ด.ญ. พิมพ์ชนก ดีจันทร์

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดวังน้ำเย็น อ. บางปลาม้า จ. สุพรรณบุรี

เรื่อง เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก...สู่...สายใยแห่งความรัก

“ใครๆ ก็รู้ว่าหนูเป็นเด็กพูดมาก ช่างซักช่างถามไม่หยุดปาก การที่หนูช่างซักช่างถามก็เพราะหนูอยากรู้เรื่องต่างๆ...”

ข้อความตอนหนึ่งจากบทนำของหนังสือเล่มนี้ ที่ตรงใจข้าพเจ้ามาก เพราะมีเรื่องราวต่างๆ มากมายที่รอให้เราเข้าไปสัมผัส รับรู้ ทั้งจากการสอบถาม พูดคุย และอีกวิธีหนึ่งที่อยากแนะนำให้ทุกคนลองปฏิบัติก็คือ เมื่อพูดถึงเรื่องการอ่านหนังสือ หลายคนอาจจะทำสีหน้าเบื่อหน่าย บางคนอาจบอกว่าแค่อ่านตำราเรียนก็จะแย่อยู่แล้ว ขอบอกว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจหันหลังให้กับการอ่าน ลองหามุมสบายๆ สักแห่ง หาหนังสือดีๆ สักเล่ม ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเลือกเล่มไหน มองหาเมื่อคุณตาคุณยายังเด็ก ของคุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ฯ มาลองเปิดดู

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก เป็นหนังสือที่รวมเรื่องเล่าชีวิตความเป็นอยู่อย่างไทย ที่ผู้เขียนรวบรวมเกร็ดน่ารู้น่าสนใจของชีวิตครอบครัวไทยสมัยปลายรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 (พุทธศักราช 2460-2475) เป็นงานเขียนในรูปแบบเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องสั้นจบในตอน ใช้ภาษาถ้อยคำง่ายๆ สละสลวย อ่านเข้าใจได้โดยไม่ต้องตีความ เนื้อหาของเรื่องสะท้อนภาพชีวิตความเป็นอยู่ และภูมิปัญญาพื้นบ้านของคนไทยสมัยก่อน ดังที่ผู้เขียนเล่าว่า “...ดินสอพองนี้มีประโยชน์ใช้สอยมากมาย ตามบ้านจะต้องมีไว้ประจำบ้าน หน้าร้อนก็เอามาละลายน้ำอบไทย ประหน้าประตัวกันเป็นลายพร้อยไปหมด ดินสอพองนี้เป็นของเย็น ดับพิษร้อนได้ดี เวลาคุณยายไปช่วยหั่นพริกในครัวมา ปวดแสบปวดร้อนมือ ยิ่งล้างมือก็ยิ่งร้อนไม่หาย ก็ต้องเอาดินสอพองนี้ทามือทิ้งไว้จะหายแสบร้อน...” นอกจากเกร็ดความรู้ต่างๆ ที่เราจะได้รับจากการอ่านหนังสือเรื่องเล่าชุดนี้แล้ว ยังมีความเพลิดเพลินใจในการติดตามเรื่องราวความสนุกสนานของวัยเด็กที่ถ่ายทอดผ่านคำบอกเล่าของตัวละครคือ คุณตาคุณยาย ในตอนที่ชื่อว่า “ไปแรมคืน” เล่าถึงการตั้งกระโจมนอนที่สนาม เลียนแบบการไปพักแรมในป่าของผู้ใหญ่ที่เป็นกองกำลังเสือป่า หรือการได้ไปเที่ยวงานวัดภูเขาทอง ที่ผู้เขียนบรรยายไว้ให้เห็นภาพราวตัวละครทุกตัวมีชีวิต และผู้อ่านเองก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้น ได้เป็นเจ้าของ “...จักจั่นทำด้วยสังกะสีอันเล็กๆ บีบแล้วดังคล้ายจักจั่น แซดไปหมด...” สาระที่แฝงอยู่ในเรื่องเล่าชุดนี้อีกอย่างหนึ่งคือ การปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีงามให้กับเด็กๆ ด้วยวิธีง่ายๆ ดังเช่น “...คุณแม่ของคุณยายก็ได้มรดกเป็นต้นจำปา 2 ต้น ออกดอกดกมาก คุณแม่ของคุณยายเก็บใส่กระทงไปขายที่ร้านดอกไม้ในตลาดเป็นประจำ เป็นการเพิ่มรายได้ ...มรดกอย่างนี้ของคุณย่า ทำให้ลูกหลานรู้จักรักษาบำรุงต้นไม้ และรู้จักค้าขายตั้งแต่เด็กๆ และเก็บออมทรัพย์สินไว้ด้วย” เรื่องเมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก นี้เขียนเล่าไว้กว่า 100 เรื่อง ได้รับรางวัลดีเด่นในการประกวดหนังสืองานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จึงนับได้ว่า “เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก”เป็นหนังสือที่มีคุณค่าในการสะท้อนภาพชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมรดกทางวรรณกรรมสำหรับเด็กที่ควรค่าแก่การอ่านและศึกษา เชื่อว่าหากได้อ่านแล้ว คนที่คิดจะหันหลังให้กับการอ่านคงจะเปลี่ยนใจหันกลับมาค้นหาหนังสืออีกสักเล่ม เพื่อบริหารเวลาว่างที่มีอยู่ไม่ให้ว่างเปล่าไร้ประโยชน์อีกต่อไป

พะยูน...เงือกสีทองแห่งท้องทะเลไทย
ได้กำเนิดขึ้นมาบนดาวโลกดวงนี้นานแสนนาน
...
ด้วยเรือนร่างสีทอง
ประติมากรรมที่แสนงามของธรรมชาติ
จินตนาการที่งดงามของมวลมนุษย์
เธอคือเทพีแห่งความงามของท้องทะเล
...
เงือก คงอยู่...
ความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทะเลคงอยู่
เธอ...หากพลันสาบสูญ...
ความอุดมสมบูรณ์จะพลันเหือดหาย
เธอ...
ประดุจมารดาแห่งท้องทะเล
ผู้เปี่ยมความเอื้ออาทร
เธอ...
คือตำนานรักอมตะของหัวใจชายหนึ่ง
ที่มอบให้หญิงหนึ่ง

สายใยแห่งความรัก เรื่องราวความผูกพันของคนต่อเงือกคู่สุดท้ายของดาวดวงนี้ เป็นหนังสือดีอีกเล่มหนึ่งที่อยากให้ลองหยิบมาอ่านกัน บทประพันธ์ของคุณอุดม วิเศษสาธร นักเขียนวรรณกรรมดีเด่นรางวัลรวี โดมพระจันทร์ เนื่องจากมีชีวิตคลุกคลีเกี่ยวข้องอยู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ จึงตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ สายใยแห่งความรัก จึงเป็นนวนิยายซึ่งเป็นอีกตัวแทนหนึ่งในการเรียกร้องต่อมวลมนุษย์ ให้ตระหนักในความสำคัญของธรรมชาติ และสำนึกว่า แท้จริงมนุษย์นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หากสูญเสียความสมดุลทางธรรมชาติ มนุษย์ก็มิอาจดำรงชีวิตอยู่ได้

สายใยแห่งความรัก...เริ่มต้นขึ้นที่หมู่บ้านเล็กๆ ชายทะเลแห่งหนึ่ง บนเรืออวนปูลำเล็กของผู้ใหญ่แม้นกับหลานชายวัย 14 ปี และนิทานปรัมปราเกี่ยวกับเงือกที่ผู้เป็นปู่เล่าให้ฟัง...เป็นเรื่องของเจ้าชายเจ้าหญิงคู่หนึ่ง อันเป็นตำนานที่มาของเงือกสีทองแห่งท้องทะเล ตามความเชื่อของชาวประมงที่ยึดถือเงือกเป็นเครื่องหมายความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล หากมีเงือกอาศัยอยู่มากจะอุดมสมบูรณ์ด้วยกุ้งหอยปูปลา ทุ่งหญ้าทะเลนอกจากจะเป็นแหล่งอาหารของเงือกแล้ว ยังเป็นที่เพาะพันธุ์ ที่อยู่อาศัย และเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำด้วย กาลเวลาผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่าเริ่มต้นจากไหน เมื่อใด ความเชื่อที่เอื้อต่อการคงอยู่ของเงือกเปลี่ยนไป เกิดความเชื่อใหม่ว่าการได้กินเนื้อเงือกจะทำให้อายุยืน ไม่เจ็บไม่ป่วย การล่าเงือกจึงเริ่มขึ้น ที่สุด...เงือกคู่สุดท้ายของดาวดวงนี้...ดาวโลกกำลังถูกมนุษย์คุกคาม เด็กชายคนหนึ่งกับชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ ร่วมกันสานสายใยถักทอเป็นเกราะป้องกัน เพื่อปกป้องเงือกคู่สุดท้าย ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่...

...ขอส่งความรักจากสายใยหัวใจ
ขอสวรรค์ช่วยปกป้องเงือกด้วยเจ้าขา
ขอทุกหัวใจของโลกใบใหญ่โปรดเมตตา
ขอให้เงือกได้อยู่คู่ทุ่งหญ้า...ทะเลไทย...

นวนิยายเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้มนุษย์ตระหนักในคุณค่าของทรัพยาการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น หากยังหวังไว้ด้วยว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดพลังก่อเกี่ยวกันเป็นสายใยแห่งความรัก ความเอื้ออาทร เพื่อปกป้องธรรมชาติที่ได้สร้างสรรค์มวลชีวิตให้คงอยู่คู่กับโลกใบนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่ควรมองข้าม อาจเป็นเรื่องยาก แต่...

...วีรบุรุษไม่ได้เกิดจากกองกุหลาบ
วีรบุรุษไม่เพียงอดทนกล้าหาญเกินธรรมดา
แต่ยังต้องประกอบด้วยสติปัญญา…ความเฉลียวฉลาด
และมีหัวใจที่งดงาม...

คุณอุดมเขียนเรื่องนี้ด้วยภาษาที่งดงาม สละสลวย ทำให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการคล้อยตามราวกับภาพนั้นปรากฏตรงหน้า “...ท่ามกลางทุ่งหญ้าทะเลเขียวขจี ระยิบระยับของริ้วคลื่น ผืนน้ำใสโปร่งตา ผืนฟ้าสีคราม ปุยเมฆขาวลอยฟ่อง...เหล่าพวกเธอดำผุดดำว่ายเริงร่า แต่งแต้มความมีชีวิตของโลก ของชีวิตท้องทะเล...” ลีลาของตัวอักษรเหล่านี้อาจงดงามอยู่ในใจเราหรืออาจต้องหลั่งน้ำตาเมื่อ
...ลมหายใจของเธอแผ่วล้าลง แผ่วลง...
น้ำตาของเธอที่หลั่งรินเข้มข้นขึ้น เข้มข้นขึ้น...
เมื่อลมหายใจสุดท้ายของเธอพลันสิ้นสุด...หัวใจเธอพลันแตกสลาย
น้ำตาหยดสุดท้ายของเธอ พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด...เลือดสดๆ
น้ำตาของกบพลันไหลริน
น้ำตาของผู้ใหญ่แม้นและตาเผือกพลันไหลริน
ทุกคน...หลั่งน้ำตา
ท้องทะเล สายลม มวลชีวิตและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
แม้แต่ดวงดาว...ต่างคล้ายหลั่งน้ำตา...

นวนิยายโศกนาฏกรรม ที่อยากฝากไว้ในใจของเพื่อนนักอ่านทุกคน เพราะนอกจากจะให้สาระและคุณค่าทางศิลปะแห่งภาษาแล้ว สายใยแห่งความรัก ยังเป็นนวนิยายที่จะให้คำตอบได้ว่า แม้มีผู้หมายทำลายเพียงหนึ่ง ก็จะมีผู้สูญเสียนับล้าน...

ปลิดใบไม้เพียงหนึ่งใบ ยังสั่นไหวถึงดวงดาว
พิมพ์ชนก ดีจันทร์
เกิดวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ 2533 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดวังน้ำเย็น
หมู่ 2 ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี 72150
โทรศัพท์ 0-6796-0930
อาจารย์ไพฑูรย์ ถาวร อาจารย์ใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสถานศึกษา