เรื่อง : สิริกร เย็นเพ็ชร
ภาพ : อารียา เลยไธสง

เสียงเครื่องยนต์เรือดังขณะแล่นไปตามลำน้ำท่ามกลางภูเขาเขียวขจี ละอองน้ำกระเซ็นมาชโลมจิตใจอันห่อเหี่ยว
เรือล่องไปตามเส้นทางที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกันในสังขละบุรี แม่น้ำซองกาเรียจากทางทิศเหนือ แม่น้ำบีคลี่จากทางเทือกเขาตะนาวศรี ประเทศเมียนมาร์ และแม่น้ำรันตีจากทางทุ่งใหญ่นเรศวร
ชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า “สามประสบ” ปากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อนกำเนิดเป็นแม่น้ำแควน้อย
พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนทั้งไทย มอญ และกะเหรี่ยง แต่บัดนี้กลายเป็น “เมืองบาดาล” แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ให้ผู้คนได้มาเยี่ยมเยือนและฟังเรื่องเล่าในอดีต
“ไม่โกรธหรอกที่เขาสร้างเขื่อน เขาทำเพื่อประโยชน์ทุกคน ทางนั้นก็ได้ ทางเราก็ไม่ได้เสีย เขาก็ให้พื้นที่อยู่ แถมทำดีด้วยซ้ำ กลายเป็นประวัติศาสตร์ไป” คำตอบของคนขับเรือเมื่อฉันถามว่าคิดอย่างไรกับการสร้างเขื่อนที่ทำให้หมู่บ้านจมหายไปใต้น้ำลึก
ฉันได้ยินชื่อ “เขื่อนวชิราลงกรณ” ในตำราเรียน แต่ไม่รู้ว่าการสร้างเขื่อนแห่งนี้กลืนกินชีวิตผู้คนไปมากน้อยขนาดไหนจนกระทั่งเดินทางมาที่นี่… เขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทยที่ดาดผิวหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กบนแม่น้ำแควน้อย เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2522 และเริ่มเปิดใช้งานในปี 2527 เพื่อการผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้เกิดพื้นที่อ่างเก็บน้ำ 388 ตารางกิโลเมตร เทียบได้กับราวหนึ่งในสี่ของกรุงเทพมหานคร
ฉันมองเห็นหลังคาวัดศรีสุวรรณโผล่อยู่กลางน้ำอย่างโดดเดี่ยว ก้อนอิฐปูนสีน้ำตาลแตกร้าวจากการกัดเซาะ มีผ้าสีแดงกับเหลืองผูกไว้ปลายเสาเป็นสัญลักษณ์ให้คนขับเรือ
หากไม่ชำนาญพื้นที่ ใต้ท้องเรืออาจชนกับตอไม้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นร่มเงาให้ผู้คน ยืนหยัดผ่านฤดูกาลต่างๆ บางต้นโผล่พ้นน้ำราวกับพยายามหายใจ บางต้นจมหายไปในความเงียบใต้ผิวน้ำราวกับรอให้ใครสักคนจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นบ้านของผู้คน
“บ้าน” ที่ไม่อาจกลับไปได้อีก

ความทรงจำ
“วันนี้ไปกินข้าวที่ไหนมา” คุณครูถามหลังพักเที่ยง
“ไปที่นู่นครับ ริมสนามฟุตบอล” เด็กชายศุภชัยตอบ
“แล้วนี่ไปกินลูกน้ำนองไหม ได้ไปปีนต้นน้ำนองมาไหม”
ลูกน้ำนอง ผลไม้ลูกวงรีสีม่วงเข้ม รสชาติเปรี้ยวหวาน กินแล้วลิ้นเป็นสีม่วงออกดำ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลูกหว้า
เด็กชายปฏิเสธ แต่คุณครูรู้ทันแล้วบอกให้อ้าปาก
“เรียบร้อยเลย อ้าปากก็เรียบร้อย” ศุภชัยพูดพลางหัวเราะขบขันเมื่อเล่าวีรกรรมสมัยเรียน
ศุภชัย พลทิพย์ ชาวกะเหรี่ยงที่เคยอาศัยอยู่หมู่บ้านไหลน้ำก่อนกลายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เขาเล่าว่าสังขละบุรีสมัยนั้นมีสามชุมชนคือ ชุมชนวังกะ ซึ่งเป็นศูนย์กลาง มีทั้งสถานีอนามัย สถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอ พอข้ามแม่น้ำแควน้อยไปก็จะเป็นชุมชนฝั่งมอญ และชุมชนบ้านไหลน้ำของชาวกะเหรี่ยง
ศุภชัยเคยศึกษาที่โรงเรียนสหคริสเตียนศึกษาของมิชชันนารีที่เข้ามาสร้างโรงพยาบาลคริสเตียนแม่น้ำแควน้อย เขาเติบโตมากับชาวคาทอลิกที่ต้องร้องเพลงนมัสการพระเจ้าและอ่านพระคัมภีร์ มีพ่อแม่อุปถัมภ์เป็นชาวออสเตรเลียที่ต้องคอยเขียนจดหมายและถ่ายรูปส่งไปให้
มุมโปรดในโรงเรียนของศุภชัยคือริมสนามฟุตบอลติดแม่น้ำ เขาชอบนั่งล้อมวงกินข้าวกับเพื่อนแล้วอยู่กับธรรมชาติ ยิ่งฤดูฝนจะมีลูกน้ำนองออกผล เด็กชายศุภชัยและผองเพื่อนจะพากันเดินลงตลิ่งข้างริมน้ำเพื่อปีนและช่วยกันเก็บลูกน้ำนอง แม้คุณครูจะสั่งห้ามก็ตาม
“สมัยก่อนการลงโทษของครูก็คือ ตี เป็นธรรมดา…เราก็ยอมรับ แต่ก็ไม่เคยหลาบ”

“เพื่อนสนิทเหรอ โอ๊ย…สนิทกับเพื่อนทุกคน สมัยนั้นชอบเล่นกันที่บริเวณวัดหนองประดง หรือไม่อย่างนั้นก็ไปสวนใช้หนังสติ๊กยิงนก ยิงลูกไม้” เสียงผู้ใหญ่บ้านชุมชนกองม่องทะพูดพลางหัวเราะขำขัน ราวกับหลงเข้าไปอยู่ในความทรงจำวัยเด็ก
จะเด็จ วิฑูรย์ หนึ่งในคนที่ย้ายมายังชุมชนกองม่องทะด้วยเกวียนช้าง เล่าว่าทางการจัดสรรที่ให้ย้ายไปทางห้วยมาลัย แต่สมัยก่อนค่อนข้างลำบากจึงเลือกมากองม่องทะซึ่งมีญาติอาศัยอยู่
ตอนนั้นจะเด็จอาศัยอยู่ที่ชุมชนหนองประดง หรือ “หนองร้องเมือง” และเข้าเรียนโรงเรียนหนองร้องเมืองครั้งแรกในวัย 9 ปี เขาบอกว่าตนเป็นคนเกเร ไปโรงเรียนก็เหมือนไปเล่น ไม่ได้สนใจเรียนนัก แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่จำได้อย่างดี
“มาเส็ง มานั่งกินข้าวกัน” เสียงครูธงชัยในความทรงจำเรียกเด็กชายเส็ง (ชื่อในวัยเด็กของจะเด็จ)
“จำได้เลย ไม่มีอะไรกินเลยมีแต่น้ำพริก โอ้โห… เผ็ดอร่อย ! ไอ้เราก็คนกินพริกอยู่แล้ว” จะเด็จเล่าอย่างออกรสชาติ ก่อนจะเล่าต่อ “พอกินเสร็จครูเขาก็บอกผมว่า เส็งพรุ่งนี้มาเรียนหนังสือนะ”
เช้าวันต่อมาเด็กชายเส็งก็มาเรียนจนจบประถมศึกษาตอนปลายที่กองม่องทะ
.
“ตอนเด็ก ๆ ฝั่งวัดศรีสุวรรณารามมีงาน คนมอญก็มาทำบุญ พอวัดวังก์วิเวการามมีงานเราก็จะไป รวมไปถึงคนทองผาภูมิ คนฝั่งพม่าจะนั่งเกวียนกันมา ได้เจอเพื่อนฝูง เจอญาติพี่น้อง” ศุภชัยเล่าถึงสังคมในอดีตที่แต่ละชุมชนไปมาหาสู่และช่วยเหลือแบ่งปันกัน
เขาเล่าว่า ชาวกะเหรี่ยงอยู่มาก่อนจนกระทั่งชาวมอญคนแรกเข้ามาคือ หลวงพ่ออุตตมะ ท่านเดินทางมาอยู่ที่วัดศรีสุวรรณาราม แล้วกลับไปพาญาติพี่น้องประมาณ 30 คนมาตั้งถิ่นฐาน ในช่วงนั้นเป็นฤดูฝนไม่สามารถทำนาปลูกข้าวได้ ตาของศุภชัยซึ่งเป็นกำนันในเวลานั้นให้ชาวบ้านช่วยกันมอบข้าวเปลือกจำนวน 30 ถังแก่พี่น้องชาวมอญให้รอดพ้นผ่านฤดูฝนไปได้

ไม่หวนคืน
ฉันได้แต่ฟังเรื่องราวของพวกเขาเงียบๆ เหมือนคนที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแล้วเห็นบ้านของใครหลายคนค่อยจมหายไปอย่างช้า ๆ…
ศุภชัยต้องย้ายบ้านตอนอายุ 12 ปี เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากชั้นประถมศึกษาตอนปลายไปยังมัธยมศึกษาตอนต้น เข้ามาเรียนที่อำเภอใหม่ หรือสังขละบุรีในปัจจุบัน
“เวลาที่ผ่านไป สถานที่ ผู้คน เรื่องราว ต่อให้เราอายุยาวไปอีกร้อยปี เราก็ไม่สามารถหาความรู้สึกแบบนั้นได้”
เขาเล่าอีกว่า ช่วงฤดูแล้งในวันหยุดสุดสัปดาห์จะพาครอบครัวเก็บของใส่กระเป๋าขึ้นรถไปนอนกับชาวบ้าน หรือกางเต็นท์ เพื่อสัมผัสกับสถานที่และความรู้สึกเดิม
“สิ่งที่ทำได้คือเข้าไปกองม่องทะ ทุ่งใหญ่ หรือที่ไหนที่บรรยากาศคล้ายกัน มันเหมือนได้กลับไปอยู่ที่เดิม ทำให้มีความสุข”
.
มีผู้คน อาศัยตามเชิงชายเขา
ทุกค่ำเช้า หากิน พอเลี้ยงกาย
จับสัตว์ หาปลา ปลูกพืชผัก
พอกันตาย เลาะริมชาย ธารน้ำที่เชิงภู
มีใบบอกจากทางการ
ให้ย้ายบ้านไปหลังเขา
จะสร้างเขื่อนเพื่อบรรเทา
เอาน้ำใช้ยามกันดาร
ทิ้งแหล่งน้ำอันอุดม
ซานซม สู่หลังเขา
น้ำจากเขื่อน ท่วมนาเรา
บอกกล่าว ไร้คนเหลียวแล
“คนหลังเขา” บทเพลงของวงคาราบาวที่สะท้อนความรู้สึกข้างในของศุภชัย
.

เด็กชายศุภชัยในตอนนั้นกับนายศุภชัยในตอนนี้ยังเป็นคนเดิม คิดถึงสถานที่เดิม ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ภาพในความทรงจำก็ยังชัดเจน เมื่อมีกำลังทรัพย์มากพอจะสร้างบ้าน เขาก็เลือกใช้ไม้ไผ่มาเป็นส่วนประกอบ
“ไม้ไผ่… เอามาสร้างบ้านตอนนี้ เพื่อให้หวนนึกถึงความรู้สึกเก่า ๆ เพราะเราอยากกลับไปอยู่แบบนั้น แต่มันก็ทำได้แค่สร้างบ้านเพื่อกลับไปคิดถึง”
“ไม่มีใครชอบการจากลา ถ้าเลือกได้ ไม่มีใครอยากจากบ้าน” ศุภชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นพร้อมน้ำใสจากดวงตาลงมาอาบแก้ม เหมือนน้ำจากเขื่อนที่ไหลท่วมทุกความทรงจำ ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตา
“ไม่ได้มีความสุขกับเขื่อน แค่คิดถึงความทรงจำที่เคยอยู่” หากวันใดเขื่อนพัง เขาสามารถวิ่งกลับไปยังบ้านที่เคยอยู่ได้ทันที

.
“เขาไล่ที่อยู่อาศัยเราเพื่อทำเขื่อนผลิตไฟฟ้า แต่เรากลับไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันเลย”
คำพูดของศุภชัยทำให้ฉันนึกถึง “เล็ก” สาวกะเหรี่ยงวัย 30 ปีจากหมู่บ้านกองม่องทะ ผู้เอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เพราะไฟฟ้าที่ใช้ทุกบ้านมาจากแผงโซลาร์เซลล์
แม้จะมีเขื่อนขนาดมหึมาอยู่ในจังหวัด แต่ทุกค่ำคืนแสงสว่างในบ้านของเล็กและเพื่อนบ้านกลับขึ้นอยู่กับแดดในตอนกลางวัน แผงโซลาร์เซลล์คือสิ่งเดียวที่ทำให้มีไฟฟ้าใช้ยามค่ำ หากฝนตกต่อเนื่องหลายวัน แสงไฟในหมู่บ้านก็จะสลัวและดับลงไปพร้อมกับความหวัง
.

“กลับไปไม่ได้น้ำมันท่วม คืออยู่ที่นั่นกับที่นี่ก็ไม่ได้สบายกว่ากันหรอก แต่เราเคยอยู่ที่นั่นไง”
จะเด็จเอ่ยความในใจของคนที่ต้องย้ายออกตอนอายุ 12 ขวบ แม้จะได้รับแจ้งล่วงหน้าเป็นปี แต่พอถึงเวลาย้ายจริงเขาก็เสียใจที่ต้องออกจากผืนดินซึ่งเคยเป็นบ้าน เป็นความสุขความทรงจำดี ๆ ที่ไม่อาจกลับไปได้อีก
เสียงเครื่องยนต์เรือค่อยเบาลง ภูเขาเลือนหายไปในม่านหมอก ตะวันเริ่มลับขอบฟ้าก่อนที่เรือจะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าฝั่ง
ประโยคหนึ่งของผู้ใหญ่จะเด็จสะกิดใจฉันเป็นอย่างมาก
“ผมมันไร้เผ่าพันธุ์เลยในสายเลือด” เขาพูดถึงสายเลือดของตนอย่างทีเล่นทีจริงและหัวเราะขำขัน
ปู่ของเขาเป็นคนลาว ยายเป็นคนละว้า ย่ากับตาเป็นคนกะเหรี่ยง
.
สำหรับฉันหากอยู่ที่ใดแล้วมีความสุข ที่นั่นก็คือบ้าน…
สำหรับเขาอาจเป็นสถานที่ที่ยังอยากกลับไป แม้จะไม่มีอยู่แล้วก็ตาม
อ้างอิง
https://www.egat.co.th/home/vajiralongkorn-dm/
https://www.egat.co.th/home/vajiralongkorn-dm-about/
https://ngthai.com/special-content/38480/sangkhlaburi/
สัมภาษณ์
ศุภชัย พลทิพย์ นักข่าวกลางดง
จะเด็จ วิฑูรย์ ผู้ใหญ่บ้านกองม่องทะ
ขอขอบคุณ
เรืองกิตติ์ รักกาญจนันท์
วันดี มงคลมณีกาญจน์
อภิญญา เจริญหงส์สา
