยบายเชิงสร้างสรรค์ของรัฐบาลสหรัฐฯ  ต่อกิจการตะวันออกกลาง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลย
     ส่วนนายจอห์น เอสโปซิโต้ ผู้อำนวยการศูนย์ความเข้าใจมุสลิม-คริสเตียน ประจำมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในสหรัฐฯ กล่าวว่า สาเหตุที่ชาวมุสลิมไม่พอใจมาก มาจากสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิสราเอลโจมตีชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่ออิรัก เป็นเวลาหลายปี ทำให้เด็ก และคนแก่ชาวอิรัก จำนวนมากต้องล้มตาย เพราะขาดอาหารและยา 

 คลิกดูภาพใหญ่      ไม่มีใครรู้ว่าประธานาธิบดีบุช ใคร่ครวญถึงประเด็นเหล่านี้บ้างหรือไม่ ทว่านับแต่รับทราบข่าววินาศกรรม ขณะกำลังเยือนรัฐฟลอริดา เขาก็มีท่าที และถ้อยคำแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งประกาศจะก่อสงครามแรกแห่งศตวรรษที่ ๒๑
     ด้านสื่อโทรทัศน์ สถานีข่าวของอเมริกา เสนอข่าวเหตุการณ์ถล่มตึกในวันแรก และตัดสลับภาพเหตุการณ์ที่เด็ก ๆ และชาวปาเลสไตน์ ออกมาโลดเต้นดีใจบนท้องถนน อีกหลายวันต่อมา ยังคงเสนอภาพเครื่องบินพุ่งเข้าชนตึก และความพินาศที่ตามมาอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
     ส่วนสมาชิกรัฐสภา หรือสภาคองเกรสสหรัฐฯ ลงมติอย่างท่วมท้นอนุมัติเงินฉุกเฉิน ๔ หมื่นล้านดอลลาร์ ตามข้อเสนอของบุช โดยนำเงิน ๒ หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อซ่อมแซมเมืองที่พินาศ กับอีก ๒ หมื่นดอลลาร์ ไปใช้ปราบปรามผู้ก่อการร้าย
     วิกฤตการณ์ครั้งนี้ทำให้ชาวอเมริกันทั่วประเทศ แสดงออกถึงความรักชาติ และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแนบแน่น ธงชาติสหรัฐอเมริกา ขายดีเป็นประวัติการณ์ จนหลายร้านไม่พอขาย ตกกลางคืนผู้คนพากันไปจุดเทียน สวดมนต์ระลึกถึงผู้เสียชีวิต ร่วมร้องเพลงปลุกเร้าความรักชาติ
     แต่ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานข่าวว่า ชาวมุสลิมในอเมริกา และในยุโรปถูกทำร้าย และด่าทอจำนวนมาก มีคนพ่นสีสเปรย์บนถนนว่า "ฆ่าอาหรับ", ชาวซิกข์เจ้าของปั๊มน้ำมันในรัฐแอริโซนา วัย ๔๙ ปี ซึ่งโพกผ้าบนศีรษะ และไว้เคราคล้ายชาวมุสลิมถูกฆ่าตาย, เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน นักธุรกิจชาวอียิปต์ในแอลเอ ถูกปล้นฆ่า, ที่อังกฤษ สุเหร่าหลายแห่งถูกขู่วางระเบิด ถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน ถูกวางเพลิง, ผู้หญิงมุสลิมรายหนึ่ง ถูกชายผิวขาวสองคนทำร้ายบาดเจ็บ ขณะเดินอยู่โดยลำพัง, รถรับส่งนักเรียนมุสลิมในออสเตรเลีย ถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน
 คลิกดูภาพใหญ่      ในแถลงการณ์ครั้งหนึ่ง บุชพลั้งปากกล่าวว่า "จะทำสงครามครูเสด เพื่อต่อสู้กับความชั่วร้ายครั้งใหม่" ทำให้นักวิชาการรีบออกมาติติง เพราะสงครามครูเสด เป็นสงครามโดยตรงระหว่าง ศาสนาคริสต์กับอิสลาม
     ในแถลงการณ์ครั้งต่อมา บุชกล่าวแก้ว่า "ศัตรูของอเมริกาไม่ใช่พื่น้องชาวมุสลิม หรือสหายอาหรับของเรา แต่เป็นเครือข่ายกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรง รวมทั้งรัฐบาลของทุกประเทศ ที่สนับสนุนคนเหล่านั้น"
     ขณะรัฐบาลตาลีบันยังยืนกรานไม่ส่งมอบตัว บิน ลาเดน พร้อมเรียกร้องมุสลิมทั่วโลก เข้าร่วมทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือจิฮัดกับสหรัฐฯ
     "การโจมตีอัฟกานิสถาน เป็นเพราะอเมริกาต้องการทำลายโลกมุสลิม"
     ในประเทศไทยเอง หนังสือพิมพ์บางฉบับลงข่าวว่า แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงกลาโหมแจ้งว่า หน่วยข่าวของกองทัพได้รับรายงานว่า ขณะนี้มีการเผยแพร่เว็บไซต์ ที่มีเนื้อหาปลุกระดมชาวมุสลิมทั่วโลก ให้ลุกขึ้นมาทำสงครามศาสนากับสหรัฐอเมริกา เนื้อหาเว็บไซต์ระบุว่า ให้ชาวมุสลิมทั่วทุกมุมโลก ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ และเดินทางไปร่วมทำสงครามศาสนากับกลุ่มของ โอซามา บิน ลาเดน ที่ประเทศอัฟกานิสถาน โดยให้มุสลิมทุกคน ไปรวมตัวกันที่ประเทศปากีสถาน ก่อนเคลื่อนพลเข้าสู่อัฟกานิสถาน
     ที่ประเทศปากีสถาน แม้รัฐบาลของพลเอก เปอร์เวซ มูชาราฟ มีท่าทีให้การสนับสนุนประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ประชาชนจำนวนมากให้การสนับสนุน บิน ลาเดน พากันเดินขบวนประท้วงใหญ่โตที่เมืองการาจี  มีการเผาหุ่นประธานาธิบดีบุช ตะโกนไล่ให้อเมริกันลงหลุม บางกลุ่มจุดไฟเผาร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของอิทธิพลตะวันตก ปะทะเข้ากับตำรวจท้องถิ่นที่เข้าสลายผู้ชุมนุม จนมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตถึงสี่คน
     เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย การชุมนุมประท้วงต่อต้านสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ กลุ่มผู้ประท้วงได้เผาธงชาติ และหุ่นของประธานาธิบดีบุชบริเวณด้านหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงจาการ์ตา มุสลิมหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่ง ขู่จะเอาชีวิตของนายโรเบิร์ต เกลบาร์ด เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงจาการ์ตา หากมีพลเรือนชาวอัฟกันเสียชีวิต
     ขณะที่นายอับดุลเลาะห์ อับดุล โมห์ซิน อัล-เตอร์กี เลขาธิการสภาสันติบาตโลกมุสลิม กล่าวที่กรุงซาราเยโว เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ว่า สันนิบาตโลกมุสลิมขอประณามล่วงหน้าในกรณีที่สหรัฐฯ ใช้กำลังทางทหารต่อโลกมุสลิม
     สิ่งที่น่าจับตาก็คือ หากสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับผู้ก่อการร้าย หรือจะเป็นสงครามครูเสด
 คลิกดูภาพใหญ่

๕. นับถอยหลังถล่มอัฟกานิสถาน

     ๑๒ กันยายน หลังเหตุการณ์วินาศกรรมเพียงวันเดียว ประธานาธิบดีบุชแถลงต่อสาธารณะเป็นครั้งที่ ๓ ว่า การกระทำดังกล่าวถือว่า เป็นการก่อสงครามต่อสหรัฐฯ และสหรัฐฯ จะตอบโต้โดยยึดถือว่ากำลังอยู่ในภาวะสงคราม
     แต่ขณะนั้นยังไม่มีใครรู้ว่า แล้วอเมริกาจะรบกับใคร? ที่ไหน? อย่างไร?
จนกระทั่งรูปเงาอันพร่าเลือนของศัตรู เริ่มแจ่มชัดขึ้นเป็นเค้าหน้าของโอซามา บิน ลาเดน ผู้พักพิงอยู่กับรัฐบาลตาลีบันแห่งอัฟกานิสถาน เท่ากับอเมริกามีเป้าหมายแห่งการโจมตีแล้ว
     เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน รัฐบาลปากีสถานส่งคณะผู้แทนระดับสูง นำโดยหัวหน้าหน่วยข่าวกรองไปอัฟกานิสถาน เพื่อเกลี้ยกล่อมรัฐบาลตาลีบัน ซึ่งมีนายมุลเลาะห์ โมฮัมหมัด โอมาร์ เป็นผู้นำ
     ทว่าความพยายามดังกล่าวล้มเหลว รัฐบาลตาลีบันกล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่บ่งว่า บิน ลาเดน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมครั้งนี้
     ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ก็ดำเนินการล็อบบี้ชาติทั่วโลก ไม่ว่าญี่ปุ่น เยอรมนี รัสเซีย สเปน จีน ซาอุดีอาระเบีย ปากีสถาน อินเดีย ทาจิกิสถาน ฟิลิปปินส์ รวมทั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ให้ช่วยสหรัฐฯ ทำสงคราม
     ทั่วโลกจับตามองอย่างระทึก เมื่อสหรัฐฯ ระดมส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน ไปประจำการที่อ่าวเปอร์เซีย ทะเลอาหรับ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่งหน่วยรบพิเศษ อาทิ กรีนเบเรต์, แรนเจอร์, เดลต้าฟอร์ซ, ซีล ร่วมด้วยหน่วยรบพิเศษของอังกฤษ และฝรั่งเศส เข้าสู่ฐานทัพของสหรัฐฯ ในประเทศเพื่อนบ้านอัฟกานิสถาน อย่างปากีสถาน และอุซเบกิสถาน รวมทั้งส่งเครื่องบินรบนับร้อยลำ อาทิ เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-๕๒, เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-๒, เครื่องบินขับไล่เอฟ-๑๔ ทอมแคต, เครื่องบินขับไล่/โจมตี เอฟ-๑๘ ฮอร์เน็ต และเฮลิคอปเตอร์ เอเอช-๖๔ อาปาเช่ เข้าเสริมกำลังในภูมิภาค
     สื่อมวลชนเริ่มออกมาวิเคราะห์ว่า สหรัฐฯ จะใช้ยุทธวิธีเช่นไรในการถล่มอัฟกานิสถาน เพราะสมรภูมิสุดแสนทุรกันดาร ที่เต็มไปด้วยเทือกเขา และโพรงถ้ำซับซ้อนแห่งนี้ เคยทำให้กองทัพที่เกรียงไกรอย่างอังกฤษ และรัสเซีย ต้องพ่ายแพ้แก่นักรบมูจาฮีดีน ที่ชำนาญการรบแบบกองโจร ในระดับสุดยอดมาแล้ว

 คลิกดูภาพใหญ่      ล่าสุดประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศกร้าว "ทุกชาติต้องตัดสินใจว่าจะอยู่กับเรา หรือผู้ก่อการร้าย"
     และ"มันจะเป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน"
     ขณะเดียวกัน ชาวอัฟกันหลายแสนทั้งผู้ชาย หญิง คนแก่ และเด็ก ต้องอพยพออกจากเมืองต่าง ๆ ระหกระเหินบนเกวียนไปตามเส้นทางกันดาร มุ่งหน้าสู่พรมแดนประเทศเพื่อนบ้านทั้งอิหร่าน และปากีสถาน เพราะหวาดกลัวภัยสงคราม
     องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอ ออกแถลงการณ์ว่า สถานการณ์อดอยากในอัฟกานิสถาน ที่เกิดจากความแห้งแล้งยาวนาน และสงครามกลางเมืองจะเลวร้ายลงอีก หากสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการทางทหารในประเทศนี้
     สกู๊ปพิเศษหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๔ "จ.ม. จากอัฟกานิสถาน ถึงอเมริกา...เพื่อนรัก" แปลจากรายงานข่าวของสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ ที่นำจดหมายของชาวอัฟกันอพยพผู้หนึ่งมาเปิดเผย ตอนหนึ่งกล่าวว่า
     "ถ้าอเมริกาโจมตีอัฟกานิสถาน ชาวอัฟกันที่บริสุทธิ์จะต้องทุกข์ทรมาน แล้วมันจะแตกต่างอะไรกับที่สหรัฐฯ ถูกโจมตีไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
     เด็ก ๆ นับพันคนจะต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า คนบริสุทธิ์จะต้องถูกใช้ไปจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ ชาวอัฟกันกว่า ๒ ล้านคนต้องตกเป็นเหยื่อเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมา
     ตอนนี้ น้ำตาของเด็กกำพร้าจะไหลพราก เสียงร่ำไห้ของหญิงม่ายจะไม่ยุติ
     อเมริกาไม่ควรทำให้มีเด็กกำพร้า และหญิงม่ายมากขึ้นอีก
     ชาวอัฟกันผู้บริสุทธิ์ทำอะไรผิดตรงไหน จึงต้องมารับเคราะห์กรรมเช่นนี้"
     ชาวอัฟกันผู้บริสุทธิ์ไม่ผิด ชาวอเมริกันและนานาชาติที่เสียชีวิตในเหตุการณ์วินาศกรรมก็ไม่ผิด
     ถ้าเช่นนั้นใครหรืออะไรที่ผิดพลาด