![]() |
ด.ช. ณัฐกฤต วานิชขจรมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี อ. เมือง จ. นนทบุรี |
เรื่อง เปิดประตูสู่โลกกว้างอย่างมั่นคงการอ่านเป็นวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองที่ง่ายที่สุด รวดเร็วที่สุด ประหยัดที่สุด และยังได้รับความสนุก เพลิดเพลิน ทำให้ผู้อ่านมีความสุข จิตใจเบิกบาน ผมชอบอ่านหนังสือทุกประเภท และจะใช้เวลาว่างอยู่กับการอ่านหนังสือหรือเข้าห้องสมุดเสมอ ผมจึงมีหนังสือดีๆ หลายเล่ม แต่ผมก็คัดเลือกเล่มที่ดีที่สุดสามเล่ม มาแนะนำหนังสือน่าอ่านกับเพื่อนๆ ซึ่งทั้งสามเล่มมีความแตกต่างกันด้านเนื้อหาสาระ แต่จุดเด่นของทั้งสามเล่ม ก็คือ สนุกสนาน ให้สาระต่างๆ ใช้ถ้อยคำได้ดี สรุปก็คือ เป็นหนังสือที่น่าอ่านจริงๆ หนังสือเล่มแรกที่ผมอยากจะแนะนำ เป็นหนังสือที่ผมได้มาตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ถึงเวลาจะผ่านเลยไปหลายปีแล้วก็ตาม ผมก็ยังประทับใจหนังสือเล่มนี้อยู่ เนื่องจากเป็นหนังสือที่อ่านกี่รอบผมก็ไม่เบื่อ หนังสือเล่มนี้ชื่อว่าเล่าเรื่องรามเกียรติ์ ผู้แต่งชื่อ มาลินี ผโลประการ จำนวน 239 หน้า พิมพ์เมื่อเดือนมีนาคม 2543 โดยสำนักพิมพ์ธารปัญญา ราคา 160 บาท ผมซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ตอนแรกผมขอคุณแม่ซื้อหนังสือเล่มนี้ แต่คุณแม่บอกว่าซื้อเล่มอื่นเถอะ เพราะเรื่องรามเกียรติ์เรามีหลายเล่มแล้ว อีกอย่างคุณพ่อก็เคยพาไปดูภาพรามเกียรติ์ที่วัดพระแก้วแล้วด้วย แต่ผมก็ไม่ยอม เพราะผมคิดว่าเป็นหนังสือที่เหมาะกับเด็ก ป. 3 อย่างผมมาก เนื่องจากเป็นวรรณคดีไทยที่นำมาแบ่งเป็นภาคๆ รวมแล้วประมาณหกภาค ได้แก่ ทศกัณฐ์ผู้อหังการ กำเนิดพระราม ชนวนศึก ศึกลงกา อวสานทศกัณฐ์ และพระรามครองเมือง ภาคหนึ่งมีเจ็ดแปดตอน ซึ่งแต่ละตอนมีทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง ทำให้ไม่น่าเบื่อ อ่านแล้วสนุก เพราะจะเป็นการย่อเรื่อง แต่ไม่ขาดสิ่งสำคัญๆ ตามเนื้อเรื่อง เหมือนกับมีคนมาเล่าให้เราฟัง จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ที่นอกจากจะผสมผสานกันระหว่างร้อยแก้วและร้อยกรองได้ลงตัวแล้วก็คือ แต่ละตอนจะมีภาพลายเส้นที่วาดจากแบบในวัดพระแก้ว ผู้วาดชื่อ ปฐม พัวพิมล ผมใช้หนังสือเล่มนี้ในการวาดภาพหลายครั้งเมื่อครูสั่ง เช่น ตอนศึกกุมภกรรณ ศึกไมยราพ เป็นต้น นอกจากนี้เมื่อมีวิชาภาษาไทยเกี่ยวกับรามเกียรติ์ ผมสามารถเข้าใจได้ดี มีครั้งหนึ่งคุณครูให้ผมทำรายงานเกี่ยวกับกองทัพของพระราม เช่น มีทหารเอกชื่อ...ทหารลิงทัพพระรามได้มาจากเมืองอะไรบ้าง...เป็นต้น และผมก็ได้ยกกลอนไปเขียนรายงานจากหนังสือเล่มนี้ว่า เมื่อนั้น ฝูงเทพเทวาน้อยใหญ่ ต่างทูลอาสาพระภูวไนย จะขอไปเป็นพลพระอวตาร มาล้างเหล่าอสุรพาลา ที่หยาบช้าเบียนโลกทุกสถาน พระราหูฤทธิไกรชัยชาญ เป็นทหารชื่อนิลปานัน พระพินายนั้นเป็นนิลเอก พระพิเพกนั้นเป็นนิลขัน พระเกตุเป็นเสนีกุมิตัน พระอังคารเป็นวิสันตราวี พระหิมพานต์จะเป็นโกมุท พระสมุทรนิลราชกระบี่ศรี พระเพลิงเป็นนิลนนท์มนตรี พระเสารีเป็นนิลพานร พระศุกร์เป็นนิลปาสัน พระหัสนั้นมาลุนทเกสร พระพุธเป็นสุรเสนฤทธิรอน พระจันทร์เป็นสัตพลี วิรูฬหก วิรูฬปักษ์สองตระกูล เป็นเกยูรมายูรกระบี่ศรี เทวัญวานรนอกนี้ ขาญชีเจ็ดสิบเจ็ดสมุดตราฯ กลอนที่ได้กล่าวมานี้เป็นกลอนที่ละเอียดมากจริงๆ นับได้ว่าหาหนังสือรามเกียรติ์ที่มีความละเอียดแบบนี้ได้ยากแล้วในปัจจุบัน นอกจากนี้การที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมชอบการวาดภาพลายไทย จนผมต้องฝึกหัดวาดลายไทย และไปสมัครเรียนโขนที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ผมชอบไปดูนิทรรศการหัวโขน ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรม ผมเห็นหัวโขนทุกหัวสร้างขึ้นด้วยความประณีต บรรจง ผมจึงคิดว่า "ทำไมบรรพบุรุษของเราจึงมีความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำเลิศอย่างนี้ สามารถจะคิดสิ่งที่ซับซ้อนอะไรได้" ผมจึงอยากจะศึกษาเกี่ยวกับการเมือง ความเป็นอยู่ วิถีชีวิตของบรรพบุรุษของเราทุกๆ คน และนี่ก็ทำให้ผมสนใจหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากขึ้น และอีกอย่างหนึ่งการที่เราศึกษาประวัติศาสตร์ของเราเอง ยังเป็นการทำให้เราก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผมดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย ได้อาศัยอยู่บนประเทศที่มีความสงบสุข และสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าประเทศไทยเราอยู่มาได้ด้วยความสงบสุขจนทุกวันนี้ เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ที่ดี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างเช่น พระนเรศวรและพระเจ้าตากสิน ที่ทรงกอบกู้เอกราช ออกต่อสู้กับข้าศึกด้วยความกล้าหาญ พระนารายณ์ที่ตรัสกับทูตฝรั่งเศสว่า "การที่จะเลือกใช้ศาสนาใดนั้น ขอให้ประชาชนเป็นผู้เลือกเองเถิด" เพราะพระองค์ทรงเล็งเห็นว่าถ้าเราไม่ยอมให้ฝรั่งเศสเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ฝรั่งเศสก็จะนำกำลังเข้ายึดประเทศไทย เนื่องจากอาวุธของเขาทันสมัยกว่า เป็นต้น จะเห็นได้ว่า พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ล้วนแล้วแต่มีพระปรีชาสามารถมาก แต่ปัญหาก็คือ ทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือประเภทนี้ หลายๆ คนคงต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า "เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ไม่มีความตื่นเต้นสนุกสนานเลย" เนื่องมาจากเนื้อหาส่วนใหญ่มากไปด้วยวิชาการ เหมือนกับการเรียนหนังสือในห้องเรียน จนกระทั่งผมเจอหนังสือเล่มหนึ่ง เขียนโดยนายคึกเดช กันตามระ พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2545 โดยสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 713 หน้า ราคา 350 บาท หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่าท้าวทองกีบม้า เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ ซึ่งตัวเอกของเรื่องคือ มารี กุลสตรีคนหนึ่ง เธอเป็นธิดาคนโตของเจ้าคุณฟ้านิด นามจริงๆ คือ ฟานิค เมื่อก่อนพ่อของนางเคยรับราชการเป็นพระยาศรีพิพัฒน์เจ้ากรมท่า ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ท่านสืบเชื้อสายมาจาก ดอน อัลฟองโซ ชาวโปตุเกสคนแรกที่เหยียบแผ่นดินสยาม ในรัชสมัยพระราชาธิบดีที่ 2 และเคยเป็นหัวหน้านายกองทหารอาสาโปรตุเกสไปรบที่เมืองเชียงกรานกับพม่าในรัชสมัยพระเจ้าไชยราชาธิราช ฝ่ายแม่คือ นางเออซุลา ยามาดา สืบเชื้อสายมาจากตระกูลนักรบ ญาติของนางคนหนึ่งชื่อ ยามาดา นางามาซา ทำชื่อเสียงจนได้เป็นยอดขุนพลมีราชทินนามว่า ออกญาเสนาภิมุข ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม มารีได้แต่งงานกับฟอลคอน หรือที่รู้จักกันดีในนามของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ในหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 81 ตอน มารีซึ่งเป็นตัวเอกจะเป็นตัวดำเนินเรื่องเป็นส่วนใหญ่ ในแต่ละตอนทำให้เราเห็นภาพกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ขณะเดียวกันก็ได้สัมผัสถึงบรรยากาศของการเมืองภายในแผ่นดินสยาม อย่างเช่น ในตอนหนึ่งได้กล่าวอธิบายไว้ว่า "ฟอลคอนนั่งเสลี่ยงเข้าวัง วางท่าอย่างขุนศึกผู้กำชัยชนะเลียบพระนคร แวดล้อมด้วยกองอาสาองครักษ์มีทั้งไทย ฝรั่งเศส โปรตุเกส และอังกฤษ เดินแถวแบกปืนคาบศิลา มหาชนชาวพาราละโว้สองฟากถนนปรบมือโห่ร้องแสดงความยินดีปรีดาต่อเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ผู้ปราบกบฏมักกะสันลงอย่างราบคาบ" นอกจากนี้ยังกล่าวถึงประเพณีต่างๆ อย่างเช่น ในตอนที่มารีคลอดบุตรคนแรก ทนายพุฒซึ่งเป็นผู้ช่วยงานของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ได้อธิบายถึงประเพณีที่ปฏิบัติกันมา "เขาไม่คลอดลูกกันบนเรือนใหญ่ขอรับ จะต้องสร้างเรือนพะไลออกมาต่างหากเป็นเรือนคลอด จะได้สะดวกก่อไฟทำกระโจม กระดานไฟ และ เออ เพลาน้ำคร่ำ ขอประทานอภัยขอรับ...จะได้ลงแผ่นดินไปเลย" ส่วนวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นหนังสือก็ได้กล่าวทำให้เราเห็นภาพ เช่น "พอมาถึงตลาดมารีกวาดสายตามองพ่อค้าแม่ขายที่มัวสาละวนอยู่กับงานกิจกรรมนานาชนิดอยู่ตามธรรมดาทุกวันของเมืองละโว้ ตามทางที่มารีเดินผ่านไป ช่างเหล็กร่างกายกำยำตีเหล็กที่วางอยู่บนทั่งด้วยค้อนใหญ่ เพื่อเป็นเครื่อง จอบ เสียม มีด พร้า ถัดไปเป็นร้านย้อมผ้า หญิงชายกำลังตากผ้าสีสดต่างกัน ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านทำขนม มีแม่ค้ากำลังปรุงขนมเบื้อง และบ้างก็ขายให้ผู้คนที่มายืนคอยเพื่อซื้อ เพื่อต้องการบริโภคทันทีที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ " ในตอนหลังมารีได้เข้ามาถวายงานในราชสำนัก นางปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดียิ่งจึงได้รับตำแหน่งเป็น "ท้าวทองกีบม้า" นางเป็นต้นตำรับการทำขนมไทยประเภท ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา และขนมอื่นๆ อีกมากมาย นางมีชีวิตยืนยาวไปถึงสี่แผ่นดิน คือตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระเพทราชา สมเด็จพระเจ้าเสือ และสมเด็จพระเจ้าอยู่ท้ายสระ ซึ่งผู้อ่านจะได้รับความรู้ด้านประวัติศาสตร์และเรื่องราวของนางโดยละเอียด จากการที่ผมเปรียบเทียบลักษณะความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อนกับสมัยนี้มันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมาก ในสมัยก่อนผู้คนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีการร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน เช่นการลงแขกเกี่ยวข้าว และอีกตัวอย่างก็คือ การที่มารีรับคนขอทานมาเลี้ยงดูในบ้าน แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการรังเกียจผู้ตกทุกข์ได้ยาก และที่สำคัญยังมอบโอกาสให้เขาอีกด้วย แต่สำหรับสังคมสมัยนี้นั้นกลับกันอย่างสิ้นเชิง เป็นสังคมที่ขาดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนยากคนจน เป็นสังคมที่เน้นแต่วัตถุ ซึ่งเป็นของนอกกาย เด็กที่เติบโตมาในสังคม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเร่งรีบ ต้องนั่งกินข้าวในรถระหว่างทางไปโรงเรียน แข่งกันเรียนหนังสือ เพื่อที่จะสอบได้คะแนนดีๆ ต้องนอนหลับในรถระหว่างทางกลับบ้าน ทำให้เด็กเกิดความเครียด สิ่งมอมเมาที่มีอยู่มากมายในสังคม การที่จะประคับประคองตัวเองให้เดินในทางที่ถูกต้องจึงถือได้ว่าเป็นเรื่องยาก บางครั้งที่ผมรู้สึกท้อแท้ อ่อนล้า ผมก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา เพื่อปลูกสร้างพลังชีวิตให้กับตนเอง หนังสือเล่มต่อไปที่ผมอยากจะแนะนำก็คือหนังสือที่มีชื่อว่าคมคำความคิด ของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นบทคัดสรรว่าด้วยเกร็ดชีวิตและข้อคิดเตือนใจ รวบรวมและเรียบเรียงโดย วิจิตรา รังสิยานนท์ บริษัทสร้างสรรค์ บุ๊ค จำกัด จัดพิมพ์ ราคาเล่มละ 95 บาท ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมความคิดในเกือบทุกๆ ด้าน และในการดำเนินชีวิต เช่น ครอบครัว การทำงาน การเรียน การคบเพื่อน เป็นต้น ข้อคิดในหนังสือเต็มไปด้วยความหมายเตือนใจ ปลุกใจ กระตุ้นให้เรามีกำลังใจ เกิดความคิด เกิดการมองโลกในแง่ดี มีแนวทางในการดำเนินชีวิต เข้าใจผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจตนเอง ผมสามารถนำข้อคิดมากมายไปใช้ประโยชน์ในการเรียนหนังสือ อย่างเช่น ข้อคิดในบทกำลังความคิดที่แจ่มใสได้กล่าวไว้ว่า "ในบรรดาคุณสมบัติทั้งหลายสมาธิมีความจำเป็นในทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะสร้างอำนาจของดวงจิต สร้างกำลังความคิด สร้างสมรรถภาพแก่มันสมอง อธิบายอย่างง่ายๆ สมาธิ หมายถึง ความตั้งใจแน่วแน่อยู่ในสิ่งที่ตนกำลังคิดและกำลังทำ ในขณะที่กำลังทำสิ่งหนึ่ง หรือกำลังคิดและกำลังทำ ในขณะที่กำลังทำสิ่งหนึ่ง หรือกำลังคิดถึงสิ่งหนึ่งก็สามารถห้ามใจไม่ให้วอกแวกระลึกถึงสิ่งอื่น หรือเอาความคิดเรื่องอื่นเข้ามาพัวพัน คิดอยู่อย่างเดียว มองอยู่อย่างเดียว มีความตั้งใจอยู่ในสิ่งเดียว จนกว่าจะเสร็จสิ้นธุระกับสิ่งนั้น" ในเรื่องการเขียนเรียงความนั้น ผู้เขียนได้ให้ข้อคิดไว้ว่า "ในการเขียนหนังสือนั้น ในขณะที่เราเขียนไป เราก็ต้องนึกตามไปด้วยว่าคนอ่านเขาจะพอใจอย่างที่เราต้องการให้เขาเข้าใจหรือไม่" หรืออีกตอนหนึ่งได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า "การที่เราจะพูดให้ใครฟังก็ดี เขียนให้ใครอ่านก็ดี เราต้องแบ่งตัวเราออกเป็นสองภาคในเวลาเดียวกัน คือเราต้องเป็นทั้งผู้พูด และผู้ฟัง ต้องเป็นทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน คำทุกคำที่เราพูดออกไป เราตั้งปัญหาถามตัวเองเสมอว่า ผู้ฟังเขาจะเข้าใจหรือไม่" หนังสือเล่มนี้ยังมีอีกหลายบทที่ให้ข้อคิดในด้านจิตใจ ให้มีกำลังใจต่อสู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น "ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์และสัตว์ให้ต่อสู้อุปสรรค ให้ออกแรง ทำความมานะพยายาม ถ้ามิฉะนั้นก็ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ปลาต้องว่ายน้ำ จึงจะหาอาหารได้ มนุษย์เราก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน เราจะมีชีวิตอยู่ได้จะหล่อหลอมอนาคตขึ้นได้ เราจะต้องเผชิญกับอุปสรรค ชีวิตไม่เคยเผชิญกับอุปสรรคจะไม่มีความก้าวหน้าแม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าวจะขึ้นลงได้ก็เพราะมันต้านลม ว่าวที่จะปลิวไปตามลมนั้น ก็คือว่าวที่ขาดลอย" และอีกบทหนึ่งกล่าวว่า "การที่จะเผชิญชีวิต หรือฟันฝ่าอนาคตให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เราต้องถือท้ายยึดพวงมาลัย ควบคุมทางดำเนินชีวิต เราจะต้องรับผิดชอบโดยถือหลักว่า ความดีความไม่ดีเป็นสิ่งที่เราสร้างของเราเอง เราจะต้องให้อนาคตอยู่ในบังคับและควบคุมของเรา และเพื่อการนี้เราจะต้องมีกำลังสามประการ คือ กำลังกาย กำลังความคิด และกำลังใจ..." ในเรื่องของการอ่านและการเลือกอ่านหนังสือนั้น ได้มีคำแนะนำไว้อย่างน่าฟังว่า "ควรเลือกหาหนังสือที่จะให้ความรู้ ไม่ควรอ่านหนังสือที่จะกลายเป็นยาพิษเบื่อเมาตัวเอง หนังสือบางเล่มเราเสียเวลาอ่านหลายๆ ชั่วโมงเมื่อจบแล้วก็มองไม่เห็นว่าเราได้ประโยชน์อะไร หรือคติอะไรขึ้นมาใหม่ หนังสือที่เป็นประโยชน์นั้นเมื่ออ่านจบแล้ว ทำให้เราได้คติอันใหม่อย่างใดอย่างหนึ่ง" "พยายามอ่านหนังสือเล่มเดียวให้ได้ดี เข้าใจดี จำข้อสำคัญได้ดี ดีกว่าที่จะอ่านหนังสือ 10 เล่มโดยจับหลักอะไรไม่ได้ พยายามที่จะล้วงหาความประสงค์ของผู้แต่ง การอ่านหนังสือก็ดี ฟังปาฐกถาก็ดี จงอย่าฟังแต่คำที่เขียนและพูด ต้องพยายามที่จะล้วงเอาความคิดของผู้เขียน ผู้พูด ซึ่งซ่อนอยู่นั้นขึ้นมาให้ทราบด้วย จากหนังสือสามเล่มที่ผมได้แนะนำจะเห็นได้ว่า ประโยชน์จากการอ่านหนังสือมีมากมาย นอกจากให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ให้ความรู้ในด้านต่างๆ แล้ว ยังทำให้เราได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด สำหรับผมแล้ว หนังสือคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม ที่สร้างเสริมความคิดและสติปัญญา การอ่านหนังสือเป็นการเปิดประตูสู่โลกกว้างให้กับตนเอง แต่ก่อนที่เราจะเปิดประตูบานต่อไป ที่อยู่ไกลออกไปจากตัวเรา เราจะต้องรู้เสียก่อนว่าตัวตนของเราคือใคร มีบรรพบุรุษมาจากไหน ทำไมเราจึงมีความเชื่อความคิดแบบนี้ มีวัฒนธรรม ประเพณีเช่นนี้ การรู้จักตนเองทำให้เรามีรากฐานทางความคิดที่แน่น ไม่รู้สึกสับสนในเวลาที่ต้องตัดสินใจ และเมื่อเจอวัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ จากต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามา จะทำให้เราทราบว่า แบบไหนคือไทยแท้ วัฒนธรรมของเขาแบบไหนที่สามารถจะนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับของเราได้ การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยทำให้เรารักและหวงแหนความเป็นไทย การอ่านวรรณคดีทำให้เราทราบถึงจินตนาการ ความคิด ความเชื่อ ของบรรพบุรุษของเราที่สอดแทรกไว้ในวรรณคดีเรื่องต่างๆ และการรับรู้แนวคิดแบบไทยๆ ทำให้เราเข้าใจตนเอง และก้าวไปข้างหน้าอย่างคนมีสติ และมั่นคง |