น.ส. ตรีทิพย์ เครือหลี

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกุล จ. กระบี่

เรื่อง ความแตกต่างที่เท่าเทียมกัน

“ความแตกต่างที่เท่าเทียมกัน” นี่ !ไม่ใช่ชื่อหนังสือ ไม่ใช่ชื่อละครน้ำเน่า แต่...เป็นชื่อเรียงความของฉันเอง ฉันกำลังจะบอกเล่าถึงที่มาของชื่อนี้... “หนังสือเรียน, หนังสือการ์ตูน, นวนิยาย, หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร” หนังสือที่ฉันยกมาทั้งหมดนี้ ฉันเชื่อว่า...คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก และคงจะไม่มีใครที่ไม่เคยอ่านหนังสือประเภทนี้มาก่อน หนังสือแต่ละประเภทที่ฉันกล่าวถึงอาจจะแตกต่างกันที่เนื้อหาสาระ และรูปแบบการนำเสนอ เพราะเป็นหนังสือคนละแนวกัน รวมทั้งยังให้ประโยชน์กับผู้อ่านแตกต่างกันไปตามประเภทของหนังสือ แต่...ในความแตกต่างนี้ก็ยังแฝงไปด้วยคุณค่าและสิ่งดีๆ ที่มีอยู่เท่าเทียมกัน อย่างน้อย...ความเท่าเทียมกันของหนังสือทุกประเภท ก็มีจุดประสงค์ที่จะมอบสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ให้กับผู้อ่านหนังสือประเภทนั้นๆ ได้เหมือนกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในด้านความรู้เพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นความบันเทิง ข้อคิด หรือข้อมูลข่าวสาร ที่สำคัญ...คนรักการอ่านมักได้ความรู้ดีๆ จากหนังสือเสมอ นี่แหละค่าคือ “ความแตกต่างที่เท่าเทียมกัน” ในแบบของฉัน ยิ่งถ้าคุณ...ได้อ่านเรียงความของฉันจนจบ คุณจะได้พบกับคำตอบของ “ความแตกต่างที่เท่าเทียมกัน” มากยิ่งขึ้น

คุณชอบอ่านหนังสือไหมคะ สำหรับฉัน...ชอบอ่านหนังสือค่อ แต่...ฉันมีหนังสือที่อ่านแล้วชอบ อ่านแล้วประทับใจเพียงไม่กี่เล่มหรอก หนังสือที่ฉันกำลังจะกล่าวถึงสองเล่มนี้ก็นับว่าเป็นหนังสือที่อยู่ในใจของฉันเลยทีเดียว เล่มแรก...เป็นเรื่องราวชีวิตของนักร้องวัยรุ่นคนหนึ่งที่อาจจะเป็นฮีโร่ในใจของใครหลายคน รวมทั้งฉันด้วย บุคคลที่ฉันกล่าวถึงก็คือ เจมส์–เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ประวัติของเขา...ถ้าคุณได้ทราบ คุณจะอึ้งไปเลย เพราะเขาเคยเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่...นั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วหลายปี จนฉันจำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ใดกันแน่ แต่เท่าที่ฉันจำได้ในตอนนั้น เรื่องราวของเจมส์ได้กลายเป็นเรื่องฮือฮา และมีผู้ให้ความสนใจเป็นอย่างมากจนหลายๆ คนตั้งฉายาให้เขาว่า “นักร้องกระดูกเหล็ก” เจมส์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเขาไว้ในหนังสือที่มีชื่อว่า โลกใบนี้...ไม่เคยเหงา ซึ่งเป็นชื่อที่น่าสนใจมาก ชีวิตของคนเรามีบางเวลาที่ต้องพบเจอกับความเหงาและความเดียวดาย แต่ผู้ชายคนนี้กลับมีทรรศนะที่แปลกไปจากความเป็นจริงว่า โลกใบนี้...ไม่เคยเหงา ชื่อหนังสือจึงเป็นเหมือนแรงดึงดูดใจให้ฉันอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันจึงตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้เลยว่า เนื้อหาด้านในนั้นเป็นอย่างไร หนังสือเล่มนี้เป็นงานเขียนเล่มแรกของเขา แต่คุณเชื่อไหมว่า...เล่มที่ฉันอ่านได้ตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะ แสดงว่าหนังสือเล่มนี้ต้องเป็นหนังสือขายดี ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งก็คือ ชื่อเรื่องน่าสนใจ

ฉันค่อยๆ เปิดหนังสือเล่มนี้อ่านตั้งแต่หน้าแรกและอ่านไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าสุดท้าย โดยที่ฉันใช้เวลาอ่านเพียงไม่กี่ชั่วโมง คุณคงพอจะเดาออกใช่ไหมคะว่าฉันคงจะตั้งใจอ่านหนังสือเล่มนี้มาก ถูกแล้วล่ะค่ะ และฉันก็ไม่รู้สึกเสียดายเวลาด้วย เพราะอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วบอกได้คำเดียวเลยว่า...สุดยอดและคุ้มค่าจริงๆ เจมส์ใช้ภาษาง่ายๆ อ่านสบายๆ ทำให้เห็นภาพและรู้สึกได้ถึงความเป็นกันเอง เหมือนฉันได้เข้าไปอยู่ร่วมเหตุการณ์นั้นเลยทีเดียว เขาได้ถ่ายทอดความทรงจำที่ดีๆ ตั้งแต่วัยเด็กจนกลายมาเป็นเจมส์ที่โด่งดังในวันนี้ออกมาได้น่าสนใจ ทำให้ฉันได้สัมผัสกับหลากหลายแง่มุมในชีวิตของเขา มีทั้งเรื่องกุ๊กกิ๊กน่ารักของความรักสมัยเด็กๆ ซึ่งเป็นวัยเพียงแค่ 10 ขวบ ยังไม่รู้จักหรอกว่าความรักมีรูปร่างหน้าตายังไง รู้เพียงว่าคนนั้นสวย คนนี้น่ารัก ก็เก็บเอาไปปลื้มไปฝัน สำหรับเจมส์ในตอนนั้น ความรักทำให้หัวใจของเขาเบิกบานโลกทั้งใบกลับกลายเป็นสีชมพูหวานในทันที และที่สำคัญโลกใบนั้น...เป็นโลกที่ทำให้เขามีความสุข แล้วคุณล่ะคะในยามที่มีความรักโลกทั้งใบของคุณกลายเป็นสีอะไร ฉันเชื่อว่า...ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนเป็นสีอะไรก็ย่อมจะเป็นโลกที่ทำให้คุณมีความสุขแน่นอน มาถึงบรรทัดนี้คุณคงอยากจะรู้แล้วใช่ไหมล่ะว่า...เด็กผู้หญิงคนที่ทำให้โลกทั้งใบของเจมส์กลายเป็นสีชมพูหวานได้นั้น เธอคือใคร แล้วความรักของเด็กชายเจมส์จะสมหวังหรือไม่ คำตอบกำลังรอให้คุณค้นหาอยู่ใน โลกไปนี้...ไม่เคยเหงา แต่ฉันรับรองว่าคุณจะอดเอ็นดูและอมยิ้มกับความไร้เดียงสาของเจมส์ไม่ได้เลยค่ะ

“หัวใจที่โอบไม่รอบ” ก็เป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่เจมส์ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ “เจมส์คิดจะโอบหัวใจของใครไว้นะ” “แล้วทำไมถึงโอบไม่รอบล่ะ” “ชื่อเรื่องดูท่าทางจะซึ้ง อ่านแล้วฉันจะน้ำตาไหลไหมเนี่ย !” นี่คือหลากหลายคำถามที่เกิดขึ้นในใจฉันก่อนที่จะอ่านเรื่องนี้ จนฉันไม่รู้ว่าฉันจะให้คำตอบกับคำถามไหนก่อนดี แล้วฉันจะตอบคำถามว่าอย่างไรล่ะ แต่เท่าที่รู้ตอนนี้...ฉันจะต้องอ่านเรื่องนี้ให้จบ หลังจากที่ฉันได้อ่าน ฉันกลับได้คำตอบที่ไม่คาดคิดเลยว่า...หัวใจดวงนั้น คือ “ครู” และที่สำคัญ...เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ฉันน้ำตาไหลเลยสักนิดเดียว อ่านแล้ว...กลับทำให้ฉันตลกกับเรื่องราวของเขา แต่...ก็ซึ้งกับความรู้สึกและคำพูดที่เขาได้กล่าวถึงครู เจมส์ได้บอกเล่าถึงวีรกรรมเฮี้ยวๆ ของเขาในสมัยเด็กๆ ที่เคยทำไว้กับครูมากมาย จนบางครั้งก็โดนครูตีทั้งเจ็บทั้งอายเลยทีเดียว สิ่งที่เขาเล่า...ทำให้ฉันคิดถึงวีรกรรมเฮี้ยว ๆ ที่ฉันเคยทำกับครูเอาไว้ขึ้นมาเลย ฉันเองก็โดนตีมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ฉันประทับใจกับพูดของเขามากมาย และประโยคนี้ละที่ทำให้ฉันถึงกับซึ้ง เหมือนมีอะไรมาสะกิดใจฉัน เจมส์เล่าไว้ว่า “หากเปรียบสิ่งที่ครูได้ให้อาจจะเปรียบได้กับหัวใจที่โอบไม่รอบ เพราะหัวใจของคนเป็นครูนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าและยิ่งใหญ่เหลือเกิน” เจมส์อาจจะเป็นคนหนึ่งที่มองข้ามหัวใจดวงนี้ไป เพราะเขาไม่รู้ว่าครูได้ให้อะไรกับเขาบ้าง แต่...วันนี้เขาก็รู้แล้วว่า หัวใจดวงนั้นได้ให้อะไรดีๆ กับเขามากมาย อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ฉันรู้ว่า...ฉันเองก็เป็นเหมือนเจมส์ ฉันก็เคยมองข้ามหัวใจดวงนั้นไป ฉันอาจจะไม่เคยเข้าใจว่า ทำไม? ครูต้องตีฉัน ทำโทษฉัน คอยจ้ำจี้จ้ำไชฉันอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถึงวันนี้...ฉันเข้าใจแล้ว เหตุผลของฉันคงไม่ต่างไปจากเจมส์ และฉันก็รู้แล้วว่า...หัวใจที่เราไม่สามารถโอบได้รอบ แม้ว่าจะใช้คนโอบมากมายก็ตาม แล้วคุณล่ะคะ กำลังมองข้ามหัวใจดวงนี้ไปหรือเปล่า

ที่ฉันยกมาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น โลกใบนี้...ไม่เคยเหงา เล่มนี้ยังมีเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่อง หนังสือเล่มนี้...ไม่ได้น่าสนใจตรงที่ซูเปอร์สตาร์เป็นคนเขียนเพียงอย่างเดียว แต่...ดีตรงที่ผู้เขียนได้ตั้งใจถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา และคนรอบข้างออกมาอย่างน่าประทับใจ แต่ละเรื่องที่เขาเล่า อาจจะสะท้อนความรู้สึกได้ไม่เหมือนกัน บางเรื่อง...อ่านแล้วก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ แต่บางเรื่อง...อ่านแล้วอาจจะน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว และบางเรื่อง...คุณอาจจะคาดไม่ถึงเลยว่า...นี่เหรอเจมส์! นอกจากนี้ก็ยังจะได้เพลิดเพลินกับภาพถ่ายของเจมส์ในวัยเด็กที่รวบรวมไว้มากมาย มีทั้งวัยเด็กแบบซนๆ เปิ่นๆ จนถึงตอนที่เขากลายมาเป็นเจมส์ที่โด่งดัง ซึ่งหาดูจากที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว ฉันบอกได้เลยว่า โลกใบนี้...ไม่เคยเหงา เล่มนี้ดีจริงๆ เพราะนอกจากจะทำให้ฉันได้สัมผัสกับหลากหลายแง่มุมในชีวิตของเจมส์แล้ว ยังทำให้ได้ข้อคิดดีๆ ที่สอดแทรกอยู่ด้วย หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนความคิด ความรู้สึกและตัวตนที่แท้จริงของเจมส์ออกมา ซึ่งถ้าใครไม่ได้อ่านก็จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้เลย ที่สำคัญ...อ่านแล้วทำให้ฉันรู้ว่า เจมส์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวและคนรอบข้างมากทีเดียว นั่นก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า...ฉันต้องรีบกลับไปสำรวจตัวเองแล้วละว่า ฉันละเลยความรู้สึกและให้ความสำคัญกับครอบครัวรวมถึงคนรอบข้างของฉันน้อยไปรึเปล่า เพราะคนเหล่านั้นหวังดีกับฉันไม่น้อยเลยทีเดียว มาถึงตอนนี้...ฉันเข้าใจแล้วว่า ทำไมเจมส์จึงตั้งชื่อหนังสือของเขาว่า โลกใบนี้...ไม่เคยเหงา นั่นก็เพราะว่า...เขามองโลกในแง่ดี โลกใบนี้ของเขาจึงสวยงาม อบอุ่น และไม่เคยเหงา เคล็ดลับง่ายๆ แค่นี้เอง ฉันคงต้องนำไปใช้บ้างละ

ฉันเคยให้เพื่อนๆ ยืมหนังสือนี้ไปอ่านกัน เขาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “รูปเล่มสวย น่าอ่านจัง” ซึ่งก็มีหลายคนที่ไปซื้อเก็บไว้ แล้วคุณล่ะจะไม่ลองหยิบ โลกใบนี้...ไม่เคยเหงา เล่มนี้มาอ่านบ้างเหรอคะ ถ้าคุณอยากได้อะไรดี ๆ เหมือนที่ฉันได้ คุณต้องพิสูจน์เองแล้วละค่ะ แล้วคุณจะได้รู้ว่าความประทับใจที่ต้องแอบอมยิ้มหรือน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวน่ะเป็นยังไง...ไม่ลองไม่รู้นะคะ

หนังสือดีๆ อีกเล่มที่ฉันอยากจะให้ลองอ่านกัน คือ ความสมหวังของแก้ว ซึ่งผู้แต่งก็คือ “โบตั๋น” โบตั๋นเป็นนักเขียนท่านหนึ่งที่ฉันค่อนข้างคุ้นหูและคุ้นตากับผลงานของท่านมาพอสมควร และผลงานของท่านก็ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ที่โด่งดังมากมาย อาทิ สุดแต่ใจจะไขว่คว้า, กว่าจะรู้เดียงสา ฯลฯ ความสมหวังของแก้ว เป็นนวนิยายชีวิต...เล่มบาง ขนาดกะทัดรัด เหมาะแก่การพกพา เนื้อเรื่องมีความยาวไม่มากนัก และเรื่องราวก็ไม่ยืดเยื้อจนเกินไป ภาษาที่โบตั๋นใช้ก็เป็นภาษาง่ายๆ อ่านสบายๆ ไม่ต้องตีความซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ รอบ ที่สำคัญ ความสมหวังของแก้ว เล่มนี้เป็นนวนิยายที่โบตั๋นบอกว่า...รักมากที่สุดนั้นก็พอจะการันตีได้แล้วว่า นวนิยายเล่มนี้ต้องมีอะไรดีๆ แน่นอน

ความสมหวังของแก้ว เป็นเรื่องราวชีวิตของแก้ว เด็กผู้หญิงที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า...สลัม ด้วยเหตุที่พ่อแม่มีลูกหลายคน จึงทำให้แก้วไม่ได้รับความสะดวกสบาย และโอกาสดีๆ ในการเล่าเรียนระดับสูงๆ เหมือนเด็กทั่วไป กอปรกับเธอได้เป็นเพื่อนเล่นกับลูกคนรวย สิ่งที่เธอได้พบ ความสะดวกสบายที่เธอได้แค่เห็น จึงกลับกลายมาเป็นความต้องการมากมายที่เธออยากได้รับ มีเหตุการณ์ร้ายๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอมากมาย จนทำให้เธอต้องตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่ได้รักเพียงเพื่อหนีให้พ้นจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ในที่สุดเธอก็หนีออกมาได้ ผู้ชายคนนั้นทั้งรักและดีกับแก้วมาก และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แก้วรู้สึกดีกับเขา ความต้องการของแก้วสมหวังเหมือนกับแก้วมีมนต์วิเศษคนที่ข่มขืนเธอและพี่สาว ก็ได้รับผลกรรมที่ตนเองก่อไว้ เธออยากหนีให้พ้นจากสภาพที่เลวร้าย เธอก็หนีออกมาจนได้ แต่...มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอต้องการมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเฝ้าพยายามอ้อนวอนขอจากสามี แต่สามีของเธอควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ มันเป็นความต้องการที่แก้วโหยหามาตลอดชีวิต แต่เธอกลับไม่ยินดีอีกแล้ว เพราะความสมหวังที่เธอได้มานั้นต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด คุณอยากรู้ไหมคะว่า...ชีวิตของผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างแก้ว ต้องเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆ อะไรมาบ้าง และความสมหวังที่เธอต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดนั้น เธอแลกมาด้วยอะไรบ้าง คุณจะพบกับคำตอบที่คุณอยากรู้ เพียงแค่คุณ...หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านเท่านั้นเอง

“แก้ว” เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูแล้วอาจจะไม่มีความสำคัญอะไรเลย เพราะ...เธอเกิดในสลัม แม้ว่าเธอจะพ้นจากสลัมในเวลาต่อมา ชีวิตของแก้วก็ไม่น่าสนใจอยู่ดี แต่...เพราะชีวิตของแก้วและผู้คนที่แวดล้อมตัวเธอเป็นชีวิตแบบหนึ่งที่มีอยู่จริงในสังคม รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่แก้วต้องพบเจอก็เป็นเหตุการณ์ที่ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจริงแทบทั้งสิ้น ฉันจึงมองว่า...ชีวิตของเธอน่าสนใจมาก ยิ่งฉันได้อ่านได้รู้จักชีวิตของตัวละครตัวนี้มากขึ้น ทำให้ฉันรู้ว่า...เรื่องราวชีวิตของแก้วน่าสนใจมากทีเดียว

ฉันขอการันตีได้เลยว่า นวนิยายเล่มนี้ดีจริงๆ เพราะนอกจากจะสะท้อนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมแล้ว ยังให้ข้อคิดดีๆ อีกมากมาย ชีวิตของแก้วอาจจะเหมือนหรือแตกต่างจากชีวิตของใครหลายคน เพราะคนเหล่านั้นอาจจะมีชีวิตและโอกาสที่ดีกว่าแก้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่าทุกคนมีเหมือนกับแก้ว นั่นก็คือต้องการความสมหวังในชีวิต เพราะคนเรายังมีกิเลสยังไม่สามารถตัดกิเลสออกไปได้ จึงต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสมหวังในชีวิต หากมองเพียงผิวเผิน แก้วช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีเหลือเกิน แต่...ถ้าได้อ่านเรื่องราวนี้จนจบ คุณจะรู้ว่า...แม้แก้วจะได้ทุกอย่างมาเหมือนกับแก้วมีมนตร์วิเศษ แต่แก้วก็ไม่ได้สมหวังกับทุกอย่างในชีวิต และเมื่อสมหวัง ความสมหวังนั้นก็ต้องแลกมากับความสูญเสีย หลังจากที่ฉันได้อ่านเรื่องนี้ มีหลายคำถามและหลายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ “ทำไมนะคนเราจึงนึกถึงแต่สิ่งที่เราไม่อาจมีได้” “ทำไมเราจึงไม่รู้จักพอใจกับสิ่งที่เรามี” และสุดท้าย...เมื่อเราได้ความสมหวังนั้นมาด้วยความเจ็บปวด เรากลับไม่อยากได้ความสมหวังนั้น ทั้งๆ ที่เราเองเป็นฝ่ายเรียกร้องสิ่งนั้นมาตลอด ฉันยอมรับว่าบางครั้งฉันเองก็เป็นเหมือนกับแก้ว เพ้อฝันหาในสิ่งที่เราไม่อาจมีได้ และฉันก็ไม่อยากเป็นอย่างแก้ว ฉันไม่อยากแลกความสมหวังของฉันด้วยความเจ็บปวด นวนิยายเรื่องนี้จึงสอนให้ฉันรู้จักกับคำว่า “ไม่มีใครสมหวังกับทุกอย่างในชีวิต” และ “จงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่” ประโยคสั้นๆ แค่นี้ แต่...เป็นสิ่งที่ยากเหมือนกัน ถ้าคิดและทำได้อย่างนี้...ฉันคิดว่าเราเองคงจะมีความสุขและคงไม่ต้องมานั่งเสียใจเหมือนกับแก้ว

จุดเด่นเรื่องความสมหวังของแก้ว อยู่ที่ เป็นนวนิยายแนวสมจริง และแตกต่างจากนวนิยายทั่วไป นวนิยายเรื่องอื่นอาจจะลงเอยตรงที่พระเอก นางเอง สมหวังและมีความสุข แต่นวนิยายเรื่องนี้กลับลงเอยที่ความผิดหวัง เสียใจ และความเจ็บปวดของตัวละคร นวนิยายเรื่องนี้คล้ายจะเป็นเรื่องเศร้า หลายตอนในหนังสือเล่มนี้ได้ถ่ายทอดความรู้สึกอันร้าวรานที่ตัวละครได้รับ แต่...ผู้เขียนก็ไม่ลืมที่จะใส่ความสุข ความสมหวัง และรอยยิ้มของตัวละครลงไป เพื่อทำให้นวนิยายเล่มนี้สมจริงและน่าอ่านมากขึ้น อ่านแล้ว...คุณจะรู้ว่าคุ้มค่าจริงๆ

มาถึงบรรทัดนี้ คุณคงจะได้เห็นถึงความแตกต่างของหนังสือที่ฉันกล่าวถึง ซึ่งก็คือ โลกใบนี้...ไม่เคยเหงา และความสมหวังของแก้ว หนังสือสองเล่มนี้ อาจจะแตกต่างที่ประเภทและแนวของหนังสือ หนังสือแต่ละประเภทก็สื่อเรื่องราวออกมาแตกต่างกัน แต่...ในความแตกต่างนี้ก็ยังสามารถให้สิ่งดีๆ ที่ทำให้ผู้อ่าน อ่านแล้วรู้สึกได้ว่าได้คุณค่า และเป็นประโยชน์เหมือนๆ กัน นี่แหละค่ะคือ “ความแตกต่างที่เท่าเทียมกัน”

เป็นอย่างไรบ้างคะกับหนังสือที่ฉันแนะนำไป ถ้าคุณสนใจก็ไปหามาอ่านกันได้นะคะ หรือ...ถ้าคุณยังไม่มีหนังสือในใจ ฉันก็ไม่สงวนสิทธิ์ที่จะให้หนังสือสองเล่มนี้ไปอยู่ในใจคุณด้วย