![]() |
น.ส. มณีนุช แสงสุวรรณนุกูลชั้น ม. 5/11 โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กรุงเทพฯ | |
เรื่อง รอยหยดหมึกตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันเกิด เติบโต และได้ใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่ในกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย ที่กรุงเทพมหานครนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีสถานบันเทิง มีสถานที่ท่องเที่ยวและเทคโนโลยีมากมายพอที่จะทำให้ฉันหลงใหลและเพลิดเพลินไปกับมัน การใช้ชีวิตของฉันเมื่อก่อนนี้ ฉันใช้เวลาไปอย่างไม่รู้คุณค่า ดูได้จากการใช้ชีวิตประจำวันของฉันภายใน 1 วัน ฉันตื่นขึ้นมาก็ไปโรงเรียน เรียนหนังสือ เสร็จก็กลับบ้าน กินอาหาร เข้านอน ทำอะไรแบบเดิมๆ เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนกลายเป็นกิจวัตรที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ บางครั้งก็ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี พอนานวันเข้า ฉันรู้สึกเบื่อกับความจำเจในการใช้ชีวิตของตัวเอง ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ฉันน่าจะหาอะไรที่มีสาระและประโยชน์ทำบ้าง มันย่อมดีกว่าอยู่แบบเผาผลาญเวลาที่มีไปวันๆ และสิ่งที่ฉันเลือกจะทำในช่วงเวลาที่ฉันว่าง ก็คือ...การอ่านหนังสือ การที่เราอ่านหนังสือจนจบแต่ละเล่มนั้น ฉันคิดว่าเราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากกว่าที่เราคิดเอาไว้เสียอีก หนังสือ...ช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้น หนังสือ...ทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองความคิดของคนอื่น ที่อาจจะมองเหมือนหรือแตกต่างกับความคิดของเราที่มองสิ่งต่างๆ เพียงมุมเดียว ถึงแม้เรื่องบางเรื่องที่ในหนังสือเขียนเอาไว้ จะเป็นเรื่องที่เราเคยรู้มาก่อนแล้วก็ตาม แต่การได้อ่านอีกครั้งหนึ่งก็จะเป็นการทบทวนให้เรารู้อย่างแจ้งชัดและจำได้แม่นยำมากขึ้น ครั้งหนึ่งตัวฉันเองเคยคิดว่าเรื่องไหนก็ตามที่ฉันรู้แล้ว ฉันจะไม่หาหนังสือมาอ่านอีก เพราะว่าในเมื่อฉันรู้จะอ่านอีกทำไม เปลืองเวลาเปล่าๆ จวบจนมาถึงวันนี้ฉันรู้แล้วว่า...ความคิดที่ผ่านมาของฉันมันผิดถนัด จากประสบการณ์เก่าๆ ของฉัน ทำให้วันนี้ฉันรู้แล้วว่าหนังสือ...คือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน หนังสือคือ...ผู้ให้ หนังสือให้ความรู้แก่ฉัน ให้ฉันได้เรียนรู้ในสิ่งที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ให้ฉันได้รู้อย่างกระจ่างแจ้งมากขึ้นสำหรับสิ่งที่ฉันเคยรู้มาบ้างแล้ว สำหรับตัวฉันเองเคยอ่านหนังสือบางเล่มแล้วรู้สึกประทับใจมากๆ กับแนวความคิดและมุมมองของผู้เขียน อีกทั้งยังประทับใจในเรื่องที่ผู้เขียนได้สอดแทรกข้อคิด คติดีๆ ของการดำเนินชีวิตในสังคมไว้ในหนังสือ ฉันอยากจะแนะนำให้ทุกๆ คนได้ลองไปหาหนังสือเล่มที่จะกล่าวต่อไปนี้มาลองอ่านกันสักนิด แล้วเธอจะรู้ว่า หนังสือ...ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังสือเท่านั้น หนังสือเปรียบเสมือนครูที่จะคอยสั่งสอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับทุกคน แล้วเธอจะได้สิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเหล่านี้จบ หนังสือเล่มแรกที่ฉันจะแนะนำ คือ อมตะวรรณกรรมชุดกฎแห่งกรรม ของ ท. เลียงพิบูลย์ เล่มที่ 3 หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ฉันยกย่องว่าดีที่สุดตั้งแต่ฉันเคยอ่านหนังสือมา แม้ว่ารูปเล่มของหนังสือเล่มนี้จะไม่น่าดึงดูดใจประกอบกับชื่อเรื่องว่า กฎแห่งกรรม ทำให้หลายๆ คนโดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา และวัยรุ่นทั้งหลายมองข้ามไป ไม่สนใจหนังสือเล่มนี้เท่าที่ควร แต่หารู้ไม่ว่าหากเธอได้ลองสัมผัสกับเนื้อหาข้างในเธอจะได้รู้ถึงคุณค่าที่ซ่อนอยู่เช่นเดียวกับฉัน ครั้งแรกที่ฉันได้รับหนังสือเล่มนี้มาไว้ในความครอบครอง ฉันมิได้สนใจหนังสือเล่มนี้เลย แต่พอฉันได้อ่าน ฉันกลับรู้สึกสนใจในเนื้อหาของหนังสือเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หนังสือชุดกฎแห่งกรรม นี้มีหลายเล่ม เล่มแรกที่ฉันได้อ่านเป็นเล่มที่ 3 พอฉันอ่านจบแล้วก็พยายามหาเล่มอื่นๆ มาอ่าน จนได้มาอีกสองเล่มคือ เล่มที่ 2 กับเล่มที่ 5 หนังสือเรื่องกฎแห่งกรรม นี้เป็นเรื่องเล่าที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดออกมา ทั้งจากประสบการณ์ชีวิตจริงของผู้เขียนเองที่ได้ยินได้ฟัง ได้ประสบพบเจอมากับตนเอง ทั้งจากเพื่อน ญาติพี่น้อง และจากคนรอบข้างของผู้เขียนที่เล่าให้ผู้เขียนฟัง ผู้เขียนได้จดบันทึกไว้จนนำมารวบรวมเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มนี้ ในหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ชี้ให้เห็นถึงกฎแห่งกรรมที่ทุกวันนี้มีแต่คนมองข้าม คิดว่าเรื่องกฎแห่งกรรมนั้นไม่มีจริงในโลก ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาปกรรม ทำให้ทุกวันนี้คนเราทำความชั่วกันมากขึ้น เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม สังคมของเราจึงมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งสังเกตได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ของทุกวันนี้ มีแต่ข่าวฆ่ากันตาย ข่าวอาชญากรรม ข่าวพ่อข่มขืนลูก ข่าวทุจริต โกงกินบ้านเมือง จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าจิตใจมนุษย์ได้เสื่อมลงมาก กระทำสิ่งใดก็มิได้คำนึงถึงศีลธรรม คุณธรรมเท่าที่มนุษย์เฉกเช่นเราๆ ควรจะมี หนังสือเล่มนี้จะทำให้เรามองเห็นผลของการกระทำที่เราได้ทำลงไป ถ้าเราทำความดี เราจะได้รับผลอย่างไร ผลอย่างแรกที่เราจะได้รับคือ เราย่อมจะสบายใจ ใจเป็นสุขอย่างที่เรียกกันว่า "อิ่มบุญ" และถ้าเราทำความชั่ว เราจะได้รับผลกรรมอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่อง ทางผิด ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นรุ่นพี่ของท่านผู้เขียนมีนามว่า "พี่โต" เขาได้ตัดสินใจเข้าไปข้องแวะกับฝิ่น ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ดี เขาคิดว่าเพียงครั้งเดียวคงไม่ติด แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด และทำให้ชีวิตของเขาตกต่ำลง ทางด้านการเรียนจากเด็กที่ตั้งใจเรียน เรียนดีก็กลับกลายเป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียน และมีนิสัยลักขโมยเพราะต้องการนำเงินไปซื้อฝิ่น จนในที่สุดต้องหนีออกจากบ้าน ทำให้พ่อแม่เสียใจและผิดหวังมาก ความรู้ที่มีติดตัวก็น้อยนิดต้องไปทำงานเป็นกุลีแบกหามเพื่อแลกกับเงินมาซื้อฝิ่น ฝิ่นทำให้เขาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งครอบครัว ทรัพย์สิน ไม่เหลือแม้กระทั่งลมหายใจของเขาเอง ยาเสพติดทำร้าย ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา จากเรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ฉันได้ข้อคิดว่า...ทุกคนมีทางเดินชีวิตที่จะต้องเลือกเดิน แต่การตัดสินใจที่จะเลือกทางไหนนั้นต้องคิดให้ดี และคิดให้รอบคอบก่อน เพราะถ้าตัดสินใจพลาดไปแล้วเราไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ และอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นอันขาด เพราะยาเสพติดจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรา ทำลายแม้กระทั่งชีวิตของเราเอง นอกจากนั้นในหนังสือเล่มนี้ยังมีรูปแบบในการสั่งสอนให้เราทำความดีแตกต่างไปจากหนังสือเล่มอื่นๆ อีกด้วย โดยการเล่าเป็นนิทานให้เราได้คิดตามการดำเนินเรื่องของตัวละคร ให้เราเห็นการกระทำของตัวละครที่ดี กับตัวละครที่ไม่ดี ดังเช่นนิทานเรื่องนี้ "กาลหนึ่งมีชาวจีนผู้หนึ่งเดินทางมาทำงานในเมืองไทย ชาวจีนผู้นั้นเป็นคนอดทน ขยัน มีความมานะบากบั่น สร้างตัวเองด้วยการอดออมจนสะสมเงินทองได้มากมาย จนได้เป็นเจ้าสัวที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หลังจากนั้นเจ้าสัวได้รับหลานสองคนมาอยู่ด้วย ให้หลานทั้งสองทำงานในตำแหน่งหน้าที่นับเงิน หลานคนโตรู้สึกผิดหวังที่ต้องมาทำงานต่ำๆ เหมือนลูกจ้างทั่วไป หลานคนเล็กไม่ถือตัว ขยันทำงานรู้จักถ่อมตน จนเป็นที่รักใคร่ของทุกคน ต่อมาหลานทั้งสองถูกเรียกตัวให้เดินทางกลับบ้าน ในวันที่จะเดินทางกลับบ้านนั้น เจ้าสัวขอให้หลานๆ ทำงานช่วยเป็นวันสุดท้าย โดยกำชับว่าให้ตั้งอกตั้งใจทำงาน หลานคนพี่ไม่พอใจคิดว่าอาเห็นแก่ตัวมาก ตนจะกลับบ้านแล้วยังสั่งให้ทำงานอีก ไม่ยอมให้พักผ่อนเลย จึงออกไปเที่ยวไม่ยอมทำงานที่อาสั่ง ส่วนหลานคนน้องเชื่อฟังคำพูดของอา นั่งนับเงินตามที่อาสั่ง จนกระทั่งตกเย็นอากลับมาจึงเรียกหลานทั้งสองมาถามว่าแต่ละคนนับเงินได้กี่ถุง หลานคนโตตอบว่านับได้สองถุง หลานคนเล็กนับได้ 50 กว่าถุง อาจึงกล่าวว่า การที่หลานทั้งสองอยู่กับอาในเมืองไทยก็ทำงานให้ตามความขยันมากขยันน้อย อาก็ไม่รู้จะให้อะไรเป็นรางวัล จึงคิดว่าการที่ให้หลานทั้งสองนับเงินในวันนี้ ใครนับได้เท่าไรอายกให้เป็นรางวัล คนไหนขยันมากก็ได้มาก คนไหนขยันน้อยก็ได้น้อย อาเห็นว่าเป็นการยุติธรรมดีแล้ว จากเรื่องนี้ทำให้เราได้ข้อคิดว่า...เกิดเป็นคนต้องรู้จักขยัน อดทน และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดโดยไม่หวังผลตอบแทน และต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะได้รักและเอ็นดูเรา หนังสือเล่มนี้มิได้มีจุดประสงค์ที่จะให้เรางมงายกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น ตลอดเวลาที่อ่านนั้น ฉันได้ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองและคิดตามอย่างถี่ถ้วน หลังจากที่อ่านจบ ฉันไม่ได้เชื่อในทุกเรื่องที่อ่าน แต่ฉันได้นำเอาส่วนดีของทุกเรื่องที่ได้อ่านมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของฉันได้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันได้ความรู้มากกว่าความบันเทิงเสียอีก ในบางตอนมีการยกนิทานที่เล่าโดยผู้เฒ่าผู้แก่ในบางสถานที่ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่คนในปัจจุบันนี้ส่วนมากไม่เคยรู้มาก่อน เช่น เรื่องเครื่องแต่งกายของคนในสมัยก่อน คำพูดเวลาที่เขาพูดเขาจะแทนตัวเองว่าข้ากับเอ็ง วัฒนธรรมประเพณีในสมัยก่อน ได้ทราบถึงความรักของประชาชนที่มีต่อองค์สมเด็จพระปิยมหาราช มีคติที่สอดแทรกในเรื่องเล่า เช่น "พบคนชั่วให้หลีกหนี พบคนดีให้เข้าหา" "สิ่งอะไรมากเกินไปก็หมดความหมาย เหมือนของขายถ้ามีมากก็จะถูก ถ้ามีน้อยๆ ก็ขายแพงเป็นธรรมดา" "คนเราอาจจะจนทรัพย์สินเงินทอง แต่อย่าให้จนศีลธรรมและความดี มีความกตัญญูรู้คุณ อย่าเนรคุณ จะมีความเจริญแก่ตัวต่อไป ศีลธรรมและความดีทำให้จิตใจเราสูงขึ้นและมีความสบายใจผิดกับความชั่ว มันทำให้จิตใจเราเลวและเสื่อมลง ที่สุดก็ต้องอยู่ในความทุกข์" เป็นต้น หนังสือเล่มนี้มีคุณค่ามากมาย ทั้งช่วยจรรโลงโลก หากมีคนสนใจเรื่องกฎแห่งกรรมมากขึ้น รู้จักหันมาทำความดีกันมากขึ้น สังคมเราก็จะอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ตนเองครอบครัวหรือทรัพย์สิน คนในสังคมของเราจะมีน้ำใจให้กัน รู้จักแบ่งปันเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน เราจะมีแต่รอยยิ้ม ไม่กล้าที่จะทำความชั่วเพราะทุกคนต่างก็ไม่อยากที่จะต้องมาชดใช้กรรมที่ตนได้กระทำลงไป ยิ่งถ้าหากรู้ว่าผลแห่งกรรมนั้นมันจะทำให้เราทุกข์ทรมานมากมายแสนสาหัส ทุกคนก็จะไม่ทำความชั่วกันอีก หนังสือเล่มที่ 2 มีชื่อเรื่องว่า LIFE ON THE ROCK ของ ว. แหวน สำนักพิมพ์ใยไหม จัดอยู่ในประเภทบทความ ซึ่งสะท้อนความคิดจากใจของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ผ่านการใช้ชีวิตบนเส้นทางแบบวัยรุ่นคะนองมาด้วยฝ่าเท้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย และเมื่อวัน เวลา วัยเปลี่ยนไป ทำเธอได้ข้อคิด รู้จักเดินบนเส้นทางสายชีวิตที่เป็นจริงมากขึ้น ผู้เขียนได้ให้ความหมาย ON THE ROCK ไว้สองความหมายด้วยกัน ความหมายแรก คือ บนหิน โดยมองว่าชีวิตเหมือนเดินบนก้อนหิน ยิ่งเดินเท้าก็จะยิ่งหนา แข็ง และทน ลื่นบ้าง หินบาดบ้าง แต่มันก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะมองตัวเองว่ากำลังเดินอย่างไร และดูแลตัวเองไม่ให้เจ็บซ้ำซากอีก แต่ถ้าพลาดจริงๆ ยิ่งก้าวเดิน เท้าของเราก็ยิ่งทนต่อความเจ็บปวดได้มากยิ่งขึ้น ทุกย่างก้าวของชีวิต คือ การย่ำไปบนหิน ยิ่งผ่านวันเวลายิ่งแข็งแกร่ง อีกความหมายหนึ่ง คือ ชีวิตเพียวๆ ถ้าเปรียบหนังสือเล่มนี้เป็นเมนูก็เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับคนคออ่อน อยากหัดเป็นคนคอแข็งที่ชอบท้าทายชีวิตชอบคิดว่าตัวเองแน่ แต่ก็เมาเละทุกที และเหมาะสำหรับคนคอแข็งที่มีความสุขเสมอกับการลิ้มรสชาติของชีวิต เมื่อได้อ่านแล้วฉันรู้สึกว่าผู้เขียนสามารถถ่ายทอดความคิดในมุมมองของเขาออกมาได้อย่างน่าสนใจทีเดียว มีคำสอนแง่คิดดีๆ แฝงไว้เสมอ ทำให้ฉันสามารถนำเอาแง่คิดเหล่านั้นมาปรับใช้ได้จริงกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน มีตัวอย่างมากมายหลายเรื่องทีเดียว เช่น ในเวลาที่เราตื่นนอนตอนเช้า ให้เราลองยิ้มให้กระจกสักครั้งจะช่วยให้ร่าเริงได้ การเล่นเกมดีใจ โดยวิธีเล่นคือ พยายามมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ทุกข์น้อยกว่าที่เป็นจริง เมื่อรู้สึกว่าเจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิตให้ลองมองหาเรื่องที่เราดีใจในเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นให้ได้ เราจะได้รู้สึกว่ามันไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด ฉันได้ลองทำตามที่ผู้เขียนบอกรู้สึกได้ว่าคำแนะนำนี้ก็ช่วยได้เหมือนกัน ทำให้ตอนเช้าๆ จากเดิมตื่นมาหัวยุ่งเหยิง หน้าเบ้ อารมณ์ไม่ดี ก็ช่วยให้ร่าเริงขึ้นจริงๆ และมีเกมดีใจที่ช่วยให้มองโลกในแง่ดีไม่มัวนั่งทุกข์กับเรื่องความทุกข์ แต่กลับยิ้มได้กับความทุกข์นั้น ผู้เขียนยังได้ให้คำแนะนำดีๆ ในเรื่องการวางตัวให้เหมาะสม ความเชื่อมั่นเป็นตัวของตัวเอง มีคำถามอยู่ว่า...ทำไมเราถึงต้องแต่งตัวตามๆ กันตามแฟชั่น คำตอบก็คือ เรายกให้คนอื่นเป็นแบบอย่างเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเราเอง แต่ความจริงแล้วสิ่งเดียวที่จะสร้างความมั่นใจให้กับเราได้ก็คือ...ความพอใจในเครื่องแต่งกายของตัวเอง ซึ่งบ่งบอกความเป็นเรา เท่านี้เสน่ห์ในตัวเรา...ก็จะทะลุใยผ้าออกมาเอง เรื่องการคบเพื่อน ก็เป็นเรื่องใกล้ๆ ตัวที่เรามักจะมองข้ามไป เมื่อได้อ่านช่วยให้เราหันมามองตัวเองและคิดได้ และถ้าเมื่อไหร่ที่เราท้อแท้ ผิดหวัง หนังสือเล่มนี้ก็ยังมีกำลังใจพร้อมจะให้ทุกครั้งที่เราอ่าน พร้อมทั้งมีคำแนะนำดีๆ คอยช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ LIFE ON THE ROCK เป็นมากกว่าหนังสือ แต่เป็นเสมือนเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เราได้ทุกที่ ทุกเวลา เสมือนกระจกที่ทำให้เรามองดูตัวเองชัดขึ้น เสมือนยาชูกำลัง (ใจ) ทำให้เราก้าวต่อไปข้างหน้า ต้องลองสัมผัสดูแล้วคุณจะรู้ หนังสือเล่มที่ 3 ชื่อหนังสือคือ ขุนทอง...เจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง ของ อัศศิริ ธรรมโชติ เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประจำปี 2524 ในหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเรื่องสั้นไว้ทั้งหมด 13 เรื่อง คือ เธอยังมีชีวิตอยู่, อย่างน้อยก็ในใจฉัน, ในกระแสธารแห่งกาลเวลา, ถึงคราจะหนีไกล ไปจากลำคลองสายนั้น, เมื่อลมฝนผ่านมา, ดอกไม้...ที่เธอถือมา, เมื่อเย็นย่ำของวันอันร้าย, เสียแล้ว เสียไป, เช้าวันต้นฤดูฝน, แล้วหญ้าแพรกก็แหลกลาญ, บนท้องน้ำ เมื่อยามค่ำ, รถไฟครั้งที่ห้า, บนเส้นทางของหมาบ้า, ขุนทอง...เจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง เรื่องสั้นบางเรื่องก็มีรากฐานมาจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อาทิ เรื่องขุนทอง...เจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง เป็นเรื่องที่ได้รับแรงกระตุ้นจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519, เรื่องดอกไม้...ที่เธอถือมา ได้รับแรงกระตุ้นมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในเรื่องนี้ได้ให้แง่คิดดีๆ หลายอย่าง เช่น "คนเราจะต้องต่อสู้ และการต่อสู้ที่ถูกต้องจะเป็นฝ่ายชนะ" "อาวุธมีหลายอย่าง ถ้ารู้วิธีใช้ บางครั้งดอกไม้ก็เป็นอาวุธได้" หรือเรื่องเธอยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ในใจฉัน ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความกดดันและความขัดแย้งทางการเมือง ชี้ให้เห็นถึงความสูญเสียมากมาย สูญเสียแม้กระทั่งชีวิตของประชาชนผู้ที่รักชาติบ้านเมือง ในขณะที่อ่านฉันรู้สึกซาบซึ้งในถ้อยคำของตัวละคร ดังข้อความต่อไปนี้ เธอ-ผู้เป็นเจ้าของคำพูดอันแสนจะธรรมดา ที่ว่า "ในประเทศของเรานั้น เราต้องช่วยกันสร้างความถูกต้องและเป็นธรรม" ฉันรู้สึกยกย่องในความคิด ความรักชาติของตัวละครตัวนี้ เพื่อความถูกต้องและเป็นธรรมแล้วนั้น แม้ตัวต้องตายก็ยอม "เธอ-ยังมีชีวิตอยู่อย่างน้อยก็ในใจฉัน" บางเรื่องเกี่ยวกับความไม่ยุติธรรมในสังคม ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน โดยแสดงให้เห็นว่าคนจนนั้นต่ำต้อยค่า แม้คนจนจะตายไปหนึ่งคนก็ไม่มีค่าในสายตาคนรวย เช่นในเรื่องเมื่อเย็นย่ำของวันอันร้าย หรือเรื่องของความยากลำบากของคนในชนบท เช่นในเรื่องเสียแล้วเสียไป แต่เรื่องที่ฉันอ่านแล้วมีความรู้สึกประทับใจมากที่สุด คือเรื่องถึงคราจะหนีไกล ไปจากลำคลองสายนั้น ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนได้ตีแผ่ปัญหาสังคมได้อย่างลึกซึ้ง เนื้อเรื่องย่อมีอยู่ว่า มีครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่ง มีแม่ม่ายและลูกๆ อีกสองคน คนโตเป็นลูกชาย ลูกสาวเป็นลูกคนเล็ก อาศัยกินอยู่หลับนอนที่ใต้สะพานลอยข้างลำคลองแห่งหนึ่ง ครอบครัวนี้หากินด้วยการขอทานและเก็บเศษอาหารมากิน คลองสายนั้นเป็นแหล่งค้าประเวณี แบบล่องเรือออกไปตามลำคลองในเวลาค่ำ สภาพแวดล้อมรอบข้างของครอบครัวนี้แย่มาก หล่อนกับลูกชายคนโตวัยเพียง 11 ขวบมีนิสัยชอบสูบบุหรี่ และใช้วาจาไม่ค่อยสุภาพในขณะสนทนา ครอบครัวนี้มีเพื่อนบ้านเป็นโสเภณี โสเภณีเหล่านี้รักและเอ็นดูลูกสาวคนเล็กของหล่อนมาก ถึงขนาดที่ลูกสาวของหล่อนเริ่มตั้งความหวังไว้ว่าอยากมีอนาคตเช่นโสเภณีเหล่านี้ เพราะเห็นว่าได้แต่งตัวสวยๆ ทาเล็บ ทาปากสีแดง และมีเงินจับจ่ายใช้สอย เมื่อหล่อนได้ฟังลูกเล่าความหวังเช่นนั้นให้ฟัง หล่อนจึงต้องตัดสินใจหลีกหนีสิ่งแวดล้อมที่ว่านี้ไปให้ไกลแสนไกล เพื่อที่ให้ลูกสาวของหล่อนมีอนาคตที่ดี จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก แม่อยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ความรักของแม่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ รักด้วยใจบริสุทธิ์ รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ขุนทอง...เจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายของประสบการณ์มนุษย์ ในขณะที่อ่านเราจะต้องพยายามเข้าใจความคิดของผู้เขียน ต้องปรับจินตนาการของตนให้เข้ากับเรื่องที่เปลี่ยนแนวไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เช่น บนเส้นทางของหมาบ้า, ดอกไม้...ที่เธอถือมา คนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อออกมานั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในทางอารมณ์ที่ลุ่มลึกและกว้างไกลเช่นกัน หนังสือเล่มนี้มีการใช้เทคนิคในการประพันธ์หลายอย่าง เช่น การเล่นคำ การใช้อุปมาอุปไมยโวหาร บรรยายโวหาร มีการเลือกใช้คำที่กินใจ ใช้ข้อความที่อ่านแล้วสะเทือนอารมณ์ในการทิ้งท้ายของเรื่องได้เป็นอย่างดี หนังสือทั้งสามเล่มนี้ คือ หนังสือที่ฉันประทับใจและอยากเชิญชวนให้เพื่อนๆ ได้ลองหามาอ่านกัน เพราะเป็นหนังสือที่ดี มีผู้คนหลากหลายอาชีพให้ความสนใจ นิยมชมชอบเป็นอย่างมาก
|