|
นายภักดี ไชยหัดชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนภูเวียงวิทยาคม อ. ภูเวียง จ. ขอนแก่น | ||||||||||||||||||||
เรื่อง ...ถามซีไรต์ สามเล่มว่า "ชีวิตคืออะไร?"เพื่อนนักอ่านที่รัก, เธออาจสงสัยว่าเรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ขอตอบว่ามันก็คือเรื่องเดียวกันกับเรื่องในหนังสือที่เธอเคยอ่านหรือกำลังจะอ่านนั่นแหละ มันเป็นเรื่องของ ชีวิต ชีวิต คือ การต่อสู้ อัญมณีแห่งชีวิต : อัญชัน เมื่อเราเกิดมีตัวตนขึ้นมา การต่อสู้เป็นสภาวะที่ไม่อาจหลีกพ้น "อัญชัน" บอกเล่าเรื่องราวสามัญที่สุดของสิ่งมีชีวิตที่ต่อสู้ดิ้นรนอยู่บนโลก... "โลกที่มีทั้งให้มาและพรากเอาไปจากสรรพชีวิตโดยเท่ากันหมด ไม่มีชีวิตใดสำคัญเกินกว่าจะถูกละเว้น ไม่มีชีวิตใดเป็นธุลีจนถูกข้ามกระบวนการ" (น. 95) ผ่านเรื่องสั้น 11 เรื่องในอัญมณีแห่งชีวิต เปิดเล่มด้วย แม่ครับ เรื่องราวการต่อสู้กับภาวะภายใจจิตใจของ หนุ่ย ซึ่งมีเหตุมาจาก "แม่" ของหนุ่ยเพิ่งตายลงเมื่อ 2 คืนที่แล้ว (น. 11) เรื่องราวดำเนินไปอย่างเนิบนาบแต่ตรึงสะกดผู้อ่านด้วยภาษาละเมียดละไม เร้าให้รู้สึกหม่นเศร้าตามไปกับหนุ่ยผู้ซึ่งท้ายที่สุดแห่งการต่อสู้แล้วพบว่า "ถ้าหนุ่ยอยากเจอแม่ แม่ไม่ได้ไปไหน แม่อยู่ในจังหวะและเพลงที่หนุ่ยร้อง อยู่ใน ก ไก่ ข ไข่ ที่หนุ่ยเขียน แม่อยู่ในภาพวาดตัวการ์ตูนที่หนุ่ยวาด อยู่ในก้อนดินเหนียวดินน้ำมันที่หนุ่ยรักจะปั้น แม่อยู่ในนี้ ในหัวใจดวงเล็กๆ แต่สร้างสรรค์จินตนาการได้ไม่สิ้นสุดของหนุ่ยดวงนี้" (น. 22) เรื่องสั้นที่น่าเอ็นดูอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ปลาหางเปีย การต่อสู้กับระบบสังคมประเพณีและค่านิยมเกี่ยวกับสิทธิสตรีในสมัยก่อนของเด็กหญิงปล้องผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ พฤติกรรมของเด็กหญิงดูจะสร้างความไม่ปกติสุขให้กับผู้คนรอบข้างอย่างไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวหนังสือล่องหน เรื่องตั้งไข่ไม่ล้ม และเรื่องจิปาถะอื่นๆ จนกระทั่งเรื่องร้อนไปถึง คุณยาย ผู้เป็นเสมือนประมุขของบ้าน ความในใจทั้งมวลของปล้องก็มาปะทุเอาตอนนี้ "คุณยายคะ จริงหรือเปล่าคะที่ป๊อดมันบอกว่าคุณตา-ไม่อยากให้ปล้องเกิด" (น. 41-42) เหตุการณ์เล็กๆ นี้เองเป็นเสมือนกระบอกเสียงที่ป่าวบอกความจริงในสังคมของเรา ซึ่งผู้เขียนได้ชี้ทางออกอันงดงามของปัญหานั่นก็คือ การรอมชอม หม้อที่ขูดไม่ออก เรื่องสั้นที่บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้กับบรรดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันของหล่อน ผู้ซึ่ง "...ทำใจเป็นของธรรมดาไม่ได้สักครั้งขณะที่ตกอยู่ในวงล้อมของคน ที่คนต่อคนด้วยกัน พร้อมอกพร้อมใจกันติดเขี้ยวก่อนที่จะลงมือแล่เนื้อเถือหนังกันออกมากัดกินหน้าตาเฉย ในทันทีที่ใครก็ตามมีอันเพลี่ยงพล้ำ..." (น. 65) แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่สามารถหลีกหนีการเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนั้นได้เลยโดยเฉพาะสามีผู้ร้ายกาจของหล่อนเองซึ่งหล่อนต้องตกเป็นเบี้ยล่างของเขาตลอดมา เราคงสังเกตเห็นว่าการที่หล่อนพ่ายแพ้ผู้อื่นอยู่ร่ำไปนั้นก็เพราะเหตุว่าหล่อนไม่เคยเอาชนะความอ่อนแอภายในจิตใจของตนได้เลยสักครั้ง เพื่อนร่วมทาง เรื่องราวการต่อสู้กับภาวะจิตใจอันเลวร้าย ด้วยกลวิธีแยบยลทางภาษาสร้างจินตภาพอันน่าสะพรึงกลัว นำเราเข้าไปสัมผัสถึงก้นบึ้งภายในใจของรอดซึ่งกำลัง "เหนื่อยอ่อนทั้งชีวิตจิตใจจากการกระทำสาหัสสากรรจ์อย่างหนึ่งที่ตนทิ้งเตลิดเอาไว้เบื้องหลัง" (น. 101) การขับเคี่ยวระหว่างความเลวร้ายภายในจิตใจกับสำนึกชั่วดีของรอดนั้นได้ทรมานรอด ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งถึงจุดจบอันน่าสลดใจ เรื่องสั้นที่น่าสนใจมากอีกเรื่องหนึ่งก็คือ สมรภูมิ ผู้เขียนตอกย้ำอีกคำรบว่าการต่อสู้เป็นสภาวะตามธรรมชาติด้วยการฉายภาพปรากฏการณ์สามัญของการบริโภคเป็นทอดๆ จากสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิต หมุนวนเป็นวัฏฏะ อย่างนี้ไม่รู้จบรู้สิ้น สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดต่างก็ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อดำรงไว้ซึ่งความมี ชีวิต ทั้งนั้น ชีวิต คือ การเดินทาง ม้าก้านกล้วย : ไพวรินทร์ ขาวงาม ชีวิตของเราไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ มันเดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่เสมอ จากโลกความฝันสู่โลกความจริง จากโลกแคบๆ ไปสู่โลกไร้พรมแดน จากโลกเล็กๆ สู่โลกที่แปลกต่าง ไพวรินทร์เป็นหนุ่มนักฝันที่เดินทางรอนแรมโดยมี ม้าก้านกล้วย ซึ่งเปรียบเสมือนตัวความฝัน นำพาเขาจากมาจากแผ่นดินถิ่นทุ่ง สู่แผ่นดินถิ่นเมือง กระทั่งถึงแผ่นดินถิ่นใด การเดินทางไปมาระหว่างโลกอันแตกต่างทำให้ไพวรินทร์มองโลกและชีวิตในมุมมองอันหลากหลาย เขาถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นด้วยความเข้าใจในบทกวีงดงามร่วมสมัย ม้าก้านกล้วย ไพวรินทร์นำเราเข้าสู่เรื่องราวซึ่งเปรียบเสมือนบันทึกการเดินทางของตนเองด้วยบทกวีสี่บทที่มีชื่อเดียวกับหนังสือ บทกวีทั้งหมดเสนอภาพรวมของชีวิตผู้เขียนกับการเดินทางจากสังคมชนบทซึ่งเปี่ยมด้วยความรักความอบอุ่นสู่ความเปลี่ยวเหงาในสังคมเมือง นอกจากจะเป็นบทบันทึกชีวิตของตนแล้ว ม้าก้านกล้วย ยังเป็นบทบันทึกโฉมหน้าของยุคสมัยในยุคที่เทคโนโลยีครอบงำความนึกฝันของมนุษย์อีกด้วย
ไพวรินทร์เติบโตขึ้นมาจากสังคมชนบท เขาจึงมีความผูกพันลึกซึ้งกับธรรมชาติที่มีอยู่รายรอบด้าน ขณะเดียวกันไพวรินทร์ก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแผ่นดินที่เขารัก บทกวีในภาคที่ 1 จึงมักแสดงให้เห็นทั้งความงดงามและความเสื่อมถอยของแผ่นดินถิ่นทุ่ง ในขณะเดียวกัน
ในภาคที่ 2 บทกวีแต่ละบทเสมือนเป็นกระจกเงาแต่ละบานที่สะท้อนภาพของแผ่นดินถิ่นเมืองได้อย่างหมดจด ผู้เขียนกำลังแสดงให้เราเห็นว่ามิใช่แต่เฉพาะแผ่นดินถิ่นทุ่งเท่านั้นที่ถูกคุกคาม แต่แผ่นดินถิ่นเมืองเองก็กำลังโดนความเจริญอันไร้รากเล่นงานเช่นเดียวกัน แนวคิดนี้ปรากฏเด่นชัดในบทกวี "แม่น้ำที่รัก" "อารมณ์กรุงเทพ" "เด็กน้อยในเมืองใหญ่" และ "แม่ศรีคณิกา" ภาคที่ 3 แผ่นดินถิ่นใด แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการและมุมมองในการมองโลกของผู้เขียนที่กว้างขึ้น นำเสนอด้วยบทกวีที่มีแนวคิดหลากหลาย ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดที่เขามีต่อโลกและชีวิตด้วยลำนำแห่งบทกวีที่สมบูรณ์งดงาม ม้าก้านกล้วย จึงเป็นเพชรเม็ดงามแห่งวงวรรณกรรมที่สะท้อนความเป็นจริงอันขมขื่นและสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ในขณะเดียวกัน ชีวิต ก็คือ ชีวิต ช่างสำรวจ : เดือนวาด พิมวนา นานนับแล้วที่มนุษย์บางคนมัวแต่แสวงหาหนทางแห่งการบรรลุเมื่อสิ้นวาระสุดท้ายแห่งชีวิต จนบางทีพวกเขาก็หลงลืมที่จะหันมามองชีวิตในแบบที่มันเป็นจริงๆ และเมื่อสิ้นวาระจะสิ้นลมจริงๆ มาถึงพวกเขาก็ได้แต่เสียใจว่า ชีวิตที่มีอยู่แค่หนึ่งของพวกเขานั้น พวกเขายังไม่ได้ใช้มันให้คุ้มเลย เดือนวาดไม่ใช่นักปรัชญา เดือนวาดเป็นนักเขียน แล้วก็เป็นนักเขียนที่ซื่อสัตย์ต่อความจริงเสียด้วย เรื่องราวที่เธอถ่ายทอดออกมาจึงเต็มไปด้วยชีวิต ไม่ว่ามันจะเป็น "ชีวิตชนิดใด" (น. 14) ก็ตาม "กำพล ช่างสำราญ ตัวดำและนัยน์ตาโตโศกสลด ตุหรัดตุเหร่กินนอนไม่เป็นที่เป็นทาง ครอบครัวของเขาเคยเช่าห้องแถวอยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก หลายเดือนที่แล้วแม่มีชู้ ต่อมาแม่หนีไปและพ่อบอกคืนห้องเช่าเพราะไม่มีเงินจ่าย น้องชายอายุหนึ่งขวบพ่อพาไปฝากไว้กับย่า ส่วนกำพลพ่อกลับมาหาอาทิตย์ละครั้ง" (น. 35) เรื่องของเรื่องก็เป็นอย่างนี้เอง แม้ว่าชีวิตของกำพลจะน่าเศร้าตามคำบอกเล่าของผู้เขียนข้างต้น แต่แน่นอนกำพลยังมีชีวิตอยู่และเขาจะต้องใช้ชีวิต โลกของกำพลคือชุมชนห้องแถวคุณแม่ทองจันทร์ ผู้คนบนโลกของกำพลก็มีไม่มากนักมี เฮียชง ประสิทธิ์ ไอ้อ้น ไอ้จั๊ว อำพัน สัปเหร่อบังเกิด ลุงดำ กิ๊บ โบ ป้าทองใบ เพ็ญพร ฯลฯ แต่ในชุมชนเล็กๆ แห่งนี้กับผู้คนเหล่านี้เองที่กำพลได้เรียนรู้ชีวิต เรื่องราวในแต่ละบทแต่ละตอนแม้เป็นอุบัติการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นประจำวัน แต่สำหรับกำพลมันอาจเป็นการผจญภัยที่ตื่นเต้นสุดขีดในบางหน อาจเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ในบางโอกาสและบางครามันก็เป็นโศกนาฏกรรมแสนเศร้า แม้ว่าตอนจบของช่างสำราญ จะทำให้เรากลืนก้อนแข็งที่จุกอยู่ที่คอหอยลงอย่างยากเย็นแต่ก็นั่นแหละ ชีวิตก็คือชีวิต และกำพลก็ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อนนักอ่านที่รัก เมื่อเธออ่านเรื่องของฉันจบลง เธออาจจะถามซีไรต์สามเล่มเดียวกันนี้ด้วยคำถามเดียวกับฉันก็ได้ว่า "ชีวิตคืออะไร?" บางทีเธออาจจะได้รับคำตอบที่แตกต่างออกไป ขอให้รู้เอาไว้ว่าฉันยินดีจะฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ ชีวิต ของเธอเสมอ | |||||||||||||||||||||