![]() |
นายทัชนะ ประชาราษฎร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จ. หนองคาย |
เรื่อง การอ่านหนังสือคือการลงทุนที่ไม่ขาดทุน...ผมเติบโตมาจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ท่ามกลางทุ่งนาผืนเล็กที่ล้อมรอบไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ และสวนยางพาราที่ขึ้นเป็นแถวอยู่รายรอบ ผมเคยเพาะต้นกล้ายางพาราในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และตอนหลังเลิกเรียนทุกๆ วัน โรงเรียนของผมอยู่ในตัวเมือง ผมจึงมีโอกาสได้พบเห็นถึงความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย แต่สิ่งเหล่านี้กลับนำมาซึ่งความสับสนอลหม่านวุ่นวายของสังคมเมือง ทั้งสภาพอากาศที่เป็นพิษ น้ำเน่าเสีย ฯลฯ แต่ตรงข้ามกับบ้านผมที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และความสวยงามทางธรรมชาติสายน้ำใสซึ่งหล่นมาจากผาสูง ตกกระทบหินแผ่ละอองความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กระจายเป็นฝอยๆ กระทบกับแสงแดดอันอบอุ่นอยู่รำไร มองแล้วชวนหลงใหลในประกายความงดงามของสายรุ้งที่เรียงสลับเส้นสีกันเป็นวงโค้ง รายรอบไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ พร้อมกับสภาพสังคมอันน่าอยู่ของชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ที่เกือบจะไม่เหลืออยู่ให้เห็นกันเลยในสังคมไทยปัจจุบัน แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงไว้ซึ่งความทรงจำอย่างไม่รู้ลืมของสองนักเขียนชื่อ มานพ แก้วสนิท และ ประสิทธิ์ มุสิกเกษม จนวันหนึ่งจินตนาการอันล้ำค่าของนักเขียนทั้งสองท่านนี้ได้ถูกถ่ายทอดความรู้สึก ผ่านปลายปากกาสู่กระดาษอันขาวสะอาดบริสุทธิ์ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเสียงหัวเราะ และคราบน้ำใจที่เบ่งบานเต็มที่เรียงแผ่นต่อกันจนเป็นรูปเล่ม จนถูกกล่าวขานกันว่า ชนบทที่รัก และชีวิตบ้านป่า ทำให้เยาวชนคนไทยทุกคนมีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึก และได้เรียนรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ แต่ไม่เคยห่างเหินกับความมีน้ำใจเลยแม้แต่น้อย ด้วยความตระหนักถึงคุณค่าของหนังสือ ที่เปรียบดั่งอัญมณีทางปัญญาอันล้ำค่าอย่างมหาศาล ที่ถูกถ่ายทอดมาจากจินตนาการของบุคคลคนหนึ่ง บวกกับความรู้สึกรักในการอ่าน ความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งความรู้สึกผูกพันที่มีกับหนังสืออันทรงคุณค่าสองเล่มนี้ อีกทั้งได้เล็งเห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของการอ่านหนังสือ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนไทย ผมใคร่อยากจะแนะนำ ถ่ายทอดจินตนาการและความรู้สึกที่มี ไม่ว่าจะเป็นความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือแม้กระทั่งความเวทนาอันน่าสงสาร ความน้อยเนื้อต่ำใจของตัวละครที่ผมได้รับจากการอ่านหนังสือทั้งหมด โดยการถ่ายทอดความรู้สึกผ่านงานเขียนฉบับนี้ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนไทยทุกคนรักการอ่าน เพราะการอ่านหนังสือมีประโยชน์ต่อเราหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เป็นคนรอบรู้ที่หลากหลาย ช่วยให้คนเราเฉลียวฉลาดมีไหวพริบที่ดี ยิ่งอ่านมากยิ่งรู้มาก และยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ของเราเองให้กว้างไกลขึ้น ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้ท่องเที่ยวไปไหนไกลๆ แต่ถ้าเราเปิดโลกของเราด้วยการอ่านหนังสือมากขึ้น แค่นี้ก็เปรียบเสมือนกับว่าเราได้ท่องเที่ยวไปในดินแดนต่างๆ มากมายเหล่านั้นแล้ว และผมก็เชื่อว่าใครก็ขโมยเอาความรู้สึกสนุกสนานที่ได้จากการอ่านหนังสือของเราไปไม่ได้ ถึงได้ก็ไม่หมด... ในท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของสังคมเมือง ในอีกมุมมองของสังคมหนึ่งที่ยังคงวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุข ท่ามกลางธรรมชาติอันแสนสวยงาม ใครๆ ก็กล่าวขานว่า ชนบทที่รัก ถูกเรียบเรียงและถ่ายทอดโดย มานพ แก้วสนิท ด้วยความโดดเด่นทางด้านวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าจึงได้รับความสนใจจากผู้อ่านอย่างกว้างขวาง จนถูกจัดพิมพ์ขึ้นถึงสี่ครั้งด้วยกัน เรื่องราวชนบทอันเป็นที่รักจึงถูกถ่ายทอดจินตนาการออกมาในรูปแบบเรื่องสั้นที่นำเสนอไว้เป็นตอนๆ ไม่ว่าจะเป็น วิถีการดำรงชีวิตในชนบท เช่น ในตอนการเกี่ยวข้าว, เผาซังในนา, งานฉลองทุ่ง, เผาถ่าน, หน้าน้ำ-น้ำท่วม, คืนหนึ่งของหน้าหนาว, มันมากับสายน้ำ ฯลฯ การละเล่นพื้นบ้านของเด็กๆ เช่น ม้าหางแดง, ว่าวที่ขาดลอย, ฉัดขนไก่, ฉับโผง, จากเป่ากบถึงยิงราว, ตะลุยโรงเล็ก ฯลฯ และอาหารจานโปรดจากป่า เช่น ส่องไฟยิงมูสัง, ยอนไข่มดแดง, ช้างเหยียบฟ้าครอบ, คลั่กนกคุ่ม เป็นต้น เรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้เปิดฉากขึ้นด้วยการละเล่นพื้นบ้านที่สุดแสนจะน่ารักของเด็กๆ ที่ชอบเรียกติดปากว่า ม้าหางแดง นั่นเอง โดยเหล่าเด็กๆ ผู้น่ารักทั้งหลายในชนบททั้งหกคนด้วยกันคือ จุก จอม เปี๊ยก จ้อย สา และแสง ที่จะมามอบความสนุกสนาน แฝงความน่ารักที่แตกต่างกันออกไปคนละแบบ ถึงแม้จะซนไปบ้างในบางครั้งแต่นั่นก็อาจเป็นเพราะนิสัยของเด็กผู้ชายเขาเล่นกัน แต่ที่สำคัญความสนุกสนานเหล่านี้จะมีความโดดเด่นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้เขียนเองที่ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเด็กๆ ให้ออกมามีชีวิตชีวาได้ถึงเพียงนี้ เด็กๆ เหล่านี้มักใช้บริเวณลานดินในหมู่บ้านที่ถูกลมกลบจนราบเรียบหาความสนุกสนานเล่นกัน หรือแม้แต่กลางทุ่งก็เถอะ เพราะช่วงนี้เป็นฤดูหลังการเก็บเกี่ยว ลมทุ่งพัดแรง เด็กจึงชวนกันออกมาปล่อยว่าวเล่นกัน ทุ่งนาจึงไม่เคยขาดผู้คน เสียงร้องโหวกเหวกของเด็กๆ ดังอยู่ไม่ขาดระยะด้วยความสนุกสนาน ท้องฟ้ากลาดเกลื่อนไปด้วยว่าวนานาชนิดสีสันสวยงาม ดังเช่นว่าวนก ว่าวปลา ว่าวงู และว่าวปักเป้า ลีลาการโต้ลมของว่าวแต่ละตัวก็โดดเด่นไม่แพ้กัน โลดแล่นอวดความสวยงามอยู่บนท้องฟ้า ทำเอาเด็กๆ กรีดร้องเกรียวกราวดังลั่นไปทั่วทุ่ง แต่ความสนุกสนานเหล่านี้เด็กๆ ไม่เคยต้องทำให้ผู้ใหญ่เดือดร้อน ด้วยความโดดเด่นของการใช้ภาษาได้อย่างยอดเยี่ยม วรรณกรรมเล่มนี้จึงดูเหมือนมีชีวิตชีวา อ่านแล้วไม่เครียด นอกเสียจากอารมณ์ขันที่ผู้แต่งได้สอดแทรกไว้เป็นช่วงๆ ด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่สามารถบรรยายฉากที่ได้อารมณ์ แฝงความน่ารักน่าเอ็นดูไว้ตลอดเรื่อง ดังเช่นในฉากหนึ่งของตอนที่มีชื่อว่า เกี่ยวข้าว ที่พรรณนาว่า เดือนสี่มาถึง ข้าวรวงทองพลิ้วลมอยู่ในทุ่ง นาบางทุ่งข้าวล้มลู่ ด้วยรับน้ำหนักรวงข้าวไม่ไหว ลมทุ่งพัดอยู่ตึงๆ แดดเปรี้ยงฟ้าปานหัวจะแตก จุกเดินตามหลังแม่ไปต้อยๆ บนคันนาที่วกวนไปมา นอกจากนี้ยังได้แฝงข้อคิดไว้เตือนสติเด็กซนทั้งหลาย ในตอนที่จุกและจอมเผลอไปขโมยแตงโมของคุณลุง กับตอนที่มีชื่อว่า นักขโมยน้อย ที่สอนไว้ว่า สัญญากับลุงนะว่าจะไม่หัดลักเล็กขโมยน้อยอีก มันไม่ดีไอ้หลานชาย เดี๋ยวจะติดนิสัยไปจนถึงผู้ใหญ่ เรื่องราวความสนุกสนานยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความรู้สึกที่ได้รับจากการอ่านเท่านั้น ชนบทที่รัก ยังรอให้ทุกคนมาดำเนินเรื่องราวต่อ ความเอื้ออาทรต่อกันและเรื่องราวของความดีงามถูกเรียบเรียงโดย มานพ แก้วสนิท ยังรอเยาวชนชาวไทยมาสานทอวัฒนธรรมและความดีงามของชาวชนบทให้คงอยู่ และตราตึงอยู่ในหัวใจนักอ่านทุกท่าน ความยากจนมันช่างเป็นสิ่งที่เลวร้ายเสียจนทำให้อนาคตของเด็กผู้น่าสงสารคนหนึ่งต้องหมดหวัง ขาดโอกาสทางการศึกษา เรื่องราวของเด็กก่อนวัยรุ่นคนนี้ที่เขาต้องพลัดพรากจากเพื่อนฝูงทั้งญาติสนิทมิตรสหาย จนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เพื่อย้ายถิ่นฐานตามครอบครัวเข้ามาอาศัยอยู่ในป่า กลาย เด็กผู้น่าสงสารได้แต่พูดปลอบใจตัวเองและนิยามให้กับชีวิตใหม่ของเธอว่า ชีวิตบ้านป่า เป็นที่มาของหนังสือสุดโปรดเล่มนี้ ถูกเรียบเรียงและถ่ายทอดโดยนักเขียนอย่าง ประสิทธิ์ มุกสิกเกษม โดยใช้ตัวละครนามว่า กลาย มาถ่ายทอดความรู้สึกของผู้ที่มีจิตใจอันอ่อนโยน ที่ต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์อันน่าเวทนาของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาไม่เว้นแต่ละวัน เพื่อแลกกับอาหารประทังชีวิตไปวันๆ เธอจะรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนแฝงไว้ในเรื่องพร้อมที่จะให้ผู้อ่านได้รู้จักคิดหวงแหนป่าไม้ เพื่อหาหนทางในการช่วยกันอนุรักษ์สัตว์ป่า ทำให้หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลดีเด่นเมื่อปี พ.ศ. 2521 มาอย่างภาคภูมิใจ เรื่องราวของเด็กผู้น่าสงสารคนนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในป่าแห่งใหม่ๆ กลายเรียนจบเพียงชั้น ป. 4 เธอก็ต้องหยุดเรียนเพราะฐานะทางบ้านย่ำแย่ ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกกับต้อยเพื่อนรักของเธอว่าจะเรียนต่อโรงเรียนเดียวกัน แต่ความหวังของกลายต้องสลายเมื่อพ่อบอกกับกลายว่า อย่าเรียนเลยลูก เราไม่มีเงิน กลายถึงกับกลั้นน้ำตามิให้ไหลไว้ไม่ได้ จากมือที่เคยจับปากกา กลับต้องมาจับเครื่องมือล่าสัตว์ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่กลายคาดฝันไว้ในอนาคตของเธอแม้แต่นิด ทุกครั้งที่กลายออกล่าสัตว์กับพ่อ กลายทนไม่ได้กับสภาพความเจ็บปวดทุรนทุรายของสัตว์นานาชนิดที่ถูกล่า ทั้งนกกินน้ำ, ไก่ป่า, หมูป่า, เม่น, กระจง หรือแม้แต่ลูกชะนีตัวเล็กๆ ก็ไม่เคยเว้น ตอนที่ผมสลดใจที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่พ่อของกลายยิงแม่ชะนีตาย เพื่อเอาลูกตัวเล็กๆ ไปแลกกับเงินเพียง 60 บาท แต่พลาดท่าไปถูกลูกชะนีด้วย ทำเอาหัวใจของกลายหล่นวูบหน้าตาหม่นหมองและพูดกับพ่อว่า เมื่อไหร่หนอคนเราจะเลิกรังแกสัตว์ เลิกล่าสัตว์สักที ต้องรอให้สัตว์สูญหายไปจนหมดป่าเชียวหรือถึงจะคิดได้ ก่อนที่กลายและพ่อจะเดินหนีความตายอย่างน่าเวทนาของชะนีแม่ลูกคู่นั้น อยู่มาวันหนึ่ง ครูรุ่งโรจน์ได้พาเพื่อนครูเข้ามาพักแรมในป่าแห่งนี้ และได้ปรึกษากับพ่อของกลายว่า ควรจะให้กลายกลับไปเรียนต่อ ส่วนเรื่องเงินและที่พักผมจะจัดการให้เอง ด้วยความดีใจกลายจึงขอบคุณครูรุ่งโรจน์ก่อนใคร แสงเทียนในหัวใจที่จวนจะกลับทอประกายแสงสว่างขึ้นมากลางหัวใจอีกครั้ง แล้ววันพรุ่งนี้ ชีวิตของกลายก็คงจะได้พบกับเส้นทางสายใหม่ที่สุดสวยกว่าเส้นทางจำเจสายเก่า ผมคิดว่า ตะวันลับขอบฟ้าได้ ก็ย่อมเปล่งแสงรับอรุณได้ และถ้าวันพรุ่งนี้ กลายจะกลับมาแต่งเครื่องแบบนักเรียนอย่างเด็กคนอื่นๆ อีกครั้งก็เห็นจะไม่แปลกอะไร การอ่านนอกจากจะมอบความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจให้กับตัวเราแล้ว ยังเป็นการสร้างลักษณะนิสัยให้เป็นคนรักการอ่านที่ดีด้วย เพราะหนังสือเปรียบดั่งอัญมณีอันล้ำค่า คนที่รู้จักไขว่คว้าเท่านั้นจึงจะเข้าถึงขุมทรัพย์อย่างแท้จริง แต่ก็เป็นที่น่าเสียใจที่ผลการวิจัยออกมาว่า คนไทยอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยต่อคนต่อปีแล้วไม่ถึงสองบรรทัดด้วยซ้ำ เพราะบางคนบอกว่าไม่มีเวลา ทั้งๆ ที่ทุกคนก็มีเวลา 24 ชั่วโมง การอ่านหนังสืออาจจะต้องลงทุนบ้าง แต่การอ่านหนังสือก็ไม่เคยทำให้เราขาดทุน เยาวชนคนไทยเอ๋ย เรามาเติมพลังให้สมองของเราด้วยการอ่านหนังสือกันเถอะครับ ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นและความรู้สึกของตัวผมเพียงผู้เดียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของท่าน... | |
นายทัชนะ ประชาราษฎร์ อายุ 17 ปี เกิดวันที่ 12 ตุลาคม 2529 ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย บ้านเลขที่ 75 หมู่ 4 บ้านโนน ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 43120 โทร. 0-7218-8914 ที่อยู่โรงเรียน โรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 43120 ผู้รับทราบการส่งผลงานเข้าประกวด อ . เนตรนภา เทียมแก้ว |