นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๒๓ เดือนกันยายน ๒๕๔๖ นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๒๓ เดือนกันยายน ๒๕๔๖ "คลุกวงใน นักเลงพลอยไทย แทนซาเนีย"
  นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๒๓ เดือนกันยายน ๒๕๔๖ ISSN 0857-1538  

คลุกวงใน นักเลงพลอยไทย แทนซาเนีย

  เรื่อง : วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์ ภาพ : บุญกิจ สุทธิญาณานนท์
 


ออสมอน : 

(คลิกดูภาพใหญ่)       เล่าขานกันว่า จากเมืองดาร์-เอส-ซาลาม, มาทอมโบ, มาเฮงเก้ ลงไปถึงทุนดูรู ซองเกีย ในแทนซาเนีย สมัยเมื่อแปดเก้าก่อนไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อ "ออสมอน" ชาวเหมือง, คนรับซื้อพลอยชาวไทย...ใจกว้าง มิตรสหายมาก ไม่เคยปฏิเสธจะช่วยเหลือคนเมื่อถูกร้องขอ 
      ออสมอนเป็นใคร เอาเงินมาจากไหน จึงเดินทางได้ไม่หยุดหย่อน เทียวไปเทียวมาซื้อก้อนหินสีไม่หยุดหย่อน
      คนพูดถึงชื่อของเขาต่อ ๆ กัน เหมือนมันติดในรอยจำของผู้คนไปไม่รู้ตัว แต่ออสมอนคือใครกันแน่ ? เอาเข้าจริงแทบไม่มีใครเคยเจอตัวจริงออสมอน หรือรู้จักหน้าค่าตาของเขา

      มาลาป้า : 
      "มาลาป้า" เป็นคำภาษาสวาฮิลี แปลว่า รองเท้าแตะ
      ไม่น่าเชื่อว่ารองเท้าแตะจะมาเป็นฉายานักค้าพลอยผู้น่าเกรงขามของวงการได้
      เขารับซื้อพลอยดิบทุกสี ทุกขนาด ทุกลอต ไม่ว่าจากมาดากัสการ์ แทนซาเนีย เคนยา พลอยเนื้ออ่อน เนื้อแข็ง เพื่อรวบรวมให้บริษัทแม่ในประเทศไทย 
      โดยจะสวมรองเท้าแตะไปทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งคราวนั่งเครื่องบินเล็กไปเกิดอุบัติเหตุตกทางใต้ของมาดากัสการ์ เงินสดและพลอยหายเกลี้ยง แต่มาลาป้าก็รอดมาได้ (บางคนว่าเครื่องเคยตกถึงสองครั้ง) และยังคงวิ่งรอก...วันนี้อิละกากะ (มาดากัสการ์) พรุ่งนี้อรุชา (แทนซาเนีย) เหมือนเคย
      เมื่อมาลาป้าให้ราคาดี ใคร ๆ ก็อยากขายให้ 
      มาลาป้า-หนุ่มใหญ่ชาวสวิส "เวอร์เนอร์ สปัลเทนสไตน์" 
 

เป๊กโก้ :

 (คลิกดูภาพใหญ่)       คนไทยที่ไปคลุกคลี "พลอยอัฟ" ไม่ได้มีเฉพาะที่ไปรับซื้อจากคนพื้นเมือง ลงทุนทำเหมืองเองก็หลายราย
      เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๐ "เป๊กโก้" เป็นคนไทยคนแรก ๆ ที่ตามฝันไปถึงแอฟริกาด้วยการไปทำเหมืองที่ตำบลมาเฮงเก้ พร้อมกับลูกน้องมือขวาชื่อ "ออสมอน" แรก ๆ เหมืองติดดี แต่แล้วก็ไปไม่รอด ต้องขายเหมืองทิ้ง ลูกน้องแยกย้ายกันออกมาทำเหมืองของตัวเอง
      ถึงอย่างนั้น ทุกวันนี้เป๊กโก้ก็ยังรอเวลาจะกลับไปเปิดเหมืองในแทนซาเนียอีกครั้ง 
      จริงอยู่โอกาสการทำเหมืองแบบอื่นในประเทศนี้อาจเสี่ยงน้อยกว่า มีโอกาสรุ่งทางธุรกิจมากกว่า แต่สำหรับคนไทย หากคิดจะทำเหมืองแล้วต้องเป็นเหมืองพลอยเท่านั้น "เพราะมันน่าตื่นเต้นกว่า" นักเลงพลอยชาวไทยพูดเสมอ ๆ 
      ......................................................
      ......................................................
      เหล่านี้คือผู้บุกเบิกทำพลอยในแดนซาฟารีเมื่อเกือบ ๒๐ ปีมาแล้ว 
      พวกเขาเป็นตำนานที่ยังมีชีวิต ไม่ว่าจะอยู่หนใดผู้คนก็ยังกล่าวขวัญถึง หากไปคุยกับคนค้าพลอยดิบ (ซึ่งมักคุยในวงเหล้า) สอบถามข้อมูลและชีวิตของของพวกเขายามนี้ ก็มักมีนาม "ผู้บุกเบิก" หลุดออกมา ด้วยน้ำเสียงศรัทธายกย่องในที
      แต่ก็นั่นละ...วงการพลอยเป็นวงการที่เกี่ยวพันกับเงินมหาศาล การปกปิดแหล่งวัตถุดิบ ราคา หรือเทคนิคการเผาพลอยบ่อต่าง ๆ ตลอดจนถึงความรุ่งเรืองหรือตกอับของชีวิตที่เกิดขึ้นชั่วพริบตา 
      ถามไปถามมา เราอาจไม่รู้จักพวกเขาเหล่านี้เพิ่มขึ้นเลยก็ได้...
      สำหรับพลอยสายแอฟริกา ที่เรียกประสาคนวงในว่า "พลอยอัฟ" คนไทยเข้าไปบุกเบิกในดินแดนแทนซาเนียช่วงเวลาใกล้เคียงกับในมาดากัสการ์ หรืออาจก่อนหน้าเสียด้วยซ้ำ ปริมาณพลอยก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน หากตลาดพลอยแทนซาเนียไม่บูม เพราะคุณภาพสีสันไม่เป็นที่ยอมรับของตลาด พลอยหลายตัวเผาไม่ออก
      แล้ววันดีคืนดี เกิดมีคนไทยเผาพลอยจากเมืองซองเกีย แทนซาเนีย ได้โดยบังเอิญ ตลาดของมันจึงร้อนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน... 
      ภาวะการบูมจนถึงชะงักงันของพลอยซองเกียในช่วงสามปีที่ผ่านมา เกิดจากสาเหตุที่ซับซ้อนที่สุดอันหนึ่งเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมาทีเดียว !? 
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       เราออกเดินทางไปเมืองซองเกีย (Songea) พร้อมกับ ประสิทธิ์ สอดศรี และคนไทยอีกสองคนจากบริษัท Raqib Gem Stone ใช้เวลาเกือบ ๑๓ ชั่วโมง ตามเส้นทางสูง ๆ ต่ำ ๆ บนภูเขา นับแต่ออกจากเมืองหลวง ดาร์-เอส-ซาลาม ไปจนใต้สุดของประเทศแทนซาเนีย เฉียดพันกิโลเมตร !
      ผ่านพบวิถีดำรงชีพของเกษตรกรหลายแบบ เช่น ไร่นาแบบขั้นบันได ไร่ข้าวโพด กาแฟ องุ่น มะม่วงหิมพานต์ ป่านซิซาล รวมถึงฝูงปศุสัตว์เคลื่อนที่ของชนมาไซ เกิดข้อสงสัยในใจมากมายตามประสาผู้มาใหม่ แต่ไม่เท่าสงสัยต่อจุดหมายซึ่งทำให้เราต้องหลังขดหลังแข็ง ว่าคนมาสำรวจแรก ๆ "รู้ได้อย่างไรว่ามีพลอย" 
      พวกเขาบอกว่า พื้นที่รอบ ๆ นี้เคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน คนสำรวจจะมีประสบการณ์ ภูมิความรู้สังเกตว่าลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะดินตะกอนของหุบเขาที่มีร่องน้ำผ่านแบบนี้น่าจะมีพลอย ปริมาณจะมากหรือน้อยก็ค่อยว่ากัน อาจใช้วิธีถามคนพื้นถิ่นดู ถ้ามากจริงก็ต้องมีคนเก็บมาขายในตลาดบ้าง ของพวกนี้ถ้า "ดก" แล้ว ไม่ต้องถึงขนาดขุดหาจริงจังหรอก ตามริมลำธาร ไร่นาหลังจากน้ำฝนชะหน้าดินออกแล้วมันก็โผล่ให้เห็น ทำนองเดียวกับซากฟอสซิลสัตว์โบราณ ส่วนมากเจอโดยบังเอิญก่อนแล้วค่อยขุดหาต่อไป ประสิทธิ์ยกตัวอย่างร่องแม่น้ำเก่าที่เมืองทุนดูรู ว่าเป็นแหล่งที่เคยมีคนขุดพลอยเยอะที่สุดในแทนซาเนีย
      ก่อนเข้าตัวเมืองซองเกีย รถของเราไต่ขึ้นเนินเขาช้า ๆ กระทั่งอาคารบ้านเรือนของหุบเขาค่อย ๆ เผยขึ้นตรงหน้า บริเวณรอบ ๆ มีภูเขาประปราย เป็นต้นสายลำธารไหลผ่านเมือง--อันเป็นภูมิประเทศที่คนจันทบุรีบอกว่า "น่าจะมีพลอย" พรรคพวกสามคนที่มากับ "พี่ประสิทธิ์" ต่างก็แสดงความโล่งใจที่ผ่านทางโค้ง และภูเขาสูงจากเมืองอิริงกา เมืองจ็อมเบ มารอดปลอดภัย พวกเขาอาจคิดก็ได้ว่า ซองเกียวันนี้จะมีพลอยที่น่าสนใจให้แบกกลับ เหมือนแล้ว ๆ มา...
      เมืองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของจังหวัดรูวูมา ซึ่งมีเขตติดต่อกับประเทศโมซัมบิกทางใต้ และทะเลสาบไนยาซา (หรือทะเลสาบมาลาวี) ทางตะวันออก หากเราเคยได้ยินชื่อเสียงของรอยแยกขนาดใหญ่บนผิวโลก "หุบเขาทรุดเกรตริฟต์" (Great Rift Valley) ซึ่งทอดผ่านภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก ตามแนวเหนือ-ใต้ ก็น่าจะได้รู้จักทะเลสาบไนยาซาในฐานะปลายด้านล่างของหุบเขาทรุด ภูเขารอบ ๆ ซองเกียก็เป็นผลจากปรากฏการณ์ดังกล่าว
(คลิกดูภาพใหญ่)       เมืองไม่ใหญ่ แต่ห่างไกลคำว่าเงียบเหงานัก ด้วยสินค้าและผู้คนจากข้างบนจะต้องเดินทางผ่านซองเกียไปยังเมืองทุนดูรู และผ่านพรมแดนสู่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางน้ำ (ทะเลสาบ) คึกคักหรือไม่ ลองดูว่าสถานีขนส่งของเมืองมีรถทัวร์ไป "ดาร์" วันละไม่ต่ำกว่าสี่เที่ยว โรงแรมสี่ห้าแห่ง สนามกีฬากลาง และพิพิธภัณฑ์การเมืองที่น่าสนใจ 
      สำหรับแอฟริกาตะวันออก "สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย" (United Republic of Tanzania) มีเศรษฐกิจดีเป็นอันดับสองรองจากประเทศเคนยา ทว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจน (จากมุมมองตะวันตก) เป็นลักษณะของสังคมชนเผ่า พึ่งพารายได้เกือบทั้งหมดจากภาคเกษตรกรรม รายได้ประชากรต่อหัว ๗๓๐ ดอลลาร์สหรัฐ (พ.ศ. ๒๕๔๑) 
      จากการพูดคุยกับคนไทยที่มาอยู่นานจนได้สัญชาติแทนซาเนีย เขาไม่คิดว่าคนประเทศนี้บีบคั้น หรืออดอยากแร้นแค้นด้านความเป็นอยู่เกินไป ด้วยขนาดดินแดนที่ใหญ่กว่าประเทศไทยเกือบสองเท่า แต่มีผู้อยู่อาศัยเพียง ๓๒ ล้านคน เห็นได้ว่าคนอยู่กันเบาบางกว่าไทยหรือประเทศแถบเอเชียมาก
      บางคนที่เป็นนักลงทุน นักพัฒนาผู้กลัวการไล่ล่าจากอนาคต มาเห็นแทนซาเนียแล้วพอใจกับทรัพยากรธรรมชาติอันมั่งคั่ง อุดม ไม่ว่าจะด้านประมงน้ำจืด-น้ำเค็ม พืชพรรณสัตว์ป่า หรือแร่ธาตุ ซึ่งในรอบ ๑๐ ปีมานี้สำรวจพบแหล่งเพชร ทองคำ และพลอยแหล่งใหม่ ๆ เสมอ 
      ธุรกิจค้าพลอยก้อน, พลอยดิบ (พลอยจากธรรมชาติ ยังไม่ผ่านกระบวนการพัฒนาคุณภาพ) เป็นธุรกิจที่คนไทยใกล้ชิดที่สุด ใครถนัดทางพลอยเนื้ออ่อนก็ขึ้นไปหาศูนย์กลางของมันที่เมืองอรุชา หากถนัดพลอยเนื้อแข็งตระกูลคอรันดัมจะมีอยู่ในพื้นที่ตอนใต้สองจังหวัด คือ เมืองมาเฮงเก้ เมืองมาทอมโบ ของจังหวัดโมโรโกโร และเมืองทุนดูรู เมืองซองเกีย ของจังหวัดรูวูมา
(คลิกดูภาพใหญ่)       บริษัทราคิบเช่าบ้านย่านชานเมืองซองเกียไว้รับซื้อพลอย คนจะรู้จักมันมากกว่าถ้าบอกว่า "บ้านออสมอน" ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท แต่ตอนนี้ออสมอน--สมยศ สอดศรี ไม่อยู่ มีน้องชายและหลาน ๆ ดูแล วงจรชีวิตของบ้านจะแบ่งเป็นสองช่วง คือ "วุ่นวาย" ติดกันสามเดือนรวดเมื่อมีคนอยู่ เวลานอกจากนี้ หมายถึงเจ้าของบ้านจะนำพลอยกลับไปขายเมืองไทย ขายได้เงินแล้วก็กลับมาวุ่นวายใหม่ เหมือนขณะนี้...
      เด็กสามสี่คนกุลีกุจอช่วยยกกระเป๋า นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ของที่เอามาก็เป็นเสบียงอาหาร เครื่องครัวบางอย่าง และกระเป๋าใส่เงินใบโตที่ลูกทีมเอาใจใส่มากกว่าเพื่อน ตั้งแต่กรุงเทพฯ สนามบินดาร์-เอส-ซาลาม และระหว่างทางลงใต้
      แม้เป็นเวลาเย็น...อากาศสบายชวนพักผ่อน แต่ก็มีงานมารออยู่
      ลูกน้องเอาพลอยเล็กสีน้ำตาล-ส้มที่ "พี่ทอน" สั่งให้ซื้อช่วงแกไม่อยู่มาให้ดู เขาเลือก ๆ แล้วชี้ให้เด็กพื้นเมืองดู "แบบนี้ใช้ได้...แบบนี้ไม่ต้องเอามาอีก" พูดเป็นภาษาไทยปนอังกฤษ 
      "ซองเกียเวลานี้มีแต่พลอยเล็ก ขนาดไม่ถึงกะรัต" พี่ทอนบอก พลอยหมู่พวกนี้จะชั่งขายเป็นกิโลกรัม มีตั้งแต่ ๑,๕๐๐, ๒,๐๐๐ บาท ขึ้นไปจนถึง ๒๕,๐๐๐ บาท การเลือกไม่ต้องดูละเอียดเหมือนพลอยเม็ดใหญ่ ดูสีตามที่ต้องการกับราคาแล้วใส่ขันสำหรับร่อนพลอย ซึ่งเจาะรูตรงก้นเป็นขนาดต่าง ๆ ร่อนดูขนาดคร่าว ๆ เรียกว่า ดูเปอร์เซ็นต์พลอย เพื่อจะหักออกจากน้ำหนักรวมทั้งหมด พลอยพวกนี้บางเจ้าก็มีปน ซื้อแล้วต้องนั่งคัดเอาของไม่ดีออก เพื่อจะได้ขายของเกรดดีให้ลูกค้าในประเทศไทย
      "บางทีเราก็ขนกลับไป ๔๐๐-๕๐๐ กิโล" เขาพูด

      ข่าวคราวเท่าที่รู้ เมืองซองเกียวันนี้มีคนไทยราว ๑๐ คน ที่กลับไปและกำลังมาอีกจำนวนหนึ่ง บางคนเช่าบ้านอยู่เป็นกลุ่ม บางคนพักโรงแรม ต่างก็รับซื้อพลอยอย่างอิสระ ไม่ต้องรวมกันที่ตลาดกลางเหมือนมาดากัสการ์ยุคหนึ่ง อย่างไรก็ดี คนกลุ่มเล็ก ๆ นี้คุ้นเคยกัน ช่วยเหลือกันตามสมควร เพราะบางส่วนรู้จักกันแต่สมัยพลอยทุนดูรูบูมเมื่อหลายปีก่อน เมืองทุนดูรูนั้นอยู่ทางใต้จากซองเกียไม่มากนัก
(คลิกดูภาพใหญ่)       ทางธุรกิจ พ่อค้าพลอยจะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม รับซื้อทั้งในนามบริษัทและส่วนตัว ตามเงื่อนไขที่ต่างกัน คนที่ซื้อในนามบริษัท จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ จากยอดซื้อรวมในแต่ละเที่ยว อาจอยู่ที่ ๗-๑๐ เปอร์เซ็นต์ ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เบิกได้ ประเภทนี้จะมีน้อย ผิดกับพวกซื้อส่วนตัวหรือหุ้นส่วน ซึ่งจะใช้เงินทุนที่รวบรวมมา ซื้อพลอยแล้วนำกลับไปขายให้ผู้รับซื้อในประเทศไทย ตามย่านมเหสักข์ บางรัก สีลม และถนนศรีจันทร์ จังหวัดจันทบุรี อาจส่งให้ตามออเดอร์หรือขายให้เจ้าประจำก็ได้ ไม่ผูกขาด
      โดยทั้งสองกรณีผู้เข้ามาซื้อพลอยต้องขอวีซ่าธุรกิจ ซึ่งเสียค่าธรรมเนียม ๒๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หากเป็นวีซ่าท่องเที่ยว ค่าธรรมเนียม ๒๐ ดอลลาร์ ตามหลักแล้วไม่สามารถประกอบธุรกิจ (เช่นซื้อพลอย) ได้ และเมื่อจะนำพลอยที่ซื้อกลับไป จะต้องแจ้งนำพลอยออกนอกประเทศในนามบริษัทที่จดทะเบียนในแทนซาเนีย และเสียค่าผนึกและภาษีตามกำหนด
      เงินสดจำเป็นยิ่งสำหรับธุรกิจ เมื่อมาถึงแทนซาเนีย พวกเขาได้แลกเงินจากสกุลสหรัฐเป็นชิลลิงแทนซาเนีย ธนาคาร ห้างร้านซึ่งทำธุรกรรมประเภทนี้หาได้ใจกลางกรุงดาร์-เอส-ซาลาม อัตราแลกเปลี่ยนแต่ละร้านต่างกันไม่มาก เช่น ๑ ดอลลาร์ แลกได้ระหว่าง ๑,๐๓๕-๑,๐๔๕ ชิลลิง ตัวเลขเศษ ๆ ทำนองนี้ใช่ว่าจะไร้ความหมายเสียทีเดียว โดยเฉพาะคนที่ต้องแลกเป็น ๕๐-๖๐ ล้านชิลลิง คนซื้อพลอยจะยึดหลักว่า เมื่อแลกเงินแล้ว แต่ละเที่ยวพวกเขาต้องซื้อให้หมดเงินชิลลิง หรือจะให้เพื่อนยืมเงินซื้อพลอยก็ได้ เพราะถือว่ามีพลอยกลับไปยังมีโอกาส ดีกว่าถือเงินสดที่ต้องเสียส่วนต่างการแลกคืนสองต่อ
(คลิกดูภาพใหญ่)       วิธีจัดการเงินที่น่าทึ่งของคนไทยแบบ "ใช้ชิลลิงให้หมด" กอปรกับไม่ขี้เหนียวเรื่องกินอยู่ มีอัธยาศัย และน่าสังเกตว่าคนไทยพยายามพูดภาษาสวาฮิลี จนหลายคนสามารถพูดได้คล่อง (ถ้าพูดได้ก็เขียนได้ เพราะใช้ตัวอังกฤษสะกด เหมือนในคาราโอเกะ) เด็ก ๆ วัยรุ่นพื้นเมืองจึงอยากจะมาทำงานด้วย 
      เด็กในบ้านออสมอนมีหลายประเภท นอกจากแม่บ้านหนึ่งคน ลูกจ้างคัดพลอยและช่วยงานทั่วไปสามคน ยังมีอีกกลุ่มเป็นพวกโบรกเกอร์หรือนายหน้าเดินพลอยที่มาคลุกคลีจนสนิทสนมคุ้นเคยกัน พี่ ๆ เจ้าของบ้านบอกว่า "เด็กพวกนี้ถึงไล่ออก ไม่จ่ายเงินเดือนก็ไม่ยอมไป เพราะไม่รู้จะไปไหน อยู่ที่บ้านยังมีข้าวกิน" 
      ในกลุ่มของพวกเขามี "เปาโล" เป็นพี่ใหญ่ที่ทุกคนเคารพยำเกรง เปาโลเป็นคนเก่าคนแก่ที่ยังทำงานอย่างแข็งขัน รับหน้าที่ขับรถและติดตามนายของราคิบมาแต่ยุคทำเหมืองที่มาเฮงเก้เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว เขาเข้าใจภาษาไทยบางส่วน พูดภาษาอังกฤษได้ดีพอ ๆ กับที่เจ้านายใช้ภาษาสวาฮิลีของเขาเลยละ เมื่อออสมอนออกซาฟารีสำรวจพลอยประเทศรอบ ๆ แถบนี้ เปาโลจึงอยู่ช่วยน้องชายออสมอน ทำงานในแทนซาเนีย
      บ้านออสมอนเป็นบ้านปูนชั้นเดียว จัดว่าน่าสบาย แน่นหนา เป็นบ้านคนไทยที่มีลูกค้าเทียวไปเทียวมาคึกคัก และน่าสังเกตว่า บ้านที่อยู่รั้วติดกับบ้านหลังนี้ เป็นบ้าน "ซองกาเบเล่" ซึ่งอดีตเคยมีบทบาทต่อสู้เรียกร้องเอกราช ร่วมกับประธานาธิบดีคนแรก และก่อตั้งประเทศนี้ขึ้นใหม่ ภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ ใน พ.ศ. ๒๕๐๔ ซองกาเบเล่เป็นคนที่ชาวเมืองเคารพนับถือ ออสมอน พี่ประสิทธิ์และคนไทยที่มาซื้อพลอยยุคแรกรู้จักกับเขานานนับสิบปี ทุกวันนี้ก็ยังให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ พ่อค้าพลอยกลับไปเมืองซองเกียมักจะหาโอกาสไปเยี่ยมลุงซองกาเบเล่เสมอ
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       คงยาก...ที่จะบอกว่าพลอยทำให้เม็ดเงินไหลเวียน อู้ฟู่ขึ้นในซองเกียเหมือนบางเมืองในมาดากัสการ์ที่เราเคยเห็น ซองเกียเป็นบ้านเป็นเมืองมานาน จึงมีบุคลิกของตัวเองชัดเจน คนทำธุรกิจเกี่ยวกับพลอยไม่มาก ซึ่งรวมถึงพ่อค้าพลอยต่างชาติที่เป็นคู่แข่งกับคนไทยด้วย
      เวลาเดินในเมือง เราจะไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวนี้ เว้นแต่ย่าน "มาชาเล่" ใกล้สถานีขนส่ง ทุก ๆ วันจะมีคนขุดพลอยรายย่อยนำของเข้ามาขาย บริเวณนี้จึงมีชายฉกรรจ์ที่เป็นนายหน้าเดินเกร่คอยจับของ พวกนายหน้าไม่จำเป็นต้องถือพลอยเข้าไปเสนอลูกค้า แค่เห็นของแล้ววิ่งไปเคาะประตูก๊อก ๆ บอกคนไทยว่ามีพลอยแบบนั้นแบบนี้...เขาก็ได้เงินใช้ และถ้าลูกค้าตกลงซื้อภายหลังก็จะได้เปอร์เซ็นต์อีก ผู้ซื้อพลอยไทยบางรายก็ใช้บริการเครือข่ายนี้ช่วยหาของ
      ส่วนนายหน้าหรือพ่อค้าคนกลางอีกพวกจะบุกเข้าไปบ่อพลอยในป่า นำพลอยปริมาณมหาศาลออกมาขายเอง

      วันต่อมา บรรยากาศซื้อขายเริ่มต้นที่บ้านก่อนกินข้าวเช้าเสร็จเสียอีก
      พ่อค้าท้องถิ่นน่าจะอั้นไม่ได้ขายของมาระยะหนึ่ง เลยหิ้วพลอยมาเป็นถุง เหมือนถุงปุ๋ยไม่มีผิด และเจ้าหนึ่ง มีพลอยเบอร์ ๑๒-๑๖ มาขายรวดเดียว ๘๐ กิโลกรัม เขาใส่มันเต็มถังสีฟ้าเดินแบกเข้ามา พอขายได้ก็เทลงกองเต็มหน้าบ้าน เป็นภาพการซื้อขายอัญมณีที่ไม่คุ้นตาอย่างยิ่ง
      พลอยที่นำมาส่วนมากเป็นเขียว และน้ำตาลแดง ตัวเด่นของซองเกีย คงต้องบอกก่อนว่า พลอยเนื้อแข็ง (precious stones) เหล่านี้เป็นผลึกแร่คอรันดัม อาจเรียกว่าพลอยดิบ หรือพลอยที่ยังไม่เผา มีสีหม่น เปรอะเปื้อนตามสภาพของผลึกแร่ก้อนหนึ่ง เพียงแต่ผลึกคอรันดัมนี้แข็งเป็นพิเศษ นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าแข็งเป็นรองแต่เพชรเท่านั้น เพราะมันได้ผ่านแรงดันและความร้อนใต้พื้นโลกมานานหลายร้อยล้านปี
      ผู้รู้บอกว่า เมื่อก่อนสมัยที่ตลาดอัญมณียังไม่กว้าง จะคัดเฉพาะพลอยดิบที่สะอาด สุกใส มาเจียระไนทำเครื่องประดับ แต่พลอยที่สวยจากธรรมชาติมีน้อยมาก คาดว่าไม่เกิน ๕ เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด เมื่อความต้องการของตลาดมีมากขึ้นจนพลอยสุกจากธรรมชาติไม่พอเพียง คนไทยจึงคิดค้นวิธีเลียนธรรมชาติ นำพลอยมาเผาผ่านความร้อน จนประสบผลสำเร็จ...ก่อนใครในโลก การเผาซึ่งใช้เตาแบบพิเศษจะให้ความร้อนประมาณ ๑,๗๐๐-๒,๐๐๐ องศา หลายครั้ง ครั้งละนับร้อยชั่วโมง
(คลิกดูภาพใหญ่)       วิธีการเผาพลอยอันสลับซับซ้อนมีผู้นำปรับปรุงพัฒนาเทคนิคการเผาได้มาก นอกจากนี้ พลอยแต่ละบ่อแต่ละสียังใช้เทคนิคการเผาแตกต่างกันออกไป และพลอยแต่ละก้อนเผาออกมาใช่ว่าจะสวยเหมือนกันหมด ผู้เชี่ยวชาญจึงต้องอาศัยภูมิรู้ ประสบการณ์ ที่สั่งสมมาสังเกตมลทินธาตุ (trace element) หรือบางคนเรียก "เชื้อ" ที่อยู่ในเนื้อพลอย ถ้าพลอยมีเชื้อเผาแล้วจะให้สีสันสดใสแพร่ไปในเนื้อพลอยตลอดเม็ด โดยในการเผาไม่ต้องใส่สารเคมีหรือธาตุที่ทำให้เกิดสีลงไป
      โดยพื้นฐาน คนซื้อพลอยซึ่งเป็นทัพหน้าของภาคการผลิตอัญมณี จึงต้องรู้จักคำนวณขนาดกะรัตของพลอยเมื่อทำสำเร็จ ต้องดูเชื้อพลอยเป็น โดยใช้ไฟฉายแบบพิเศษส่องดูข้างในเนื้อพลอย สีที่ไฟส่องสะท้อนขึ้นมา นั่นคือสีในอนาคตของพลอยเม็ดนั้น พลอยดิบสีเขียว-ส่องสะท้อนส้ม เผาเป็นบุษราคัม (เหลือง), น้ำตาลคล้ำหรืออมม่วง-สะท้อนแดง เผาเป็นพลอยแดงสวยงาม หรือน้ำตาลอ่อน-สะท้อนเหลือง เผาเป็นพลอยส้ม, เหลือง
      แบบที่พูดกันว่า "คนซื้อต้องรู้จักสีในอนาคตของพลอยแต่ละเม็ด" นอกจากรูปทรง ผิวพรรณของพลอยนั่นเอง
      ยิ่งเม็ดใหญ่หนักหลายกะรัตที่คนซื้อกะกำไรท่วม หรือที่เรียก "น็อก" ยิ่งต้องส่องทุกมุมทุกด้านหลายตลบ ไม่อย่างนั้นเราอาจ "คอหัก" เอง
      การดูพลอยเก่งที่บ้านกับลงสนามจริงนั้นต่างกันลิบ ว่ากันว่าพ่อค้าพลอยที่พลาดไม่ใช่เพราะดูไม่เก่ง แต่เป็นเพราะอารมณ์ไม่นิ่ง สมาธิไม่ดี ใจไม่ดี เพราะมีเงินมาก ๆ มาเกี่ยว บางครั้งก็โดนสงครามจิตวิทยาเล่นงาน อย่างเช่นถูกแขกศรีลังกามองแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดเยอะเย้ยถากถาง "ไม่กล้าต่อ...ไม่มีเงินใช่ไหม" จากในใจที่คิดคำนวณไว้แล้วว่าทำสำเร็จออกมาจะได้เท่านั้นเท่านี้กะรัต ก็ผิดพลาดไป
      การดูพลอยอาจสำคัญ แต่สำหรับ "กุ้ง" และพี่ทอน ทั้งสองพูดอีกมุมว่า "ดูเก่งแค่ไหน ไม่สำคัญเท่ารู้จักตลาด" หมายถึงตลาดชอบสีอะไร ล็อตไหน ทรงแบบไหน ซึ่งความต้องการของตลาดจะเปลี่ยนไปเสมอคล้ายแฟชั่นเสื้อผ้า "บางทีเราซื้อไปคุณภาพดีจริง แต่เผชิญช่วงนั้นตลาดไม่นิยม ราคาตก ของที่ซื้อก็ต้องขายขาดทุน"
(คลิกดูภาพใหญ่)       แล้วออสมอนก็ยืนยันความเห็นดังกล่าว เมื่อเขาโทรจากกรุงเทพฯ มากำชับว่า "ให้ซื้อเน้น ๆ ...ระวังพลาด" เขาบอกว่า คนแทนซาเนียที่เพิ่งเอาพลอยไปขายเมืองไทย เจ๊งไปหลายล้านบาท-ร้องไห้โฮกลับบ้าน ของราคาตกสืบเนื่องจากสงครามถล่มอิรัก บวกโรคซาร์ส (ขณะนั้น) และอาจเป็นผลต่อเนื่องมาจากการโจมตีต่อต้าน "พลอยส้ม" ก็ได้ ประสิทธิ์เองก็ใช้ "มือถือ" ติดต่องาน ตรวจเช็กตลาดเสมอ
      ประสิทธิ์บอกว่า ช่วงนี้ของแพงจนซื้อไปไม่มีกำไร มีแต่พลอยเล็ก ความจริงพลอยเม็ดใหญ่ก็ซื้อได้บ้าง เขาเองก็เพิ่งซื้อพลอยป็อป-พัดพาราชา เม็ดหนึ่งประมาณ ๑๘ กะรัตราคา ๓ ล้านชิลลิง (ราว ๑.๓ แสนบาท) ปัญหาคือพ่อค้าที่นี่ไม่เชื่อราคาของเรา จึงเอาไปขายเองที่เมืองไทย
      ประสิทธิ์เป็นคนบอกว่า ไม่มีใครรู้ว่าราคาพลอยที่แท้จริงอยู่ตรงไหน
      "ราคาพลอยขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ซื้อ ส่วนมากผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์" มันจึงต่างจากเพชรและทอง...ที่ราคาค่อนข้างแน่นอน ตายตัว ทองกำไรน้อยจึงต้องอาศัยปริมาณ แต่การค้าหรือทำเหมืองทอง เหมืองเพชร ต้องลงทุนสูง ไม่เหมาะกับคนไทย นี่ไง...พ่อค้าพลอยถึงบอกว่า "ทำพลอยตื่นเต้นกว่า"
      หมู่พ่อค้าจึงรู้กันว่า เวลามีพลอยบ่อใหม่ออกมา คนไปถึงก่อนจะมีโอกาสมาก เพราะราคายังต่ำ มีพลอยเม็ดใหญ่ ๆ งาม ๆ ส่วนหนึ่งเพราะคนขายไม่รู้ราคา คนซื้อก็อยากได้ราคาถูกสุดเหมือนกันทุกที่ในโลก ทว่าพลอยบ่อใหม่คนซื้อก็เสี่ยง และเห็นชัด ๆ ว่ามันขัดกับทฤษฎี "รู้จักตลาด" ข้างต้น พลอยใหม่จะเผาออกไหม ? เผาแล้วตลาดจะรับหรือไม่ ? เป็นสิ่งที่ต้องลุ้น ซึ่งนักเลงพลอยทุนดูรู ซองเกีย ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาแล้วโชกโชน
      "ช่วงปี ๒๕๓๘-๒๕๓๙ เป็นช่วงพลอยน้ำเงินทุนดูรูบูมสุด" ประสิทธิ์เล่าย้อนอดีต "บ่อทุนดูรูมีเพชรมีพลอยทุกชนิด น้ำเงิน บุษราคัม อะเล็กซานไดรต์ ตาแมว สปีเนล กรีนการ์เน็ต ช่วงนั้นคนไทยมาเป็นร้อยคน เงินสะพัดในเมืองวันละ ๕๐-๖๐ ล้านบาท บางกลุ่มก็เหมาเครื่องบินเล็กมาจากดาร์ เที่ยวละ ๕-๖ หมื่นบาท เดือนละหลาย ๆ เที่ยว โบรกเกอร์ออกรถใหม่กันทุกวัน พวกนี้จะรู้เลยว่าถ้าเราชวนไป 'กินข้าว' ภาษาสวาฮิลีว่า 'จากูร่า' หมายถึงได้เงิน ๑ ล้านชิลลิงฟรี ๆ (ประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาทในสมัยนั้น)
(คลิกดูภาพใหญ่)       "ก่อนหน้านั้นผมก็ตามพลอยทุนดูรูไป ครั้งนึงผมได้พลอยตาแมวจากเด็กช้อนปลา ขนาดตั้ง ๒๐-๓๐ กะรัต ซื้อ ๕๐๐ บาท ขายได้ ๔ แสนบาท ผมก็รู้ว่าพลอยมีราคาแต่ไม่รู้ว่าเท่าไร ปรากฏว่าคนที่ผมขายให้ก็น็อกผมไปท่วม" ประสิทธิ์เล่า ครั้งต่อมาเขาขายพลอยยกล็อตให้พ่อค้าศรีลังกาที่เมืองไทย ได้กำไรกว่า ๑๐ ล้านบาท ทำให้ได้ข้อสรุป 
"พลอยพวกนี้เราไม่รู้หรอกว่าราคาที่แท้จริงมันอยู่ตรงไหน คนขายไม่รู้ เราคนซื้อก็ไม่รู้ คนที่ซื้อต่อจากผมไปก็ไปคลำหาราคา พอขายไปแล้วอีกสองเดือน...แขกแม่งเต็มเมือง ตาแมวแขกเก่งกว่าเรา เราคัดแต่ตัวดีอย่างเดียว เขาซื้อได้ทุกตัว ซื้อเมืองไทยวิ่งไปขายศรีลังกากำไรไม่รู้เท่าไร พอแขกมาค้าขายไม่ค่อยได้ ค่อย ๆ ดูดทีละ ๓ แสน ๕ แสน...เจ๊ง เพราะสู้แขกไม่ไหว"
      พลอยทุนดูรูเริ่มน้อย ก็พอดีเกิดบ่ออิละกากะที่เกาะมาดากัสการ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ทำทางแทนซาเนียเป็นหลักจริง ๆ จะย้ายไป พวกเขายังปักหลักหาพลอยทั้งเนื้ออ่อนเนื้อแข็งอยู่ทุนดูรูและซองเกีย
      สำหรับพลอยซองเกีย ถูกค้นพบมานานไม่แพ้ทุนดูรู เมื่อสามปีที่แล้วก็เคยโด่งดังเรื่องกรีนการ์เนต แต่พลอยเนื้อแข็งไม่ว่าเป็นพลอยแดง เขียว น้ำตาล เอามาเผาแล้วไม่ออก จึงไม่มีราคา พ่อค้าบางคนเลือกเฟ้นเฉพาะก้อนโต ๆ สวย ๆ มา "เจียรดิบ" หรือเจียระไนแบบ "สีเปิด ๆ" ของมัน ขายได้กะรัตละไม่กี่ร้อยบาท
      ประสิทธิ์บอกว่า ตลาดพลอยซองเกียเพิ่งมาหวือหวาจริง ๆ เมื่อปีกว่า ๆ นี่เอง เพราะทางเมืองไทยคิดวิธีการเผาแบบใหม่ขึ้นมาสำเร็จ เผาพลอยทุกสีออกมาสวยงาม คุณภาพดี เฉพาะอย่างยิ่งสามารถเผาพลอย (heat enhancement -คนทำพลอยให้เรียกว่า พัฒนาคุณภาพ) ที่มีเชื้อโครเมียมหรือเหล็ก อันได้แก่ พลอยชมพู เขียว เหลือง น้ำตาลอ่อน ออกมาเป็นพลอยส้มและพัดพาราชา (orange sapphire, Padparadschah) ที่สวยงามโลกตะลึง โดยในกระบวนการเผาใช้ธาตุเบาชนิด beryllium ลงไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้น 
      แน่ละ คนไทยผู้คิดค้นวิธีนี้ขึ้นมาได้คนแรก ๆ โกยเงินค่าเผาพลอย ค่าขายพลอยเข้ากระเป๋าตัวมหาศาล ขณะเก็บงำความลับทางเทคนิคไว้เงียบเชียบ ต้นปี ๒๕๔๕ ช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ หลังจากพลอยส้มและพลอยชมพูอมส้ม-พัดพาราราชาออกสู่ตลาด มันก็ถูกโจมตีจากนักอัญมณีศาสตร์อเมริกา และวงการอัญมณีด้วยกันอย่างมาก จนตลาดพลอยเสียหายมาอย่างต่อเนื่อง
      พ่อค้าต้นทางที่ซองเกียก็ตกที่นั่งไม่ต่างกัน ทำเงิน (จากพลอยที่ไม่เคยทำเงินมาเป็นสิบปี) ได้เดี๋ยวเดียว ราคาพลอยดิบก็ทะยานขึ้น ตลาดพลอยสำเร็จและเครื่องประดับชะลอตัวส่งผลให้ออเดอร์หดหาย ต้องซื้อเน้น ๆ จะตัดสินใจซื้อต้องโทรเช็กราคา เช็กแล้วเช็กอีก
      แม้จะเครียดบ้าง แต่พวกเขาดูมีความสุข และยังนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งเมื่อไม่นานนี้ที่ "พลอยซองเกียคัดก้อนโต ๆ ใส่ถุงพลาสติกวางขายถุงละ ๒๐๐ ชิลลิง โดยไม่มีใครเหลียวแล" ราวกับมันเป็นช่วงเวลาที่สวยงามเหลือเกินในชีวิต
 

(คลิกดูภาพใหญ่)       ...ผู้ชายตัวบึ้กสามคน หน้าขมึงถึงเข้ามา...เอะอะโวยวายว่าเราเข้ามาในบ่อพลอยได้ยังไง ไม่รับรองความปลอดภัยสำหรับคนนอก รอบ ๆ มีกลุ่มคนขุดพลอยถือเหล็กแหลมที่ใช้ขุดแร่ยืนดูเงียบ ๆ 
      พอเปาโลเห็น เขากับลูกน้องก็เดินเข้ามาขวาง อธิบายว่าพวกเรามาถ่ายรูป ไม่ได้จะเข้ามาซื้อพลอย คนเหล่านั้นทำท่าไม่เห็นด้วย เพราะรู้ว่าเปาโลทำงานให้บริษัท เลยเถียงกันจนตอนหลังพวกเขาบอกว่า ถ่ายสารคดีก็ต้องจ่ายสตางค์เพราะทีวีญี่ปุ่น อเมริกาก็เคยมาถ่าย... เปาโล วัย ๔๐ ต้น เขาพูดอะไรยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน ตลอดเวลาที่เผชิญหน้า
      เดินเลยจากจุดนั้นมาได้สักพัก เราก็ตัดลงหุบเขาไปเจอห้วยเกรังเกร่า ซึ่งมีชายหญิงกลุ่มใหญ่ขุดพลอยอยู่เช่นกัน ทว่าไม่เจอปัญหาเหมือนผ่านมา เขาลูกนี้อยู่ในพื้นที่บ้านโมซุงกูรู ทั่วบริเวณมีร่องรอยขุดพลอยเป็นหลุมบ่อทั่วไป ชาวบ้านจะขุดเป็นหลุมกว้าง ๆ ไม่ขุดลึกและไม่ "ตองแร่" ตามแนวนอนจนเป็นโพรงยาว ๆ ลักษณะนี้ปัญหาดินถล่มทับคนตายในหน้าฝนอย่างที่เคยได้ฟังมาก็น่าจะน้อยลง พอขุดดินได้ประมาณถุงปุ๋ยก็จะแบกมาเทใส่กระบะ ล้างและร่อนในลำห้วยด้านล่าง ขั้นตอนนี้ที่จะต้องดูกรวดทรายอย่างถี่ถ้วน ก้นกระบะซึ่งเป็นตะกอนหนักอาจมีอะเล็กซานไดรต์หรือพัดพาราชาตกอยู่ก็ได้ 
      คนขุดพลอยเป็นคนจนในท้องถิ่น มากันเป็นกลุ่มญาติพี่น้องทั้งชาย-หญิง ปลูกเพิงพักอยู่ใกล้บ่อ โดยตัวเพิงหรือกระต๊อบทำจากกิ่งไม้ที่ยาดินโคลนปิดทับจนรอบ พอมากันมากเข้าก็ขยายตัวเป็นหมู่บ้าน เช่น บ้านควอมเกโซ ตรงปากทางที่เราจอดรถ ก่อนจะเดินตัดเข้าป่า คนขุดพลอยส่วนหนึ่งจะมีนายทุนหรือโบรกเกอร์หาที่ หาเครื่องมือให้ขุด และคอยทำหน้าที่ส่งข้าวส่งน้ำ เปาโลบอกว่า คนกลุ่มหนึ่งขุดพลอยได้ประมาณวันละหนึ่งถุงเล็ก พลอยถูกจะรวบรวมไว้ขาย ได้เงินเท่าไรคนขุดกับนายทุนแบ่งคนละครึ่ง
(คลิกดูภาพใหญ่)       เราถือว่าโชคดีที่วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับจากซองเกีย "พี่ประสิทธิ์" ให้เปาโลขับรถพาเข้าเหมือง... อันที่จริงคือแหล่งพลอยสำคัญของซองเกีย--คิไทและโมซุงกูรู ซึ่งอยู่ห่างกันแค่คนละด้านของหุบเขา มีเนื้อที่รวมกัน ๔๐๐-๕๐๐ ตารางกิโลเมตร เส้นทางคิไท-โมซุงกูรู ตัดจากเมืองผ่านพื้นที่ภูเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหุบเขาทรุดเกรตริฟต์ ไปทางตะวันตกประมาณ ๒ ชั่วโมง พื้นที่รอบ ๆ เป็นแหล่งแร่ ทั้งพลอยแดง พลอยเขียว พลอยเนื้ออ่อนและทองคำ ปัจจุบันมีบริษัทที่คนไทยเป็นหุ้นส่วนได้สัมปทานทำเหมืองแล้วหนึ่งแห่ง กำลังจะลงมือทำในปีนี้อีกหนึ่งแห่ง เปาโลบอกล่วงหน้าแล้วว่า บริเวณนั้นนายทุนท้องถิ่นหวงห้ามไม่ให้คนข้างนอกเข้าไปบริเวณบ่อพลอยเหมือนจงอางหวงไข่ เพราะกลัวแอบซื้อพลอยปากบ่อ ทำให้กลุ่มตัวเองเสียผลประโยชน์
      ขณะนั่งรถกลับจากบ่อพลอย เปาโลบอกว่า เจ้าหน้ารัฐ คนพื้นเมืองแทนซาเนียบางคนพูดถึงคนต่างชาติอย่างคนไทยว่า มุยซี่ (mwuisi) -พวกขโมย เพราะเข้ามากอบโกยโดยไม่ได้ตอบแทนให้เขาเลย บางคนใช้วีซ่าท่องเที่ยวเข้ามาซื้อพลอย เสียภาษีให้รัฐไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่แปลกหรอกที่คนแถวเหมืองจะแสดงท่าไม่เป็นมิตร
      เป็นธรรมดา...เวลาผ่านบางเหตุการณ์ที่น่าเหนื่อย ขัดแย้ง หรือดูสุ่มเสี่ยง "น่าตื่นเต้น" มักถามตัวเองว่า เรา และ/หรือ คนหนุ่มเหล่านี้ "มาทำอะไรกันที่นี่" และก็ (คงเป็นที่ใดสักที่หนึ่งระหว่างเดินทาง) นั่งคิดทบทวนประโยคที่มีคนบอกว่า ธุรกิจค้าพลอยไม่ได้หากินกับแรงงานคนจนในวงอาชีพ แต่หากินกับคนรวย
.........................................................
      * อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องใน "ล่าพลอยสีชมพู สุดขอบฟ้ามาดากัสการ์" สารคดี ฉบับที่ ๒๐๔ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ 
 

อ้างอิง

(คลิกดูภาพใหญ่)       รวมบทความเกี่ยวกับแอฟริกา กองแอฟริกา กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๔๕.
      "Rubies and Sapphires" by Fred Ward, National Geographic, October 1991.
 

แหล่งข้อมูลบุคคล

  แทนซาเนีย
      สมยศ สอดศรี, ประสิทธิ์ สอดศรี, พี่ต้อย ปัญญา, สมบูรณ์ อภิญญากุล, วิลาศชัย สอดศรี, สุนทร โพธิ์พระคุณ, ศรันย์ คงธรรม, วิรัช ปราบไพลิน

กรุงเทพฯ 
      พรชัย ชื่นชมลดา, เกรียงศักดิ์ เจียรพุฒิ, เกรียงไกร เจียรพุฒิ, ธำรง ชะระไสย์ 
 

ขอขอบคุณ

        - คุณสมยศ และประสิทธิ์ สอดศรี ที่เอื้อเฟื้อให้แหล่งพักพิงในแทนซาเนีย และช่วยเหลือการจัดทำสารคดีเกี่ยวกับแทนซาเนียทั้งสองเรื่องจนสำเร็จลุล่วง
      - สายการบินกัลฟ์แอร์ที่สนับสนุนการเดินทาง