![]() |
ด.ญ. พฤษชา มณีพฤกษ์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตสถาบันราชภัฏเทพสตรี จ. ลพบุรี |
เรื่อง ผจญภัยแบบไทยแท้จากลูกไพรจนถึงลูกอีสานการผจญภัย ก็คือการต่อสู้กับภัยต่างๆ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ จากหนังสือทั้งสองเล่มนี้เป็นการผจญภัยของเด็กชาย ลูกไพร นั้นเหตุการณ์ผจญภัยเกิดอยู่ในป่าอันอุดมสมบูรณ์แถบภาคตะวันตกของไทยติดชายแดนพม่า ส่วนลูกอีสาน เป็นการผจญภัยกับความแห้งแล้งแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบันนี้ชาวชนบทส่วนใหญ่แทบจะทุกๆ แห่ง ก็ผจญภัยเหมือนอย่างลูกอีสาน คงเป็นเพราะป่าไม้ที่เคยอุดมสมบูรณ์อย่างลูกไพร ไม่ค่อยจะมีเหลือแล้ว เราจึงไม่เคยพบสัตว์แปลกๆ หรือการเผชิญกับสัตว์ป่าอันน่าตื่นเต้นเลย นอกจากในหนังสือนี้ เรื่องทั้งหมดเริ่มจาก เขิ่ง ซึ่งเป็นลูกของนายพราน กับ แสน ซึ่งเป็นลูกของเจ้านายที่พากันมาตั้งแคมป์ในป่า เขิ่งและแสนอายุ 14 ปีเท่ากัน เขิ่งชวนแสนออกไปดักแย้ กับหาเต่าหกขา จนทั้งสองหลงป่าและหาทางกลับแคมป์ไม่ได้ เก็กๆๆ เสียงอะไรน่ะ? แสนถาม เขิ่งตอบว่า เก้ง และเก้งก็เห่าเหมือนหมาในเวลาที่มันตกใจ มันตกใจที่เจอเสือดาว! ดูรอยเท้ามันสิเหมือนรอยตีนแมว ก็แมวป่าตัวใหญ่ไง ในระหว่างที่เขิ่งกับแสนเดินหาทางกลับแคมป์นั้น ก็เจอซากเก้งที่ถูกเสือดาวกิน เสือจะกินจากตูดมาทางโคนขา ยิ่งเดินไปก็ยิ่งมืดหาทางออกไม่ได้ หิวก็หิว เสียดายที่ไม่ได้หิ้วเนื้อเก้งติดมือมาด้วยอากาศในป่าก็หนาว เขิ่งก่อกองไฟโดยใช้ไม้ไผ่เจาะรูเรียกว่าทำตะบันไฟจนไฟติด เขิ่งออกไปจับกบทูดมาย่างกิน กบทูดตัวจะใหญ่มากเนื้อก็อร่อยมาก อร่อยกว่าเนื้อไก่อีก พอกินอิ่มก็หาที่นอนในป่าเงียบสงัด แสนคิดถึงพ่อ ป่านนี้คงตามหากันจ้าละหวั่นแล้ว นั่นเสียงอะไรน่ะ เหมือนคลื่นกระทบชายหาดอยู่ในป่านี้ เขิ่งบอกว่าเสียงช้าง น้ำในท้องช้างน่ะ แล้วก็มีกลิ่นสาบโชยมา กลิ่นสาบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขิ่งกระซิบบอกว่านั่นแหละกลิ่นสาบเสืออ้ายลายละ แสนนอนใจไม่ดีทั้งคืน ตกใจตื่นตอนเช้ามองไม่เห็นใครเลย เขิ่งล่ะ เขิ่งหายไปไหน กลัวเสือก็กลัว จะไปไหนก็ไม่กล้าได้แต่นั่งรอ แล้วเขิ่งก็กลับมา ไปเร็วเราไปดูกัน เขิ่งพาแสนไปดูซากศพเสือโคร่ง ห่างไปอีก 50 ก้าว ก็เจอแม่ช้างยืนนิ่งเหมือนตายระหว่างต้นไม้สองต้น ที่ขนาบข้างลำตัวช้างไว้ไม่ให้ล้มได้อย่างพอเหมาะทีเดียว เขิ่งตรวจดู มันเจ็บหนักใกล้ตาย โดนขย้ำเข้าที่คอ แต่เพราะเป็นช้างแม่ลูกอ่อนมันจึงป้องกันต่อสู้อย่างเต็มที่ถึงได้ล้มเสือโคร่งลงได้ พวกเขาหิวจึงจัดการกับซากเสือโคร่งเป็นอาหาร เขิ่งเลือกกินหัวใจเสือ จะได้มีใจกล้าเหมือนเสือ ส่วนแสนเลือกกินตับจะได้ไม่กลัวตุ๊กแกอีก แอ๊กๆๆ เสียงลูกช้าง แม่มันตายแล้วและมันก็กลัวเสือด้วย ลูกช้างจึงตามเขาตลอด เขิ่งบอกว่ายังมีเสือโคร่งอีกตัวหนึ่ง มันตัวใหญ่มากดูจากรอยเท้าของมัน พวกเราไม่ปลอดภัย เขิ่งจึงหลาวไม้ไผ่แหลมๆ และทำจั่นห้าวดักเสือ คืนนั้นแสนนอนหลับไปพร้อมกับความกลัว มีลูกช้างน้อยอยู่ใกล้ๆ พอตกดึกกองไฟเริ่มมอด...มันก็มา เสือเดินมาพร้อมกลิ่นสาบอันรุนแรง มันเดินมาติดจั่นห้าวแล้ว แต่เสือตัวนี้ใหญ่มากมันจึงไม่ตายทันที มันร้องด้วยเสียงอันดัง คำรามก้องด้วยความโกรธ ทันใดนั้นจั่นที่วางไว้หักลง มันหลุดจากจั่นได้ก็วิ่งพุ่งเข้าใส่เขิ่งทันที แต่เขิ่งยกไม้ไผ่ที่หลาวแหลมๆ เตรียมไว้ก่อนแล้วนั้นขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เสือพุ่งกระโจนใส่ ไม้ไผ่นั้นก็เสียบทะลุเข้าหัวใจมันตายทันที คราวนี้นอกจากกินหัวใจแล้ว เขิ่งยังแล่เนื้อไว้กินและเลาะหนังเสือเก็บไว้อีกด้วย พอรุ่งเช้าเขิ่งกับแสนก็พากันหาทางออกจากป่าอีก จนไปเจอซากเครื่องบินตกไม่มีใครรอด จึงกลับมาที่เก่า ปรากฏว่าเนื้อเสือที่แล่ไว้หายเกลี้ยง ไม่มีอะไรจะกินอีกแล้ว ก็ตัวแลนหรือตัวเหี้ยมาลักไปกิน เขิ่งต้องออกไปจับบึ้งมาเผากิน บึ้งก็คือแมงมุมยักษ์ตัวใหญ่สีดำ รสชาติเหมือนกุ้งเผา ถ้าบึ้งตัวไหนมี 10 ขา เรียกว่าบึ้งบ้า ใครกินไปจะเป็นบ้ารักษาไม่หาย ปกติบึ้งจะมีแปดขา ชาวบ้านถือว่าเป็นของดี เชื่อกันมาแต่โบราณว่าเป็นยาอายุวัฒนะ กินบ่อยๆ จะไม่ป่วยไข้ จะทนแดดทนฝน ส่วนขาบึ้งถือเป็นยาชูกำลัง และนี่คือช่วงหนึ่งของเขิ่งกับแสนที่กำลังผจญอยู่กับความหิว ต้องไปหาสัตว์เล็กๆ มากินเพื่อความอยู่รอด แสนนั้นถึงไม่เคยกินก็ต้องกิน พวกเขากำลังผจญภัยเหมือนในลูกอีสาน เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมคนอีสานถึงกินปลาร้า กินจักจั่น จิ้งหรีด กิ้งก่า ตุ๊กแก แย้ ฯลฯ ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่น่ากินเลยสักนิด ก็คงเหมือนกับเขิ่งและแสนที่ยังหาทางออกจากป่าไม่ได้ ความหิว สภาวะที่ยากลำบาก การกินเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดจึงไม่สำคัญว่ากินอะไร เคยกินมาก่อนไหม ซึ่งบางทีรสชาติมันก็อร่อยดี และกินกันตายเพื่อปะทังความหิว อาหารพอให้มีตกถึงท้องก็จะมีกำลังหาทางกันต่อไป ในลูกอีสาน เป็นเรื่องของเด็กชายคูนกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน ที่ จ. ยโสธร ซึ่งแห้งแล้งมาก ถึงหน้าฝน ฝนก็ไม่ตก จะปลูกข้าวทำนาก็ไม่ได้ ข้าวสารก็จะหมด จนต้องออกเดินทางไปหาจับปลากันถึงลำน้ำชี ที่ จ. อุบลราชธานี เดินทางไปโดยเกวียน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกับเราชาวเมืองราวฟ้ากับดิน ซึ่งลูกอีสานมีความอดทนสูงมาก ทนแล้ง ทนอด ต้องดิ้นรนหาทางกันไป ธรรมชาติไม่ส่งฝนมาให้ พวกเขาก็ต้องพึ่งความเชื่อเป็นความหวัง เป็นกำลังใจ มีการแห่นางแมวขอฝน บางคนก็สักลายตามตัว ตั้งแต่หัวเข่าไปจนสุดโคนขา สักจากบั้นเอวไปทางหน้าอกสุดคอหอย เป็นความเชื่อมานานแล้วว่าจะทำให้ใจกล้าหาญ ไม่กลัวแดดกลัวฝน ไม่กลัวผู้ร้าย แต่คนสักลายต้องไม่ไปหาเรื่องผู้อื่นจึงจะดี คงจะเหมือนที่เขิ่งกินหัวใจเสือโคร่งน่ะ แต่ตำรานี้เขาใช้ดีงูเหลือมกับน้ำมันงูเหลือมในการสักว่ากันว่ามันขลังดี ถ้าคนที่สักตายแล้วเอาแผ่นหนังตรงรอยสักไปย่างไฟ รอยสักก็ยังเห็นอยู่ ด.ช. คูน เขาก็ไปดูคนโตเขาสักลายกัน คูนถึงวัยต้องไปโรงเรียนแล้วก็คงสัก 7-8 ขวบ คูนมักตามพ่อไปหาอาหาร จับจักจั่นมากินกับข้าวโดยการหยิกหัวออกเด็ดปีกเด็ดขาแล้วรีดขี้ออก เอาใบกระโดนอ่อนๆห่อจักจั่นจิ้มกับแจ่วกินอร่อยดี เจองูสิงก็ทำห่วงจับงูเอาไปทำอาหารกินได้ จิ้งหรีดก็จับมาทำป่นจักจั่นกิน ถือว่าเป็นอาหารสุดยอด พอเดินทางเกือบถึงแม่น้ำก็มีฝนตก ก็เปลี่ยนเป็นออกจับอึ่ง พ่อของคูนสอนวิธีการจับอึ่งที่ฉลาดมาก แทนที่จะไปวิ่งจับอึ่งทีละตัว ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง แต่พ่อคูนใช้วิธีจับอึ่งอ่างตัวหนึ่งที่ร้องเสียง อึ่งอ่างๆ ด้วยเสียงอันดังกว่าตัวไหนๆ มาใส่ข้องไว้ แล้วบอกให้คูนนั่งรอ ไม่นานนักก็มีอึ่งลอยน้ำมาทางข้องที่อึ่งถูกขังอยู่ คูนก็จับใส่ข้องของเขาอย่างว่องไวและจับได้เยอะมาก คูนดีใจและรู้สึกสนุกจริงๆ พ่อบอกว่าอึ่งตัวเมียจะไม่ร้อง ถ้าตัวผู้ตัวไหนร้องเสียงดังๆ อึ่งตัวเมียจะไปหา การเดินทางของคูนเหมือนเดินตามลายแทงไปหาสมบัติ การหาอาหารจับสัตว์ระหว่างทางก็เหมือนสมบัติที่สามารถเก็บสะสมไปเรื่อยๆ นั่นหมายถึงเขาจะได้มีอาหารกินไปได้หลายๆ มื้อ การจับสัตว์ได้มากหรือได้น้อย ก็เป็นวิถีชีวิตที่น่าตื่นเต้นของคูนไปจนตลอดเส้นทางถึงลำน้ำชี และการช่วยพ่อจับปลาในแม่น้ำ มีแม่คอยจัดการกับปลาที่จับมาได้ แปรสภาพโดยการถนอมอาหาร ทำปลาร้า ปลาส้มน้อย ปลาย่าง กบย่าง อึ่งอ่างย่าง หม่ำไข่ปลา เพื่อจะเอาไปแลกข้าว แลกเงินกลับบ้าน แต่การเดินทางก็ไม่ง่ายอย่างนั้น พวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคทั้งในน้ำและบนบก มันหนักมากกับการแบกภาระทั้งครอบครัวบนเกวียนเล่มหนึ่ง ทั้งขรุขระ ทุลักทุเล และยังกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่พัดพาของรักของพ่อไป เนื้อเรื่องในหนังสือไม่ได้จบแค่นี้นะคะ ขอให้เพื่อนๆ เป็นกำลังใจและลองอ่านลูกอีสานอย่างเด็กชายคูนด้วยค่ะ สำหรับการเดินทางของเขิ่งกับแสนถึงแม้ว่าจะไม่ต้องทนกับความร้อนและแห้งแล้ง แต่พวกเขาก็เผชิญกับความเย็นกับสายฝนที่ตกอยู่ตลอดเวลา ต้องสุมไฟไล่ยุง เจอแอ่งน้ำก็จับปลากิน เจอเต่าก็จับมาย่างกิน รสชาติเหมือนเนื้อหมู ขณะนั้นเขาได้ยินเสียงคนเป่าใบไม้ เขิ่งเลยออกไปดู คนหามอะไรไปน่ะ นั่น! เด็กผู้หญิง เขิ่งเดินตามไปดู ระหว่างทางเจอศพคน อีกทางหนึ่งตัวคนถูกย่างกิน ว้า พวกว้ากินคน แล้วพวกนั้นจะเอาเด็กผู้หญิงไปกินหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขิ่งรีบกลับไปบอกแสน พวกเขาจึงจูงลูกช้างแล้วตามมันไปเพื่อจะช่วยเด็กผู้หญิง ขณะเดินไปก็เห็นควันไฟลอยขึ้นสูง คงจะเป็นหมู่บ้านของพวกว้า และทันใดนั้นพวกเขาก็ตกลงไปในหลุมดักของพวกว้ากินคน จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเด็กชายทั้งสองไม่มีสติ ความกลัวทำให้สติเขาเตลิดเปิดเปิงหนีไปไหนต่อไหน แต่เขิ่งใช้จุดวิกฤตให้เป็นโอกาส ต้องยอมรับในไหวพริบความฉลาดของเขิ่ง ที่สามารถช่วยแสนและช้างน้อยให้หลุดพ้นภัยได้ การพูดจาของเขิ่งกับการใช้ทุกสิ่งที่นำติดตัวให้เป็นประโยชน์ หัวหน้าของว้าทึ่งในตัวเขิ่งที่สามารถจับลูกช้างด้วยมือเปล่า เขิ่งเอาหนังเสือที่แล่มานั้นให้หัวหน้าเผ่าว้า หัวหน้าเผ่าถามเขิ่งว่าหนังเสือตัวนี้ตัวที่เท่าไหร่ เขิ่งบอกว่าจำไม่ได้แล้วว่าเป็นตัวที่เท่าไหร่ หัวหน้าเผ่าก็คิดในใจว่าเด็กตัวแค่นี้เก่งจังคงจับเสือมาเยอะจนจำไม่ได้ จึงถามต่อว่าตัวนี้ใหญ่สุดเหรอ เขิ่งบอกว่าเล็กสุด แต่หัวหน้าเผ่าว้าบอกว่า เก่งเกินไปไม่เชื่อต้องเห็นด้วยตาตนเอง ให้เขิ่งไปจับเสือตัวใหญ่ที่อาละวาดอยู่บนดอย พวกว้าทำจั่นดักแล้วไม่ได้ผล เขิ่งรับคำโดยขอแลกกับอิสระให้ปล่อยพวกเราไป ขณะนั้นในใจแสนเป็นกังวลห่วงว่าเขิ่งจะจับเสือไม่ได้ เมื่อถึงเวลาไปจับเสือ เขิ่งให้ทุกๆ คนนอนบนห้างต้นไม้ แล้วเขิ่งก็ทำจั่นดักมันโดยมีพวกว้าช่วยสร้างจั่นดัก ทำสองชั้น เพื่อที่จะได้เสือเป็นๆ ให้หัวหน้าว้าดู เขิ่งใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเข้าไปอยู่ด้านในสุด มีเพียงไม้กั้นเป็นกรง แสนว่ามันเสี่ยงเกินไป แต่เขิ่งมั่นใจว่าทำได้ คืนนั้นทุกคนก็นอนรอด้วยความเงียบสงบ ตกดึก เสียงเสือเดินมา ท่ามกลางความเงียบงัน ฮัดเช่ย! เขิ่งจาม เสือตกใจเลยผละออกไป และพวกเขาต้องรอต่อไป สักพักก็ได้ยินเสียงแพะร้อง แล้วเสือก็เดินเข้ามาติดจั่น เสือร้องคำรามดังลั่นกึกก้องไปทั้งป่า ทุกๆ คนเตรียมพร้อมรีบมาเอาเขิ่งออกก็ได้เสือใส่กรง ช่วงนี้ระทึกมาก ขณะอ่านนั้นรู้สึกตื่นเต้นกลัวพลาด เหมือนเป็นเราเองที่กำลังผจญกับเสือนั้น แต่ใช่ว่าลูกไพรจะจบลงง่ายๆ เช่นนี้ เขาได้อิสระและได้พาเด็กหญิงระกาเดินทางกลับด้วย แต่กว่าจะได้เดินทางกลับก็เจอกับศึกต่อสู้กันระหว่างเผ่าว้ากับเผ่าลัวะ ซึ่งแน่นอนเขาได้ใช้กลยุทธ์ต่างๆ วางกับดัก วางขวากหนาม วางจั่นห้าว ฯลฯ เพื่อช่วยพวกว้าจนสำเร็จ พวกว้าจึงให้คนเดินมาส่ง พอตกค่ำก็พักนอนในถ้ำ พอตื่นมาตอนเช้าน้ำป่ามาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวหนีไม่ทันแล้ว แสนก็พลัดจากไป มองหาใครหันไปทางไหนก็ไม่เจอ ความรู้สึกมันเคว้งคว้าง แล้วแสนก็ได้ยินเสียง แอกๆ ช้างมาหาเขามาดึงเขาขึ้นไป และพาเดินไปจนเจอเขิ่งกับระกานอนสลบอยู่ ลูกเผ่าว้าสี่คนนั้นหนีขึ้นต้นไม้ พอน้ำมาแรงๆ จนต้นไม้ล้ม แต่พวกเขาว่ายน้ำไม่เป็นจึงตายกันหมด พวกเขาต้องเดินทางต่อไป เขิ่งจึงต่อแพไปทางน้ำนี้ ในการเดินทางบนแพนั้นน่าหวาดเสียวมาก ฝนตกหนัก น้ำเชี่ยวจึงทำให้แพแตก เขิ่งหลุดหายไปกับกระแสน้ำ แสนกับระกาขึ้นฝั่งได้ การเดินทางของพวกเขาถึงจุดพลัดพรากจากกัน การเดินทางนี้ยังต้องเจอกับอะไรอีกพวกเขาก็ไม่รู้ พ่อแม่จะออกตามหาแสนเจอไหม เขิ่งจะตายหรือเปล่า ยิ่งเดินทางต่อไปในป่าก็ยิ่งมืดมนจมดิ่งหาทางกลับบ้านไม่ได้ ยิ่งในป่าลึกประกอบความกลัวในใจของเด็กวัย 14 ปี ก็เกิดเรื่องลึกลับต้องผจญป่าช้าผีดิบอีก อยากให้เพื่อนๆได้อ่านลูกไพรเป็นความตื่นเต้นและสนุกมากค่ะ จะเห็นว่าการผจญภัยทั้งจากลูกไพรและลูกอีสานนั้น สภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่วิธีในการดำรงชีวิตเพื่ออยู่รอดนั้น ก็ไม่ต่างกันนัก การจับปลา กบ เต่า กิ้งก่า มากิน และยังสัตว์อื่นๆ อีก ก็เพื่อความอยู่รอด ถึงแม้วิธีการจะต่างกันแต่ปลายทางก็เหมือนกัน พวกเขาต่างต้องการกลับบ้าน ไปหาคนที่รอคอยเขาอยู่ด้วยความหวัง ที่บ้านของคูนมีย่า มีนา มีหมา มีแมว รอการกลับมาของขบวนเกวียนที่จะเต็มไปด้วยเสบียงข้าวปลาอาหาร ส่วนที่บ้านของแสนและเขิ่งรอที่จะได้เจอหน้าลูกชายที่หายไปในป่าเป็นแรมปี และนี่คือแก่นของคนไทย คือความรักของคนในครอบครัว ไม่ว่าเราจะผจญกับอะไรมา แต่ที่สุดท้ายที่เราต้องไปก็คือบ้าน | |
ด.ญ. พฤษชา มณีพฤกษ์ เกิดวันที่ 26 กันยายน 2534 อายุ 13 ปี ที่อยู่ 157/82 ต. ขุนโขลน อ. พระพุทธบาท จ. สระบุรี 18120 โทร. 0-3632-1039 |