วิชาสารคดี ๑๐๑ ศาสตร์ ศิลป์ เคล็ดวิธี ว่าด้วยการเขียนสารคดี



สำนวนภาษา เปรียบเป็นเน้นความ

สำนวนเปรียบเปรยเป็นกลเม็ดหนึ่งที่มีส่วนช่วยเสริมเสน่ห์ให้งานเขียนเกิดรสรื่นน่าประทับใจในยามอ่าน และชวนจดจำเมื่ออ่านจบ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นหรือซับซ้อนแต่อย่างใด แค่การขับเน้นภาพเห็นสิ่งเป็นอยู่ด้วยการกล่าวอ้างถึง หรือยกสิ่งอื่นมาเปรียบให้เข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกได้ลึกซึ้งขึ้น โดยอาจเชื่อมด้วยคำว่า เหมือน ราว คล้าย ดัง ดุจ ปาน เป็น เสมือนว่า ฯลฯ

ถ้อยคำเปรียบเปรยจำนวนหนึ่งติดปากคุ้นหู ผู้คนใช้พูดจากันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่า หน้าซีดเหมือนไก่ต้ม ผิวขาวเหมือนหยวกกล้วย ผมขาวราวสีดอกเลา ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น ฯลฯ เหล่านี้สามารถหยิบนำมาใช้ในงานเขียนได้ตามจังหวะเนื้อหาที่เหมาะสม

แต่จะดีขึ้นกว่าถ้าผู้เขียนได้สรรหาถ้อยคำเปรียบเปรยตามลีลาภาษาของตนขึ้นใหม่ ซึ่งจะทำให้คนอ่านได้เสพซับชุดภาษาใหม่ๆ ไปด้วย บางทีเป็นที่ยอมรับจนใช้กันต่อ

ใบหน้าเหี่ยวย่นของนางบึ้งตึง ผมหยาบแห้งสีขี้บนเชิงตะกอน ผมรู้สึกหวาดไหวกับการมองมาของนาง

(‘รงค์ วงค์สวรรค์, “ความหิวไม่มีเข็มนาฬิกา”)

บนแผ่นดินที่ผมเคยซุกหัวนอนมีตึกตระหง่านตั้งอยู่ โรงยกพื้นซอมซ่อหลังนั้นหายไปเสียแล้ว…

ผมเพ่งมองตึกหลังนั้นอย่างเลื่อนลอย ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ธนาคารอันหรูหลวง แต่กลับเป็นหินหลุมศพขนาดมหึมาที่คร่อมทับอดีตของผมไว้ บนแผ่นดินผืนนั้น ผมไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปคารวะลานตายของมารดา

(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, “ มาจากป่าชายเลน”)

ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดที่ตัวเองฟุบหน้าแนบลำกล้องปืนอยู่กับโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง รู้แต่ว่าน้ำตาที่รินหยาดจากลำกล้องสู่รังเพลิงของปืนประจัญบานกระบอกนั้นแวววาวอยู่ในความมืดราวกับไม่มีวันเหือดแห้ง

(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, “สะพานไผ่เหนือสายน้ำเชี่ยว”)

ท้องฟ้าเสียอีกที่เป็นนรกของเรา นรกแท้ๆ ยามที่เราขนฟืนขนแร่อยู่กลางแจ้งนั้น ท้องฟ้าได้ถูกเคี่ยวด้วยดวงตะวันกลายเป็นกะทกทองแดงอันร้อนจัดลงสู่ร่างกายของเรา ท้องฟ้าได้บ้าคลั่งด้วยพายุฝนสาดเทลงมา ทำให้เรานั้นประหนึ่งตกอยู่ใต้ก้นบึ้งแห่งมหาสมุทรแบบที่สวรรค์ประดิษฐ์ขึ้นปานจะสำลักตาย ยิ่งท้องฟ้าที่มีนวลเดือนฉายด้วยแล้ว นรก…นรกชัดๆ เพราะมันทำให้ความคิดถึงบ้านเพ้อคลั่งขึ้น พลางก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสุดที่รักของเราในกรุงเทพฯ เลอะเลือนเหลือเกิน

(อาจินต์ ปัญจพรรค์, “ปรัชญาหน้าควันไฟ”)

หญิงสาวเข้ามาถามว่า “ถ้าวันนี้ไม่ได้ไปจะทำอย่างไร”

มันเลวร้ายจนไม่อยากคิด

หญิงบ้าคนนั้นคงนั่งอยู่ที่ท่าเรือแห่งนี้มานานแล้ว ผมเห็นเธอนั่งยิ้ม และลุกเดินไปเดินมาอยู่บนสะพานเทียบเรือตั้งแต่แรกมาถึง พอมีคนลงเรือเธอก็จะเข้าไปถามว่า ไปไหนกันๆ แล้วทำท่าจะเดินไปลงเรือด้วย

พวกลูกเรือหยอกล้อเธอเล่นเหมือนลูกลิงที่น่าสงสาร

ผมสะท้านในหัวใจ เราเองก็ถูกฟ้าดินหยอกเล่นเหมือนลูกไก่หลงฝูงอยู่เช่นกัน

(ให้ทะเลไกวเปลในหัวใจฉัน, หน้า ๒๓)

เดินไปตามต้นยางทีละต้นทีละแถววันละสองเที่ยว ตอนเดินกรีดเที่ยวหนึ่ง และอีกเที่ยวตอนเดินเก็บน้ำยาง ถ้าวัดเป็นระยะทางก็คงยาวไกลหลายกิโลเมตรในแต่ละวัน หลายร้อยกิโลเมตรในแต่ละเดือน และเป็นพันๆ กิโลเมตรในแต่ละปี แต่ความจริงในชีวิตคนตัดยางแทบไม่ได้ออกไปไหนไกลเกินความกว้างยาวของเขตสวน วิถีของคนตัดยางวนซ้ำอยู่บนทางเก่า เช่นเดียวกับโลกธรรมชาติที่หมุนเวียนอยู่ใต้เงาฤดูกาล

เหยียบย่ำซ้ำรอยเก่าอยู่ในที่แห่งเดิมจนจดจำยางในสวนได้ทุกต้น รู้จักเนื้อดินทุกตารางนิ้ว เข้าใจอารมณ์ของแดดและเมฆฝน และยังรู้ถึงวิถีโคจรของหมู่ดาวในห้วงฟ้า เท่านี้ก็เกินพอแล้วที่จะให้ชาวสวนเล็กๆ สักคนภูมิใจในอาชีพและพอใจกับชีวิต

(หลังม่านต้นไม้ หน้า ๓๗)

samnuan01