นายจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

มัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนกุนนทีรุทธารามวิทยาคม กรุงเทพฯ

เรื่อง ที่สุดของหัวใจ ภูวไนยแห่งแผ่นดิน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมคนไทยจึงจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องจงรักภักดี แต่เพราะพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่พระมหากษัตริย์ไทยแต่ละพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมานั้น เหมาะสมกับกาลสมัยและเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างดี จึงทรงรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติและทรงนำความผาสุกร่มเย็นมาสู่เหล่าพสกนิกร

ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นคนไทยคนหนึ่ง มีความจงรักภักดีและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังศรัทธาและซาบซึ้งในความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหากรุณาธิคุณ จนเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดบทความ “ที่สุดของหัวใจ ภูวไนยแห่งแผ่นดิน” ขึ้นมา ซึ่งเรียบเรียงจากหนังสือสามเล่ม ผนวกกับความรู้สึกจากใจจริงของผู้เขียน

“ที่สุดของหัวใจ” เป็นบทความที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของพระมหากษัตริย์สามพระองค์ แต่ท่ามกลางความแตกต่างนั้น มิได้มีผลทำให้ความจงรักภักดีของพสกนิกรที่มีต่อพระองค์เสื่อมคลายหรือลดลงได้เลย และที่สำคัญ พระมหากรุณาธิคุณของทุกๆ พระองค์ จะยังคงตราตรึงอยู่ในดวงใจของคนไทยตราบนานเท่านาน

หนังสือทั้งสามเล่มที่จะนำเสนอต่อไปนี้ มีประเด็นที่น่าติดตามโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้โดยง่าย แต่ถ้าอ่านแล้ววิเคราะห์ให้ดีจะพบว่ามีคุณธรรมและข้อคิดต่างๆ มากมายแฝงอยู่ในเนื้อหาแทบทุกย่อหน้า เป็นการดีอย่างยิ่งที่น้อมนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความจงรักภักดี ทั้งยังเป็นประโยชน์ในด้านความรู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ นับว่าหนังสือทั้งสามเล่มที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นงานเขียนที่ทรงคุณค่าประดุจอาภรณ์อันงดงามที่ประดับวงการวรรณกรรมไทยให้ทรงคุณค่าอย่างยั่งยืนเช่นนี้ตลอดไป

เล่มที่ 1

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์วังหน้า หนังสือเล่มนี้เป็นสารคดีประเภทชีวประวัติ ซึ่งถือว่ามีน้อยมากในแวดวงวรรณกรรมไทย เพราะส่วนใหญ่แล้วหนังสือชนิดนี้จะเป็นของชาวต่างชาติเสียมากกว่า

หนังสือเล่มนี้เป็นพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 คู่กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ ผู้แต่ง (ส. พลายน้อย) ได้รวบรวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยตามเอกสารต่างๆ เรื่องใดที่ไม่ชัดเจนก็พยายามค้นคว้าหลักฐานมาพิจารณาความเป็นไปได้ ทั้งยังมีภาพประกอบพร้อมคำบรรยาย รวมถึงเชิงอรรถอ้างแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างละเอียด สำนวนภาษาที่ใช้นั้น ผู้เขียนขอบอกตามตรงว่า ค่อนข้างยากที่จะทำความเข้าใจ เพราะภาษาและคำศัพท์ที่ใช้นั้นจะโบราณเสียส่วนใหญ่ ซึ่งไม่คุ้นเคยนักในปัจจุบัน แต่ผู้เขียนคิดว่าผู้ที่สนใจในการแสวงหาและดื่มด่ำความรู้จากหนังสืออย่างเต็มที่แล้ว ปัญหาดังกล่าวคงไม่ใช่อุปสรรคที่แท้จริงของท่านอย่างแน่นอน

เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม ประเพณี ระบอบการปกครอง ระบบการเมืองรวมถึงวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งยุคนั้นเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของไทยก็ว่าได้ เพราะมีอิทธิพลภายนอกและวัฒนธรรมจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้าสู่เมืองไทยค่อนข้างจะหนาแน่น

สาเหตุที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่าน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและยังคงมีคนไทยอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จนเรียกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่โลกลืม ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ มากมาย ล้วนแต่ทรงคุณประโยชน์ต่อชาติทั้งสิ้น โดยเฉพาะสมัยนั้นมีลัทธิล่าอาณานิคมลุกลามเข้ามาแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยก็ตกเป็นเป้าหมายของลัทธินี้เช่นกัน แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในการดำเนินพระราโชบาย ทำให้ประเทศไทยมีเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ โดยจะเห็นได้ชัดว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดกับไทยล้วนตกเป็นอาณานิคมของต่างชาติทั้งสิ้น และอีกเหตุผลหนึ่งอย่างที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้นว่า หนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไทยในสมัยนั้น ซึ่งก็คือรากเหง้าของความเป็นไทยในปัจจุบันนั่นเอง ถ้าผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็จะทำให้รู้รากเหง้าที่แท้จริงของตน และเมื่อรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นแล้ว การก้าวต่อไปข้างหน้าก็น่าจะมีความมั่นคงและแน่นอนมากยิ่งขึ้น

อีกประการหนึ่งที่อยากจะฝากไว้สำหรับหนังสือเล่มนี้ คือจุดมุ่งหมายของผู้แต่งนั้น มิได้มีเพียงประเด็นที่แนะนำไปเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประการ โดยเฉพาะข้อคิดที่จะได้รับจากหนังสือเล่มนี้ แม้บางเรื่องเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่ผู้แต่งก็สามารถสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน

คราวนี้ก็เป็นดุลพินิจของผู้อ่านแล้วว่า การที่จะศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจากหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง จะเกิดประโยชน์กับผู้อ่านมากน้อยเพียงใด แต่ผู้เขียนคิดว่า อย่างน้อยก็น่าที่จะลบคำกล่าวที่ว่า “พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่โลกลืม” ได้เป็นอย่างดี

เล่มที่ 2

จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ 7 หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับวังไกลกังวลที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผู้เขียนกล้ายืนยันเช่นนี้ก็เพราะว่า ยังไม่เคยมีการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก่อนนั่นเอง ทางด้านผู้แต่งคือแพทย์หญิงกรรณิการ์ ตันประเสริฐ ได้รวบรวมข้อมูลมาจากเอกสาร จดหมายเหตุภาพถ่ายเก่า แผนที่รวมทั้งสัมภาษณ์ผู้อาวุโสร่วมสมัยร่วมเหตุการณ์ แล้วนำข้อมูลมาเชื่อมโยงกันเหมือนการต่อภาพ จนกระทั่งเป็นหนังสือที่สมบูรณ์

จดหมายเหตุวังไกลกังวล สมัยรัชกาลที่ 7 เล่มนี้ ถือว่าเป็นงานเขียนที่ท้าทายนักประวัติศาสตร์และผู้อ่านเป็นอย่างมาก เพราะผู้แต่งมิได้อยู่ในวงการประวัติศาสตร์และโบราณคดีเลย มีเพียงความใฝ่รู้และใคร่ที่จะศึกษาเท่านั้น

เนื้อหาในหนังสือได้จำแนกเรื่องราวในทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้องไว้อย่างลงตัว ทั้งยังมีภาพประกอบในส่วนที่สำคัญและมีเชิงอรรถแสดงที่มาของข้อมูลอย่างชัดเจนตลอดเล่ม ในเนื้อหาได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม ค่านิยม และการเมืองในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี จนกลายมาเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญหน้าหนึ่งของแผ่นดิน

ก่อนอ่านเนื้อเรื่องได้วิเคราะห์ชื่อหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีประโยคต่อท้ายว่า “สมัยรัชกาลที่ 7“ ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า หนังสือเล่มนี้น่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับวังไกลกังวลเพียงอย่างเดียว แต่ลึกๆ แล้วรัชกาลที่ 7 กับวังไกลกังวลน่าจะมีอะไรบางอย่างที่สัมพันธ์กันมากกว่าที่ใครหลายๆ คนเคยรู้มาก่อนเป็นแน่

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังไกลกังวลขึ้น ณ ชายทะเลหัวหิน เพื่อทรงใช้เป็นที่ประทับระหว่างทรงงานราชการทางหัวเมืองภาคใต้และสำราญพระราชหฤทัยในยามเสด็จ แปรพระราชฐาน

แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน จะมีสักกี่คนที่รู้ว่านอกจากวังไกลกังวลแห่งนี้จะเป็นสถานที่ซึ่งได้ใช้ตามพระราชประสงค์แล้ว ยังเป็นสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกหลายเหตุการณ์ ซึ่งไม่ตรงกับพระราชประสงค์เลย

วังไกลกังวลสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายทางการเมือง จนเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ ผู้อ่านลองนึกภาพดูแล้วพิจารณาว่า สิ่งที่ตนสร้างขึ้นมาหวังเพื่อทำให้ตนมีความสุข แต่กลับกลายเป็นดาบสองคมทำลายความสุขของตนลง และยังเพิ่มความทุกข์ให้บอบช้ำยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวผู้อ่านเอง ผู้อ่านจะรู้สึกอย่างไร คงไม่ต้องบรรยายอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าผู้อ่านต้องการรับรู้ถึงความรู้สึกและเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด “จดหมายเหตุวังไกลกังวล” เล่มนี้จะช่วยผู้อ่านได้อย่างดีที่สุด

วังไกลกังวลย่อมดำรงไว้ซึ่งความหมายอันทรงคุณค่าแห่งนามนี้ตลอดไป ไกลกังวลซึ่งสื่อความสงบสุขและห่างจากความสับสนวุ่นวาย แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม แม้เวลาจะผ่านเลยไปนานเพียงใด สถานที่แห่งนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันวังไกลกังวลยังเป็นที่ประทับตลอดระยะเวลาเสด็จแปรพระราชฐานทั้งในยามบำเพ็ญพระราชกรณียกิจและในยามสำราญพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ เช่นเดียวกับแผ่นดินรัชกาลที่ 7 สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่สำคัญยิ่งบนเส้นทางประวัติศาสตร์และเป็นสถานที่อันทรงคุณค่าทางจิตใจของปวงชนชาวไทยไปตราบนานเท่านาน

วังไกลกังวล จากพระราชประสงค์ที่จะทรงพักผ่อนและสำราญพระราชหฤทัย กลับกลายเป็นสถานที่ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอาภัพที่สุดในโลก

เล่มที่ 3

เย็นศิระเพราะพระบริบาล หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในมหามงคลวโรกาส ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ผลงานการเรียบเรียงของศาสตราจารย์พิเศษทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา

เย็นศิระเพราะพระบริบาล ได้ประมวลพระราชกรณียกิจแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งพระองค์ทรงอุทิศพระวรกายต่อสู้กับความลำบากยากจน ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความด้อยการศึกษาของประชาชน และความทุรกันดารห่างไกลความเจริญของภูมิประเทศ หนังสือเล่มนี้ได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมืองไทยของเรายังด้อยพัฒนาอยู่มาก แต่ด้วยพระปรีชาสามารถและพระราชหฤทัยที่ทรงผูกพันกับทุกข์และสุขของประชาชนอย่างแท้จริงนั้น ทำให้ผืนแผ่นดินนี้มีความอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่ดีกินดี สามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้

ในยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติหรือความขัดแย้งอย่างรุนแรงในอุดมการณ์ทางการเมือง ด้วยเดชะพระบารมีของพระองค์ ทำให้ชาติบ้านเมืองพ้นภัยพิบัติต่างๆ ได้ด้วยดี มีความสงบสุขร่มเย็นเสมอมา แม้จะต่างกันด้วยเชื้อชาติศาสนาก็ตาม เป็นการยากที่จะหาผืนแผ่นดินใดในโลกนี้เหมือนแผ่นดินไทยของเรา

ข้อมูลดังกล่าวนั้น ผู้เขียนได้สรุปกว้างๆ ให้เห็นแบบโดยรวม ซึ่งพระราชกรณียกิจของพระองค์นั้น คงไม่มีหนังสือเล่มใดที่จะบรรยายได้ละเอียดครบถ้วนอย่างแน่นอน

แม้ว่าพระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชสมบัติอย่างกะทันหันเนื่องจากกรณีเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระบรมเชษฐาธิราช ทำให้พระองค์ไม่มีเวลาเตรียมพระองค์เลย แต่จากการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างหนัก ซึ่งเปี่ยมไปด้วยทศพิธราชธรรมติดต่อกันมายาวนานกว่า 50 ปีเช่นนี้ เป็นเครื่องยืนยันพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” จนเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลกทั้งมวลเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ผู้แต่งยังได้อัญเชิญพระราชกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองที่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ได้ทรงบำเพ็ญมานั้น มารวบรวมลงในหนังสือเล่มนี้ด้วย ทำให้ผู้เขียนเกิดความมหัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงเจริญรอยตามพระยุคลบาทแห่งพระราชบุรุษอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นับได้ว่าความดีต่างๆ ที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมานั้นรวมอยู่ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแล้วทั้งสิ้น

พระองค์ทรงเป็น “ที่สุดของหัวใจ ภูวไนยแห่งแผ่นดิน” อย่างแท้จริง