ด.ญ. ชมบงกช สินธะวาชีวะ

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี

เรื่อง ใครกำหนด

การที่คนเราจะเขียนเรื่องเล่า ประสบการณ์ชีวิต หรือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคคลหนึ่งนั้น ผู้เขียนต้องรวบรวมสติปัญญา ความทรงจำทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มากลั่นกรองเป็นความรู้สึกนึกคิด ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการเขียนเป็นอย่างมาก ซึ่งตลอดการเขียนนั้นผู้เขียนก็จะมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องที่แต่ง เกิดความซาบซึ้ง ความสนุก ความชื่นชมไปกับตัวบุคคลในเรื่อง รวมทั้งผู้อ่านก็จะมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวที่อ่าน หนังสือประเภทนี้จึงได้รับความสนใจจากนักอ่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการผ่อนคลาย ทำให้เราเข้าใจในตัวบุคคลอื่น หรือเข้าใจในชีวิตมากขึ้น ให้ข้อคิดวิเคราะห์สำหรับเรา และสามารถนำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อใช้ในการปรับปรุงการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราให้ดียิ่งขึ้น

เรื่องของน้ำพุ เป็นเรื่องเล่าที่แม่ของเด็กชายน้ำพุได้แต่งขึ้นหลังจากที่ลูกชายของเธอได้เสียชีวิตลง ด้วยการสันนิษฐานของหมอว่า “น้ำพุ” หัวใจวายตาย แต่ใครๆ ก็รู้ว่าน้ำพุติดยาเสพติด เคยได้รับการรักษาจนเลิกได้แล้ว แต่เขาอาจกลับไปใช้ยาอีกและยาคงรุนแรงชนิดที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นโดยเฉียบพลัน

ผู้คนหลายคนพากันถามแม่ของน้ำพุว่า เลี้ยงลูกอย่างไรจึงติดเฮโรอีน ซึ่งแม่ของน้ำพุก็จะโทษตัวเองว่าเลี้ยงลูกไม่เป็น แม้ว่าการที่ลูกชายติดยาเสพติดไม่ใช่เรื่องที่ดี น่าจะปิดเป็นความลับไม่ควรนำมาเปิดเผย แต่ด้วยความที่แม่ของน้ำพุมีสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ดี มีจิตใจดีมีความเมตตากรุณา รักและห่วงใยลูก เข้าใจจิตวิญญาณของคนเป็นแม่ ว่ารักและห่วงใยลูกมากเพียงใด และจะต้องเสียใจและเจ็บปวดมากถ้ารู้ว่าลูกติดยาเสพติด เธอไม่ต้องการให้ลูกคนอื่นต้องกลายเป็นเด็กติดยาแบบลูกของตน จึงได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตลูกของเธอมาเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้อ่านและจดจำไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ คิดถึงสิ่งที่ควรเอาเป็นแบบอย่างและไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง สามารถนำมาปรับปรุงใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันของเด็กและเยาวชนอย่างเราได้ ผู้ปกครองก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการอบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดี ไม่ตกเป็นทาสยาเสพติด ในยุคปัจจุบันที่สังคมเปลี่ยนแปลงมากขึ้นได้เป็นอย่างดี

ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องที่น้ำพุแต่งขึ้นในชั่วโมงเรียงความเพื่อจะให้แม่ลงพิมพ์ แต่แม่ก็ไม่มีเวลาว่างอ่านเรียงความของน้ำพุ ซึ่งน้ำพุก็จะคอยถามแม่อยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่เรื่องของตัวเองจะได้ลงพิมพ์ในหนังสือเสียที ในที่สุดเรื่องของน้ำพุก็ได้ลงพิมพ์เพื่อใช้แจกในงานศพของตัวเองโดยใช้ชื่อเรื่อง “พฤติกรรมของวัยรุ่น” และ “ครอบครัวของข้าพเจ้า”

เรื่อง “พฤติกรรมของวัยรุ่น” เป็นเรื่องบอกให้ทราบว่าวัยรุ่นนั้นเป็นวัยที่สำคัญมากช่วงหนึ่ง เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ เป็นวัยที่สับสนในการดำเนินชีวิต มีอารมณ์ร้อนตัดสินใจสิ่งต่างๆ ด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ทำให้ชีวิตอาจก้าวเดินผิดทางและอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต สำหรับวัยนี้เป็นวัยที่เพื่อนมีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อชีวิตมาก เป็นวัยที่มักทำอะไรตามความนิยม ชอบตามเพื่อนฝูง แม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกไม่ควรก็ตาม จากเรื่องนี้น้ำพุต้องการชี้ให้เห็นถึงผลของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ผิด โดยน้ำพุจัดให้มีตัวเอกสองคน ซึ่งมีอุปนิสัยใจคอตรงกันข้าม โดยทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ไปไหนจะไปด้วยกันเสมอ กินเหล้า สูบกัญชา แต่ทั้งคู่ก็สามารถสอบผ่าน ม.ศ. 3 มาได้อย่างหวุดหวิด เมื่อปิดเทอม ม.ศ. 3 ทั้งคู่เที่ยวหนักขึ้น แล้วก็ถูกจับในข้อหาสูบกัญชา ได้รับการส่งไปดัดสันดานที่บ้านเมตตาคนละ 1 เดือน เมื่อออกมาคนหนึ่งได้กลับตัวกลับใจตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่ออนาคตของตนเอง ตรงกันข้ามกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งกลับไม่สำนึกผิด ประพฤติตัวเหลวไหลมากขึ้น จึงได้ถูกย้ายไปเรียนที่โรงเรียนศิลป์ ได้พบเพื่อนใหม่แต่นิสัยก็ไม่ดีขึ้น ต้องลาออกจากโรงเรียน ต่อมาก็ถูกจับข้อหาฆ่าคนตาย ถูกตัดสินจำคุก 10 ปี เพื่อนเก่าได้มาเยี่ยมและบอกเขาว่าสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนเขาที่ไม่คิดกลับตัวกลับใจก็ต้องชดใช้กรรมในคุกต่อไป

“ ครอบครัวของข้าพเจ้า” เป็นเรื่องที่น้ำพุแต่งขึ้นเพื่อแนะนำบุคคลในครอบครัวของตนเอง ขณะนั้นน้ำพุมีอายุ 17 ปี บุคคลในครอบครัวของน้ำพุมีห้าคน คือ “แม่” เป็นคนที่น้ำพุรักมากที่สุด รักและเข้าใจน้ำพุมากที่สุด คอยให้คำปรึกษาแก่น้ำพุเมื่อยามมีปัญหา “พี่กบ” เป็นพี่สาวของน้ำพุ ไม่ค่อยสนิทกันนัก พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ไม่ถึงกับทะเลาะกัน เป็นคนเจ้าระเบียบแต่น่ารักยิ้มสวย “น้องแดง” เป็นคนร่าเริงคุยเก่ง มีคนชอบมาก น้ำพุหวงน้องสาวคนนี้มาก “น้องหนู” เป็นน้องสุดท้อง เป็นเด็กน่ารักชอบวาดรูป จะวาดรูปมาส่งน้ำพุทุกวันและน้ำพุก็จะให้คะแนน

หลังจากที่น้ำพุติดยาได้ถูกจับ เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมาเขาตั้งใจจะไปเลิกยาที่วัดถ้ำกระบอก น้ำพุสัญญากับแม่ว่าจะเขียนจดหมายมาหาแม่ทุกวันระหว่างการเลิกยา 10 วัน

วันแรกน้ำพุไปกับเพื่อนชื่อจุก พ่อของจุกพาน้ำพุและจุกไปหาพระที่รับสมัครผู้ที่จะเลิกยา มีคนนั่งอยู่เจ็ดแปดคน แต่ละคนจะถูกซักประวัติ หลวงพ่อท่านให้คนไข้มานั่งชิดกันแล้วกล่าวว่า “มาที่นี่ต้องอยู่ให้ครบ 10 วัน ถ้าสมัครใจมาแล้วต้องอยู่ให้ได้” ท่านถามต่อว่า “มาที่นี่มีใครถูกบังคับบ้าง” ทุกคนบอกว่าสมัครใจมา หลวงพ่อให้ทุกคนทานยาคนละหนึ่งแก้ว เป็นเวลา 5 วัน เมื่อทานแล้วทุกคนจะอาเจียน นั่นคือความลำบากที่สุดที่ทุกคนได้รับ ส่วน 5 วันหลังจะเป็นระยะพักฟื้น

ในจดหมายห้าฉบับแรก น้ำพุบรรยายถึงความลำบากในการเลิกยา โดยเฉพาะเมื่อต้องอาเจียน หลังจากทานยาจะมีอาการคลื่นไส้ น้ำพุจะต้องตักน้ำขึ้นมากิน กิน กิน เหมือนคนที่ตกอยู่ในทะเลทรายแล้วเจอบ่อน้ำ น้ำพุจะต้องกินน้ำไปสิบกว่าขัน กินแล้วอาเจียนไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการคลื่นไส้จะหมดไป มันเป็นความทรมานอย่างที่สุด แต่สามารถช่วยให้คนหาย “เสี้ยน” ได้เมื่อนึกถึงมัน

ในจดหมายห้าฉบับหลัง เป็นช่วงระยะเวลาที่น้ำพุพักฟื้น น้ำพุได้รู้จักผู้คนที่ติดยาด้วยกันมากมาย ได้ทราบสาเหตุต่างๆ หลายประการที่ทำให้แต่ละคนต้องมาติดยา น้ำพุได้ทำความดี ช่วยพระทำงาน โดยการล้างกระโถนทุกเช้า ตอนสายก็ช่วยจัดกระโถน กวาดลานที่วัด ทำแปลงเกษตรและเก็บผักมาปรุงอาหาร ทำแต่สิ่งดีๆ

หลังจากวันที่น้ำพุออกมาจากวัดแล้ว อยู่บ้านน้ำพุสดใสมากขึ้น ทำให้ครอบครัวมีความหวังว่าน้ำพุจะดีขึ้น น้ำพุตั้งใจเรียน วันสุดท้ายที่แม่ได้พบน้ำพุนั้น น้ำพุไปหาแม่ที่โรงพิมพ์ พาสาวน้อยหน้าตาน่ารักจุ๋มจิ๋มไปด้วย น้ำพุขอเงินแม่ไปซื้อกางเกงนักเรียน แม่ส่งเงินให้แล้วกำชับว่า “อย่ากลับบ้านค่ำนะ” น้ำพุรับคำ เมื่อแม่กลับถึงบ้านตอน 3 ทุ่ม น้ำพุเปิดประตูรับด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใครจะรู้ว่าเป็นการเปิดประตูครั้งสุดท้ายของลูก หลังจากนั้นน้ำพุก็เอารูปมาอวด คือรูปที่เป็นปกหลังของหนังสือเรื่องนี้ ตกกลางคืนแม่มาหาน้ำพุที่ห้องนอน น้ำพุได้บอกกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตว่า “แม่...น้ำพุจะซื้อสีน้ำมัน แม่ซื้อให้พุนะ...จะเอามาเขียนรูปติดห้อง แม่ว่าพุจะเขียนได้ไหม” ตอนเช้ามืด แม่พบว่าน้ำพุนอนเหยียดยาวอยู่หน้าเตียง สวมกางเกงขาสั้นตัวเดียว แผ่นเสียงยังหมุน และไฟยังเปิด เหมือนหัวใจจะขาดตามลูกไปด้วย

จากเรื่องของน้ำพุ เล่มนี้ เป็นการสะท้อนปัญหาสังคมได้เป็นอย่างดี การที่ครอบครัวแตกแยก ความเก็บกด หรือการที่พ่อแม่มีเวลาให้กับลูกไม่เพียงพอ เยาวชนก็มักจะหันหน้าไปหาเพื่อน และชักจูงกันไปในทางที่ผิด โดยเฉพาะเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เพื่อนจะมีความสำคัญและมีบทบาทต่อชีวิตมาก สามารถเปลี่ยนแปลงทางเดินชีวิตไปทั้งในทางที่ถูกและผิดเลยเห็นจะว่าได้

ความลำบากที่บรรยายในจดหมายที่น้ำพุเขียนให้แม่นั้น เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดีให้เยาวชนที่คิดจะลองยาเสพติด สามารถกลับตัวกลับใจไม่ไปข้องเกี่ยวกับมันได้แต่เนิ่นๆ และยังชี้ให้เห็นถึงความมานะอดทน เพียรพยายามในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ว่าจะสามารถทำให้เราประสพความสำเร็จได้เป็นอย่างดี

จากความอดทนเพียรพยายามในการเลิกยาของน้ำพุ ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่กล่าวถึงความอดทนเพียรพยายามเช่นเดียวกัน นั่นก็คือเรื่องพระมหาชนก ที่ต้องอดทนเพียรพยายามว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรนานถึง 7 วัน 7 คืนหลังจากที่เรือได้อับปางลง

พระมหาชนกเป็นชาติที่ 2 ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลปัจจุบัน ทรงสดับพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมมสาโร มหาเถร) วัดราชผาติการาม ทรงพระราชดำริว่า พระมหาชนกชาดกมีคติที่แจ่มแจ้ง น่าจะเป็นประโยชน์แก่ชนทุกหมู่ จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์โดยดัดแปลงให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เหมาะกับสภาพสังคมในปัจจุบัน โดยมีพระราชดำริว่า พระมหาชนกจะบรรลุโมกธรรมได้ง่ายกว่า หากได้ประกอบพระราชกรณียกิจในโลกให้ครบถ้วนก่อน และโปรดเกล้าฯ ให้ศิลปินไทยชั้นนำที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เมื่อเอ่ยนามแล้วหลายคนคงเคยติดหูกันมาบ้าง ซึ่งก็คือท่าน ชัย ราชวัตร ได้วาดรูปประกอบ

จุดสำคัญของเรื่องคือตอนที่พระมหาชนกล่องเรือในมหาสมุทร เพื่อไปปกครองดูแลบ้านเมืองและราชสมบัติของพระราชบิดา ระหว่างที่ล่องเรืออยู่นั้น ได้เกิดมีลมพายุ คลื่นซัดแรงมากจนเรือมิอาจต้านทานได้ ก่อนที่เรือจะอับปางลง พระมหาชนกได้เสวยน้ำตาลกรวดกับเนยจนเต็มท้อง แล้วชุบผ้าเนื้อเกลี้ยงสองผืนด้วยน้ำมันจนชุ่ม ทรงนำมานุ่งให้มั่น เสด็จไปยังเสากระโดงแล้วกระโดดลงน้ำ และเป็นวันเดียวกับที่พระโปลชนก น้องชายของพระบิดาได้สิ้นพระชนม์ลง โดยทิ้งคำถามไว้สำหรับให้ผู้ที่จะมาครองราชย์สืบต่อไปตอบ

พระมหาชนกทรงว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรนานถึง 7 วัน เมื่อถึงอุโบสถพระองค์ทรงสมาทานอุโบสถศีล เทพธิดาชื่อมณีเมขลาซึ่งเป็นผู้ดูแลรักษาสัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณ ได้เหาะลงมาที่มหาสมุทรและทดลองใจพระมหาชนก โดยกล่าวว่าท่านมองไม่เห็นฝั่ง แล้วจะเพียรพยายามว่ายไปเพื่อประโยชน์อันใด ยังไม่ทันถึงฝั่งก็จะตายเสียก่อน พระมหาชนกกล่าวตอบว่า แม้ตายก็จะพ้นคำครหาแล้วตรัสต่อว่า “บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติ เทวดา และบิดามารดา อนึ่งบุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง แม้จะรู้ว่าการงานนั้นจะไม่ประสพความสำเร็จ ถ้าละเสียก็จะกลายเป็นคนเกียจคร้าน ผู้อื่นตายเสียหมดแล้ว แต่เรายังอยู่และจะพยายามไปให้ถึงฝั่งมหาสมุทร”

นางมณีเมขลาได้เล็งเห็นถึงความพยายามของพระมหาชนก จึงอุ้มพระมหาชนกขึ้นดุจแม่อุ้มลูก แล้วพาเหาะไปในอากาศ ถึงยังมิถิลานคร และสามารถไขอุทานปัญหาของพระโปลชนกราชทั้งสี่ข้อได้สำเร็จ ทรงอภิเษกกับพระนางสีวลีเทวี และขึ้นครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรม บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย

ต่อมาพระมหาชนกเสด็จทอดพระเนตรมะม่วงสองต้น ที่ปากทางเข้าสวนหลวง ต้นหนึ่งมีผล อีกต้นหนึ่งไม่มีผล ทรงลิ้มรสมะม่วงอันโอชา แล้วเสด็จเยี่ยมอุทยาน เมื่อเสด็จกลับออกมาทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงที่มีผลรสดีถูกข้าราชการบริพารทึ้งโค่นลง ส่วนต้นที่ไม่มีลูกก็ยังคงตั้งตระหง่าน แสดงว่าสิ่งใดดีมีคุณภาพจะเป็นเป้าหมายแห่งการยื้อแย่ง และเป็นอันตรายในท่ามกลางผู้ขาดปัญญา ทรงดำริให้อัญเชิญพราหมณ์มาและปรารภเรื่องการอนุบาลต้นมะม่วงตามวิธีสมัยใหม่ เก้าวิธีอีกด้วย ต่อมาทรงตั้งสถานอบรมสั่งสอนศิษย์ชื่อว่า ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย

เรื่องพระมหาชนกนี้ให้ข้อคิดหลายประการ ทั้งเรื่องความเพียรพยายาม ความมีสติปัญญาเฉียบแหลมในการแก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์เฉพาะหน้า สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในทางแก้วิกฤตสังคมไทย หากคนเรามีความเพียร ความอดทน รู้จักแก้ปัญหาต่างๆ โดยใช้ความคิดและสติปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านใดก็จักผ่านลุล่วงไปได้และจะประสบความสำเร็จอย่างที่คุณมุ่งหวังแน่นอน ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ว่า ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์

หนังสือเรื่องพระมหาชนก นี้จะหาประโยชน์อันใดมิได้เลย หากปราศจากความเพียรพยายามของในหลวงของเรา ที่ทรงพระราชนิพนธ์และดัดแปลงให้เข้ากับสภาพสังคมในปัจจุบัน และด้วยพระสติปัญญาอันเฉียบแหลมของพระองค์จึงได้มีโครงการในพระราชดำริอีกมากมายเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย ดังเช่น โครงการฝนหลวง โครงการแก้มลิง กังหันน้ำชัยพัฒนา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และโครงการเศรษฐกิจพอเพียง “ทฤษฎีใหม่” แนวทางเกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินทำกินและแหล่งน้ำให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่เกษตรกรชาวไทยได้รับประโยชน์มากที่สุด โดยจะแบ่งที่ดินเป็นนาข้าว 30% พืชสวนไร่แบบผสมผสาน 30% สระเก็บน้ำและเลี้ยงปลา 30% ที่อยู่อาศัยปลูกพืชสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ 10% เป็นโครงการที่จะสอนให้ราษฎรรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไม่โลภ รู้จักใช้ปัญญาและความเพียรแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านต่างๆ เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาที่ดินทำกิน เป็นต้น และสอนให้ทุกคนกระทำสิ่งที่จะเกิดประโยชน์สุขต่อสังคม ต่อประเทศชาติ พร้อมทั้งตนเองให้มากที่สุด

สำหรับข้อดีอีกอย่างของหนังสือเรื่องนี้คือ การจัดรูปเล่มน่าสนใจ ที่น่าสนใจ ดึงดูดผู้อ่าน อ่านได้ทุกเพศทุกวัย และการใช้ภาษาของผุ้เขียนก็ดีมาก เขียนได้ถูกต้องตามอักขรวิธี ใช้ภาษาเข้าใจง่าย

หนังสือสองเล่มนี้แฝงด้วยข้อคิดและคติสอนใจในแนวเดียวกันคือ ความอดทนเพียรพยายามของตัวเอกในเรื่อง ทำให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามนานาประการได้ ดังเช่นที่น้ำพุอดทนในการทานยาเพื่อเลิกยาเสพติด แม้จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการคลื่นไส้และการอาเจียนก็ตาม หรือการที่พระมหาชนกอดทน เพียรพยายามในการว่ายน้ำในมหาสมุทรถึง 7 วัน แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง แต่ในที่สุดทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จจากผลแห่งความเพียรนั้น

ข้าพเจ้าคิดว่าหนังสือสองเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมาก ที่ทุกคนควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสภาพสถานการณ์ของสังคมและการดำรงชีวิตของตนเองในปัจจุบัน ถ้าประเทศไทยมีผู้อ่านหนังสือมากก็จะเป็นการดียิ่ง เพราะถ้ายิ่งอ่านมากก็ยิ่งได้ความรู้มาก ทำให้มีสติปัญญาที่เฉียบแหลม ทุกคนจะได้นำความรู้ที่มีอยู่มาช่วยในการพัฒนาประเทศให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นสืบต่อไป

ด.ญ. ชมบงกช สินธวาชีวะ ชั้น ม. 1/12
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี