น.ส. นารินทร์ญา อภัย

มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนฝางชนูปถัมภ์ อ. แม่อาย จ. เชียงใหม่

เรื่อง และแล้วฉันก็เจอ…

ในชีวิตของคนทุกคนล้วนแต่มีการไขว่คว้าและค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ บางคนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่กับบางคนแล้วต้องเดินทางหรือค้นหาทั้งชีวิต ดังนั้นการสั่งสมประสบการณ์ให้กับชีวิตก็เป็นส่วนสำคัญ ที่จะช่วยให้เราค้นหาตัวเองและค้นพบในสิ่งที่ต้องการ การอ่านหนังสือก็เป็นวิธีหนึ่งที่เราจะได้สั่งสมประสบการณ์ที่ดี และเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาให้เจริญงอกงาม เพราะหนังสือทุกเล่มทุกเรื่องล้วนแต่มีความมหัศจรรย์รอให้คนอ่านได้ค้นหา ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความคิด จินตนาการ โลกทัศน์ใหม่ที่กว้างไกล และการอ่านหนังสือยังเป็นการสะท้อนภาพหรือจินตนาการ ของสิ่งที่เราสนใจอยู่ได้ดีกว่าการฟังจากผู้อื่น หรือดูเพียงอย่างเดียว

และเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันล้ำค่าจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการอ่านหนังสือไม่ว่าจะเป็นหนังสือประเภทต่างๆ เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย ทรรศนะข้อคิดเห็นของบุคคลต่างๆ ซึ่งยกตัวอย่างมานี้ล้วนแต่เป็นงานเขียนที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ เพราะเป็นงานเขียนที่ทำให้เกิดจินตนาการและคิดร่วมไปพร้อมๆ กับนักเขียนที่มีกลวิธีการนำเสนอผลงานในรูปแบบที่หลากหลาย อีกทั้งงานเขียนประเภทนี้เป็นงานเขียนที่ต้องใช้ศาสตร์ของศิลปะและความสามารถที่มีอยู่ออกมาใช้ให้มีคุณค่า จึงไม่ง่ายเลยที่กว่าจะเป็นหนังสือสักเล่มหนึ่งให้เราได้อ่าน และจากประสบการณ์การอ่านที่ผ่านมาก็มีหนังสือหลายเล่มหลากหลายรูปแบบ แต่ที่มีความประทับใจมากและคิดว่ามีคุณค่าควรแก่การแนะนำให้เพื่อนๆ ได้เลือกอ่านกัน ทั้งสามเล่ม คือ คิดถึงทุกปี ช่างสำราญ และวัยรุ่น

เล่มแรก คิดถึงทุกปี เป็นผลงานของนักเขียนนักเดินทางหลังอาน ซึ่งมีนามว่า บินหลา สันกาลาคีรี เป็นงานเขียนประเภทเรื่องสั้น มีทั้งหมดเก้าเรื่อง แต่เป็นเก้าเรื่องที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี เพราะผู้เขียนใช้เวลานานกว่า 7 ปี ในการรวบรวมเรื่องสั้นเหล่านี้ ใช้ประสบการณ์ที่มีและจากการเดินทางท่องเที่ยวไปต่างแดนของผู้เขียนเองมาเป็นเรื่องสั้น ซึ่งแต่ละเรื่องเป็นเหมือนการบันทึกเรื่องราวความนึกคิดของตัวเองลงไป หรือถ่ายทอดประสบการณ์ของคนอื่น ดังเช่น เรื่องนครคนดี ซึ่งแค่ฟังชื่อข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกใจว่านครคนดี มีเมืองที่ชื่อแบบนี้ด้วยหรือ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของน้อง คือคนที่ผู้เขียนเขียนถึง ซึ่งน้องนี่แหละ เป็นคนไปเที่ยวที่นครคนดีและเขียนประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นมาเล่าให้ฟัง เพราะน้องเป็นคนชอบการเดินทาง เธอเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆ อย่างไม่เคยหยุด เธอไม่เคยคิดว่าการท่องเที่ยวเป็นการสิ้นเปลือง เพราะเธอไปแบบนักท่องเที่ยวที่ไปเพื่อต้องการเที่ยวจริงๆ อีกทั้งเธอยังไม่เคยกลัวที่จะต้องเดินทางคนเดียว

น้องเดินทางไปนครคนดีด้วยรถไฟ ดังนั้นเธอจึงระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่นอนหลับอยู่ พอรุ่งเช้าเธอจะสะดุ้งตื่น เห็นชายร่างผอมโทรมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ จ้องมาที่เธอ เธอจึงคิดว่าเขาเป็นขโมยเพราะท่าทางให้มาก แต่พอเขาแนะนำตัวจึงรู้ว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรบอกให้เธอไปวัดหน้าและถ่ายรูปที่กรมศิลฯ ซึ่งคงจะเป็นธรรมเนียมของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่ต้องทำกัน พอรถไฟจอดถึงสถานี น้องเดินไปตามถนน เธอเห็นอนุสาวรีย์ต่างๆ มากมายโดยไม่ซ้ำกันเลย ที่เห็นชัดๆ ก็รูปคนหนึ่งยืนเด่นตระหง่าน สายตามุ่งมั่น มือขวากำชูขึ้นฟ้า และมือซ้ายอุ้มหมูออมสินแนบอก พอเธอเหลียวมองไปทางไหนก็มีแต่อนุสาวรีย์ เป็นอนุสาวรีย์ของคนดี แต่แปลกพิกลเพราะความจริงคนดีเหล่านี้ตายหมดแล้ว น้องเดินไปพบราชา (ชื่อของชายที่พบเมื่อเช้านี้) แต่ท่าทางที่เห็นครั้งนี้คือความสงบเยือกเย็นเวลาทำงาน กับผู้ชายร่างอ้วนที่ชี้นิ้วสั่งงานเขาแล้วเดินส่ายพุงออกไป ระหว่างที่เดินทางไปวัดหน้าและเอกซเรย์ดูรูปโครงศีรษะกันนั้น ราชาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนละคน เขาคุยเรื่องต่างๆ อย่างไม่หยุด เขาเล่าว่าเมื่อก่อนสมัยหนุ่มๆ ไม่รอบคอบพอ ไม่ได้ถ่ายรูปและจดสัดส่วนเอาไว้ คราวไหนที่คนดีถูกฆ่าชนิดศพเละ ก็ลำบากกับการทำงานมาก ถึงแม้เธอจะพะอืดพะอมแต่ก็แข็งใจถามว่าใครคืออนุสาวรีย์อุ้มออมสินหน้าธรรมเนียบ เขาจึงเปิดดัชนีค้นและอ่านให้ฟัง “อนุสาวรีย์วีรบุรุษหมายเลข 65 เดิมเป็นข้าราชการกรมสรรพากร ตายตอนอายุ 32 เพราะเปิดโปง ส.ส. ที่รวมกันเก็บภาษีเด็กนักเรียนอนุบาลแล้วมุบมิบเอาเงินไปเที่ยวเมืองนอก” และอีกหลายแท่น พบว่า ผู้หญิงที่สวมชุดมูมู่ยืนเท้าสะเอวบนถังขยะ เป็นวีรสตรีแม่บ้านผู้ไม่ยอมจ่ายภาษีให้มาเฟียเก็บขยะ ยังมีนักข่าวคนหนึ่งที่ตายเพราะแฉเบื้องหลังการค้าอาวุธของนายทหารใหญ่ ส่วนเด็กนักเรียนถูกกระเป๋ารถเมล์ถีบตกรถ ทันทีที่อ้าปากทวงสตางค์ทอน พอพูดคุยกับราชาไปเรื่อยเปื่อย จึงได้รู้ว่าผู้ชายคนที่อ้วนและชอบเอานิ้วชี้สั่งคนนั้นแหละเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นมาหลายสมัย สมัยนี้ก็คงจะได้เป็นอีก เพราะคู่แข่งที่เคยชิงดีชิงเด่นกันก็กลายเป็นอนุสาวรีย์ไปแล้ว พอเธอถามว่าเขาไม่มีทางเลือกหรือ เขาจึงตอบว่าก็เพราะเขาเลือกที่จะเป็นคนเลวที่ยังมีชีวิตอยู่ คนอื่นๆ ก็เลือกเป็นเหมือนเขานี่แหละ เธอฟังแล้วแทบหดหู่ใจคิดถึงเมืองไทยขึ้นมาทันที ก่อนการเดินทางกลับโดยรถไฟ ยังพอมีเวลาเหลืออีกมาก น้องจึงคิดว่าจะไปดูหนังสักรอบด้วยซ้ำ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เพียงก้าวจะขึ้นชานชาลา ใครคนหนึ่งเอื้อมมาคว้าข้อมืออย่างแรงแล้วข่มขู่ให้เธอไปเลือกตั้ง ทั้งที่เธอบอกว่าไม่ใช่คนเมืองนี้ แต่คนที่ไปเลือกตั้งก็ล้วนแต่ไม่ใช่คนเมืองนี้ ต่างก็โดนบังคับมาทั้งนั้นให้เลือกนายอ้วน ทั้งที่อยากจะแกล้งให้แสบ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะยังมีผู้ชายร่างใหญ่ยืนคุมอยู่ที่ตู้ลงคะแนนเสียง กลับจากนครคนดีคราวนั้น น้องจึงเปลี่ยนไปมาก บางครั้งก็ถามลอยๆ ว่า รู้ไหมที่นครคนดีมีคนดีมากกว่าเมื่อวานกี่คน

นอกจากเรื่องนครคนดีแล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น คิดถึงทุกปี เรื่องราวความรักที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ งางอน เรื่องของช้างแสนรู้ที่เป็นเพื่อนรักกับพรานกะเหรี่ยงมาตั้งแต่เด็กๆ และพรานเกือบจะต้องฆ่าเพื่อนรักเพื่อเอางาของมันมาให้นายทุนหน้าเลือด งามแสงดาว เรื่องราวของความตื่นเต้นกับการจะได้เห็นหน้าของลูกคนแรก ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของรวมเรื่องสั้นคิดถึงทุกปี แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าอ่านน่าสนใจ ไม่แพ้เรื่องที่กล่าวมาแล้ว

และอีกเล่มหนึ่งคือ ช่างสำราญ นวนิยายร่วมสมัยของนักเขียนมือทอง เดือนวาด พิมวนา และหนังสือเล่มนี้เองที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2546 ซึ่งผู้เขียนได้ใช้ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ สิ่งรบกวนสมาธิ ความวุ่นวายที่พบเจอทุกวัน เขียนเป็นนวนิยายเล่มนี้ขึ้นมาที่มีความหลากหลายของเนื้อหาและอรรถรสการเขียน

ช่างสำราญ เป็นเรื่องราวของเด็กชายวัย 5 ขวบ นั่นก็คือ กำพล ช่างสำราญ ที่ถูกละเลยทอดทิ้งจากผู้เป็นพ่อและแม่ เพราะทั้งสองแยกทางกันและไม่มีใครจะแบกภาระเลี้ยงดูกำพล เขาจึงถูกปล่อยให้อยู่กับชาวชุมชนบ้านคุณแม่ทองจันทร์ ซึ่งก็เป็นเพื่อนบ้านของพ่อกับแม่ของเขาเอง กำพลจึงเป็นเด็กที่ทุกคนให้ความเอ็นดูสงสาร จึงช่วยเหลือด้วยการเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ ให้ที่นอนกับกำพลหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสามารถเลี้ยงดูเป็นผู้ปกครองได้ตลอด เพราะคนในชุมชนนี้ล้วนแต่มีฐานะยากจน ทำให้กำพลต้องหยุดเรียนไป 1 ปี และระหว่างนั้นเขาก็ทำงานช่วยชาวบ้านแถวนี้ได้เป็นค่าขนมบ้าง อย่างไรก็ตามกำพลก็ยังอยากให้ครอบครัวของเขาได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ เพราะบางเวลาเขาก็รู้สึกเหงาและอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ แต่ด้วยความเป็นอยู่และสถานการณ์ต่างๆ บังคับให้เขาต้องเป็นเด็กที่เข้มแข็ง กล้าที่จะเผชิญกับความจริง แม้เขาต้องเจ็บปวดเพียงใด

และเล่มสุดท้ายคือผลงานเขียนของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท ปรมาจารย์ผู้มีผลงานเป็นเลิศทางด้านการประพันธ์ ที่ทิ้งมรดกทางความคิดที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศไทย นั่นก็คือ วัยรุ่น หนังสือที่สะท้อนแนวคิดเรื่องราวของวัยรุ่นในมุมมองต่างๆ ให้แก่ผู้อ่านทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัววัยรุ่นเอง ผู้ปกครอง ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ที่ดูแลบ้านเมือง ให้ได้ศึกษาเรียนรู้พฤติกรรมอันล่อแหลม และจะหลีกเลี่ยงการกระทำนั้นอย่างไร วัยรุ่น ผลงานเขียนเล่มนี้เป็นข้อเขียนที่มีอรรถรสและเป็นผลึกความคิดที่มีประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งท่านได้เขียนถึงวัยรุ่นในหลายมุมโลก หรือแม้กระทั่งวัยรุ่นไทยเอง เกี่ยวกับปัญหาที่มีมานานและควรจะได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง

โดยแบ่งข้อเขียนออกเป็นตอนๆ ดังเช่น ตอน พ่อสอนลูก กล่าวถึงปัญหาการอบรมเลี้ยงดูบุตร เป็นเพราะอะไรเด็กวัยรุ่นปัจจุบันจึงมีความเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว และมีแนวโน้มว่าปัญหาของวัยรุ่นจะทวีความรุนแรงกลายเป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องแก้ไข และย้อนกลับไปว่าในอดีตเกิดความผิดพลาดประการใด ท่านเชื่อว่าผลจากการอบรมเด็กของผู้ใหญ่สมัยก่อนทำให้เราได้ผู้ใหญ่สมัยปัจจุบัน ซึ่งพิจารณาดูแล้วก็ชักจะเห็นว่าผู้ใหญ่สมัยก่อนนั้นถึงจะดีทางอื่นสักเท่าไร ก็ยังหย่อนความสามารถในการอบรมบุตรอยู่ เพราะผู้ใหญ่ในปัจจุบันอันเป็นผลงานของการอบรมนั้นใครก็รู้ว่าไม่ดีนัก ผู้ใหญ่ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของเด็กบ้าง และเด็กก็ต้องรู้จักรับฟังอย่างมีเหตุผล เพราะทุกอย่างในโลกล้วนแต่มีเหตุ และก็อย่าไปยอมรับคำบอกเล่าใดๆ จากผู้ใหญ่โดยมิได้ถามสาเหตุ จนกว่าจะได้รับคำอธิบายนั้น และปัจจุบันปัญหาวัยรุ่นเป็นปัญหาของทุกประเทศ หรือแม้กระทั่งประเทศไทยเอง ซึ่งมีสาเหตุหลายประการด้วยกันคือ

ประการแรก เด็กวัยรุ่นเหล่านี้มาจากครอบครัวที่แตกแยก (broken home)

ประการที่ 2 เกิดจากปัญหาในครอบครัว ที่พ่อแม่ทะเลาะวิวาทเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับลูก ทำให้ลูกไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ขาดความใกล้ชิดในครอบครัว และส่วนใหญ่จากการศึกษาวิจัยจะเป็นครอบครัวที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรมที่มีความเจริญแล้วของทุกประเทศ

ประการที่ 3 จาการคบค้าสมาคมกับเพื่อนต่างเพศ หรือเพศเดียวกันที่เกิดการรวมตัวกันเป็นแก๊ง เป็นก๊ก หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของวัยรุ่นที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จิตใจยังอ่อนวัยเกินไป จึงไม่สามารถดูแลตัวเอง และทำให้เกิดปัญหาโดยที่ไม่ทันได้คิด เช่น ปัญหาชู้สาว

ประการสุดท้าย เกิดจากการเลี้ยงดูหรืออบรมที่ผิดของพ่อแม่ซึ่งตามใจเด็กจนเกินไป ไม่สร้างความเชื่อถือให้กับลูก ทำให้ลูกไม่เชื่อฟังและขาดความเคารพยำเกรง

ถึงเวลาแล้วที่รัฐจะต้องเข้ามามีส่วนช่วยเหลือหรือรับผิดชอบ อย่างการก่อตั้งสถานอบรมเด็กที่เคยกระทำผิดให้ได้สำนึก และปรับปรุงตัวเองใหม่ให้เป็นคนดีของสังคมได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นนโยบายที่ต้องนำมาใช้ในอนาคตเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน

จากการที่ได้อ่านหนังสือทั้งสามเล่มสามรูปแบบนี้ วิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่ได้รับและคุณค่า หรือข้อคิดทรรศนะที่ได้ย่อมแตกต่างกันไป เริ่มจากเล่มแรก คิดถึงทุกปี งานเขียนเรื่องสั้น ที่มีข้อคิดคติเตือนใจที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะทุกเรื่องล้วนแต่เป็นประสบการณ์ชีวิตของผู้เขียนเองทั้งในเรื่องการงาน ความรัก ครอบครัว ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ถ่ายทอดลงมาในงานเขียน ซึ่งสามารถนำการกระทำบางอย่างที่เป็นข้อผิดพลาดที่ถูกนำมาเล่าไว้เป็นบทเรียน

และอีกเล่มคือ ช่างสำราญ งานเขียนนวนิยายที่แฝงข้อคิดคติเตือนใจไว้มากมาย แต่จะเน้นที่สถาบันครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ เพราะครอบครัวเป็นส่วนเล็กที่สุดในสังคม ถ้าเกิดปัญหาในครอบครัวขึ้น อย่างครอบครัวของกำพล เด็กคือคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ อันจะส่งผลตามมาในสังคมอีกทอดหนึ่ง ซึ่งทุกคนในชุมชนนั้นต้องช่วยกันรับผิดชอบดูแลกำพล แม้ว่าสังคมนั้นจะเป็นสังคมของคนที่มีฐานะยากจน แต่ทุกคนก็ยังมีความรับผิดชอบต่อสมาชิกคนหนึ่งในสังคมที่ถูกทอดทิ้ง ทุกคนจึงให้ความเมตตาและสงสารกำพล ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นสายใยความผูกพัน ในสังคมเล็กๆ ที่หลงเหลืออยู่จริงของสังคมไทย

และสุดท้าย วัยรุ่น งานเขียนแสดงแนวคิดและปรัชญาเกี่ยวกับวัยรุ่น เป็นผลงานที่สะท้อนปัญหาสังคมและมีคุณค่ายิ่งสำหรับทุกเพศทุกวัย เป็นสื่อที่สร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ใหญ่กับวัยรุ่นให้เป็นไปในทางเดียวกัน ซึ่งข้าพเจ้าเองก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง พอได้อ่านงานเขียนเล่มนี้แล้วทำให้เข้าใจผู้ใหญ่มากขึ้น ว่าทำไมผู้ใหญ่ต้องว่าอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ กระทั่งผู้ใหญ่เองก็ตาม ถ้าได้อ่านเล่มนี้แล้วจะเข้าใจวัยรุ่นได้มากขึ้น ทำให้ทรรศนะต่างๆ ที่เป็นความเชื่อมานานเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยรุ่นเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ถูกต้อง จะเข้าใจและรู้ในความต้องการของวัยรุ่น ทำให้ช่องว่างระหว่างวัยลดลง และคนในสังคมทุกเพศทุกวัยก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

อนึ่งในการอ่านหนังสือทั้งสามเล่ม ซึ่งเป็นสามงานเขียนสามรูปแบบ ที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละงานเขียน ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ทักษะทางภาษาและศิลปะการประพันธ์ที่มีความแตกต่างกันตามประเภทของงาน โดยเริ่มที่คิดถึงทุกปี เป็นการนำเสนอเรื่องสั้นที่หลากหลาย แต่จะเน้นให้ตัวผู้เขียนเองเป็นคนถ่ายทอดเรื่องราวนั้น เพราะสามารถสอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของตัวเองลงไปได้ ประกอบกับการใช้ภาษาและสำนวนที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายทำให้เกิดจินตนาการร่วมไปกับผู้เขียน และตอนจบของแต่ละเรื่องยังทิ้งท้ายไว้ให้คนอ่านได้คิด

แต่กับช่างสำราญ นั้นเป็นนวนิยายที่ผูกเรื่องมาจากนิยามของคำว่า “ชีวิตในโลกที่ถูกละเลย” ซึ่งเป็นโจทย์ที่ผู้เขียนเองได้ตั้งไว้ และนำเสนอเรื่องราวผ่านการดำเนินเรื่องของตัวละคร และใช้ภาษาที่สอดรับกับตัวเนื้อเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ผู้เขียนนำเสนอเรื่องราวแยกย่อยเป็นบทต่างๆ ซึ่งมีประเด็นคมชัดในตัวเอง และยังร้อยเรียงเป็นเอกภาพที่ทำให้เราเข้าใจสภาพของสังคมได้ชัดเจน เหมือนเป็นภาพจำลองของสังคมไทยที่มีอยู่จริง

และสุดท้ายวัยรุ่น งานเขียนประเภทแนวคิด ทรรศนะต่างๆ แม้ว่าเวลาที่เขียนกับปัจจุบันจะต่างกันมากก็ตาม แต่ก็เป็นที่ยอมรับอยู่แล้วว่าปัญหาเด็กวัยรุ่นยังคงอยู่ทุกยุคทุกสมัยและงานเขียนนี้ยังเป็นงานเขียนเข้ายุคสมัยได้ดี เพราะมีการนำเสนอได้สอดรับกับแนวคิดของแก่นเรื่อง คือ เรื่องของวัยรุ่นได้อย่างน่าสนใจ ใช้ภาษาได้แยบยลทำให้งานเขียนได้อรรถรสของข้อเท็จจริง หรือทรรศนะของท่านเองซึ่งนับว่าเป็นปรัชญาและแนวความคิดที่มีคุณค่ายิ่งแก่สังคมไทย

ดังนั้นหนังสือทั้งสามเล่มนี้จึงมีคุณค่ายิ่งสำหรับเยาวชนไทย ได้เลือกอ่านงานเขียนที่มีรูปแบบแตกต่างกัน แต่มีคุณค่าทั้งให้ความรู้สึกนึกคิด คติเตือนใจ และคุณค่าความงามทางวรรณศิลป์ที่ให้กับผู้อ่านเหมือนๆ กัน เพราะงานเขียนทั้งสามเล่มนี้ เต็มไปด้วยพลังของความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ คติเตือนใจ ปรัชญาในการดำรงชีวิต ที่รอให้คนที่รักการอ่านอย่างเพื่อนๆ ทุกคนได้ไปสัมผัส และค้นพบสิ่งที่ทุกคนอยากไปสัมผัส ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาไปบ้าง แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาคุ้มค่ามากกว่าเวลาที่เสียไป เพราะการอ่านหนังสือไม่เคยทำให้คนเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่ทุกคนมีอยู่ ก็จะได้รับการบ่มเพาะให้เจริญงอกงาม เขียวขจี มีชีวิตชีวาอยู่กับตัวเราตลอดไป