ด.ญ. พีรติ อุปัติศฤงค์

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนานาชาติดัลลิช จ. ภูเก็ต

เรื่อง ความประทับใจในหนังสือของฉัน

หนังสือคนอยู่วัด และอยู่กับก๋ง ที่ดิฉันได้นำมาเขียนอยู่นี้ ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตของเด็กที่ตกอยู่ในภาวะที่ยากจน และดิ้นรนใช้ชีวิตลำบากเพื่อมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ทุกๆ วัน ซึ่งจะทำให้มีอนาคตที่ดีกว่าในปัจจุบัน ผู้เขียนพยายามสอดแทรกแง่คิดหลายประการไว้ในเนื้อหาของเรื่องทุกๆ ตอน นอกจากนี้ดิฉันยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต และมุมมองที่แตกต่างกันไปของแต่ละคนอีกด้วย ดิฉันจึงอยากแนะนำว่าหนังสือทั้งสองเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีและสนุกที่สุดในบรรดาหนังสือที่ดิฉันได้อ่านมาในรอบปี

เรื่องคนอยู่วัด นี้เป็นเรื่องสั้นที่เป็นเรื่องราวชีวิตของ “ไมตรี ลิมปิชาติ” ซึ่งเป็นคนเขียนจริงๆ แต่ก่อนนี้เขาเป็นเด็กวัดในต่างจังหวัด แต่ก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในวัดแห่งหนึ่งเพื่อเรียนหนังสือ หรือเรียกว่าเป็นเด็กวัดที่กรุงเทพฯ เด็กวัดจะมีหน้าที่รับใช้พระทุกอย่าง ตั้งแต่เช้าตรู่ก็ไปช่วยพระถือของบิณฑบาต ถูกุฏิบ้าง ซักจีวรบ้าง เมื่อเสร็จแล้วก็จะรีบไปเรียนหนังสือทันที มีเงินที่ส่งมาจากทางบ้านเล็กน้อยเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

เด็กวัดจะมีชีวิตที่เรียบง่าย ใช้ทรัพย์สินที่วัดเตรียมเอาไว้ให้อยู่แล้ว โต๊ะ เตียงนอนทำด้วยไม้เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อเอง เงินที่พ่อแม่ส่งมาให้ก็ไม่พอที่จะนำมาซื้อเตียงนอน หรือโต๊ะ แต่เงินเหล่านี้เอาไว้ซื้อของส่วนตัวที่จำเป็นมากกว่า แต่เด็กวัดบางคนเงินก็ขาดมือแทบทุกเดือน ถึงแม้บางคนพยายามที่จะประหยัดเงินแบบสุดๆ โดยไม่กินอา

หารมื้อใดมื้อหนึ่ง หรือยอมกินข้าวข้าวกับปลาอย่างเดียว เพราะเงินที่ส่งมาจากทางบ้านไม่พอใช้ ด้วยเหตุนี้เมื่อเงินขาดมือหรือเงินไม่มีพอใช้ หลายคนจึงมีวิธีการหาเงินต่างๆ กันไป เช่น พวกเขาจะเอาของไปจำนำที่โรงจำนำ เพราะเหตุนี้จึงมีขโมยในวัดเยอะมาก แต่ถ้าโชคไม่ดีก็จะโดนหลวงพี่จับได้ และจะถูกทำโทษ หรือโดนไล่ออกจากวัด นอกจากขโมยของไปจำนำแล้ว ยังมีเด็กวัดที่รับจำนำของอีกด้วย เพราะส่วนมากเด็กวัดที่เข้ามาใหม่เขาไม่กล้าที่จะไปจำนำของที่โรงจำนำ เพราะอาจเจอคนรู้จักได้ แต่สำหรับพวกพี่ๆ ที่อยู่กันมานานแล้ว หน้าจะหนาขึ้นเรื่อยๆ และกล้าไปโรงจำนำ แต่บางทีของที่รับเอาไปจำนำนั้นเป็นของที่ขโมยมา ก็อาจถูกจับว่าเป็นขโมยเองก็ได้ นอกจากจะเอาของไปจำนำแล้ว เด็กวัดยังมีวิธีอีกสารพัดอย่างที่จะมาแก้ไขปัญหาเรื่องเงิน พวกเขาจะดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อมาอุดปัญหานี้

ส่วนมากเด็กวัดจะถูกส่งมาจากครอบครัวที่ยากจน และไม่ค่อยมีเงิน ทุกๆ เดือนเด็กวัดจะได้รับธนาณัติที่พ่อแม่ส่งเงินมา เด็กวัดบางคนก็ได้รับตั้งแต่ต้นเดือน แต่บางคนธนาณัติก็ส่งมาช้า เพราะพ่อแม่อาจจะขาดแคลนอยู่ แต่สำหรับเด็กวัดบางคนที่ได้รับธนาณัติบ่อยๆ รับต้นเดือนบ้าง กลางเดือนบ้าง อย่าเพิ่งคิดว่าพ่อแม่เขาร่ำรวยนะ 50 บาท

“เหรียญทองเหรียญนี้มีค่ากับเราที่สุดแต่ไม่มีค่ากับคนอื่นเลย”

เมื่อเด็กวัดไม่มีของที่จะไปจำนำก็จะต้องนำของที่คิดว่ามันมีค่ามากจนไม่อยากจะจำนำมัน อยากเก็บไว้ให้ลูกๆ ดู เป็นสิ่งของที่มีประโยชน์สำหรับเราเอง เหรียญทองที่ได้มาด้วยเหงื่อนี้เป็นถึงเกียรติยศซึ่งมีค่ามากๆ พอจำเป็นจริงๆ ก็ต้องไปถึงโรงจำนำ แล้วหลงจู๊ซึ่งเป็นคนรับจำนำกลับไม่เอา เพราะว่ามันเป็นทองชุบ จึงไม่มีค่าสำหรับเขาเลย ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกว่าจะได้เหรียญทองมาคงต้องเสียแรงไปไม่น้อยเลย

หนังสือเล่มนี้นอกจากจะบันทึกเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองแล้ว ยังบันทึกชีวิตของเพื่อนเด็กวัดของเขาอีกด้วย ดิฉันชอบตรงจุดนี้เหมือนกัน เพราะดิฉันคิดว่าเราจะได้รู้จักการใช้ชีวิตของเด็กวัดคนอื่นด้วยเช่นกัน การดิ้นรนของแต่ละคนจากความยากลำบากไปสู่อนาคตที่ดีกว่า นอกจากนี้ดิฉันยังได้รับรู้ถึงความรักความเห็นใจของเด็กวัดด้วยกันอีกด้วย ดิฉันคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเด็กวัดกับเด็กวัดนั้นเพราะต่างก็ได้ผ่านเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างมาด้วยกัน ทั้งเรื่องดีและไม่ดี คนอยู่วัด จึงเป็นเรื่องที่ดิฉันชอบมากเรื่องหนึ่ง เพราะสามารถอ่านได้ตลอดไม่รู้สึกเบื่อเลย ผู้เขียนใช้ภาษาที่เป็นกันเองมาก เพราะเขาได้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ นั้นจึงเป็นเหตุที่ดิฉันชอบจนวางหนังสือเล่มนี้ไม่ลงเลยทีเดียว

ส่วนหนังสืออยู่กับก๋ง เรื่องนี้เป็นบันทึกชีวิตของผู้เขียน “หยก บูรพา” อีกเช่นกัน เป็นชีวิตของเด็กที่มีชื่อว่า “หยก” เขาอยู่ห้องแถวในตลาดชนบทแห่งหนึ่ง หยกใช้ชีวิตอยู่กับก๋งผู้ซึ่งเป็นชาวจีน อพยพจากเมืองจีนมาอยู่ที่เมืองไทย และอยู่ด้วยกันสองคนปู่กับหลาน หลานผู้กตัญญูต่อก๋งนั้น ถึงจะไม่มีพ่อแม่แล้ว แต่ความยากจนไม่เคยเป็นปมด้อยสำหรับเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้นความยากจนทำให้เขารู้จักชีวิตมากขึ้น และสามารถช่วยเหลือตนเองได้ อย่างไรก็ตามภายในใจของหยกก็เหงามาก เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาไม่มีพ่อแม่ อยู่กับก๋งมาตั้งแต่เด็ก พอไปเห็นครอบครัวคนไทยที่เวลากินอาหารก็กินพร้อมหน้าพร้อมตากัน จึงทำให้หยกรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป หยกอยู่ห้องแถวกับก๋งจึงรู้สึกเหงา แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาให้ก๋งเห็น เพราะคิดว่าจะทำให้ก๋งไม่สบายใจนั่นเอง

ก๋งได้สอนให้หยกรู้ว่า “อยู่เมืองไทยต้องเรียนหนังสือไทยก่อน มิฉะนั้นจะลำบากซึ่งหยกก็ได้ปฏิบัติตามคำสอนนั้น รอให้โตก่อนค่อยเรียนภาษาจีนก็ได้ ส่วนมากคนในบริเวณห้องแถวที่หยกกับก๋งอยู่นั้นจะเป็นคนจีน โดยปกติคนจีนเกิดมาก็มีเชื้อสายพ่อค้าแม่ค้าอยู่เต็มตัว ขณะที่คนไทยค้าขายไม่เป็นจึงถูกมองว่าขี้เกียจ ก๋งโกรธมากที่มีคนพูดอย่างนั้น ก๋งเป็นคนที่รักแผ่นดินไทยมากและเข้าใจคนไทย หยกจึงเติบโตมาท่ามกลางคำสั่งสอนของก๋ง ให้เป็นคนจีนที่สำนึกตนว่าเป็นคนเกิดและเติบโตในเมืองไทย

ก๋งกับหยกนั้นไม่ได้มีฐานะดีนัก แต่ก็มีพอกินพอใช้ เพราะอยู่กันแค่สองคน ไม่จำเป็นต้องซื้อของมามากมาย ตั้งแต่เช้าตรู่หยกจะต้องออกไปซื้ออาหาร และซื้อของให้ก๋งอย่างเดียว ไม่ซื้อของให้ตัวเองถ้าไม่จำเป็น โดยปกติแล้วถ้าคนมาตลาดสายก็จะถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจเพราะตื่นสาย ในเรื่องนี้จะมีการเปรียบเทียบระหว่างแม่ค้าจีนกับแม่ค้าไทย ในตลาดแม่ค้าที่เป็นคนจีนมักจะมีอารมณ์เย็น ถ้าลูกค้าต่อราคา แม่ค้าจะบอกด้วยวาจาสุภาพๆ แล้วลูกค้าจะตกลงเอง ขณะที่แม่ค้าคนไทยมักจะใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย อาจเป็นเพราะคนไทยนั้นรักอิสระก็เป็นได้ ส่วนคนจีนนั้นถือลูกค้าว่าเป็นเจ้า คนขายนั้นเป็นทาส ก๋งเคยสอนหยกว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอย่างนั้น

ก๋งต้องคอยดูแลหยก ต้องดิ้นรนทำงานเลี้ยงชีพทุกวัน พอหยกเห็นอย่างนั้น จึงอยากเรียนจบเร็วๆ เมื่อโตขึ้นจะได้มาช่วยก๋งทำงาน ชีวิตถึงจะได้อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องทนอยู่อย่างยากลำบากอย่างเช่นทุกวันนี้ หยกได้หางานทำเมื่อมีเวลาว่างจะได้แบ่งเบาภาระของก๋งบ้าง พอเห็นก๋งสบายหยกจึงพลอยดีใจไปด้วย การที่เด็กห้องแถวยากจนคนหนึ่งไปหางานทำรับใช้คนอื่นจึงเป็นสาเหตุให้ถูกเพื่อนๆ ที่ร่ำรวยกว่าล้อว่าเป็น “ขี้ข้า” ของคนอื่นเขา คำพูดเหล่านั้นทำให้หยกขมขื่นในใจอยู่ตลอดเวลา หยกได้เฝ้ารอวันที่เขาจะประสบความสำเร็จ วันนั้นจะเป็นวันที่หยกได้หลุดพ้นจากคำว่า “ขี้ข้า”

อยู่กับก๋ง เป็นหนังสือที่ดิฉันชอบมาก และอยากเชิญชวนให้อ่าน เพราะการที่ผู้เขียนพยายามเขียนถึงความแตกต่างระหว่างความเชื่อถือของคนจีน และความเชื่อถือของคนไทยนั้น ทำให้ดิฉันได้คิดว่า เมื่อคนอื่นมองดูวิถีการดำเนินชีวิตพวกเราแล้ว มันแตกต่างกับการที่เรามองดูวิถีดำเนินชีวิตของเราเอง นอกจากนั้น อยู่กับก๋ง ได้ทำหน้าที่เชื่อมโยงความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจกัน ระหว่างความเชื่อถือของแต่ละฝ่าย และนั้นคือสิ่งที่ทำให้ดิฉันชอบ แต่ดิฉันต้องพูดว่าดิฉันชอบหนังสือเล่มนี้ เพราะว่าทำให้ความคิดของฉันที่มีต่อคนจีนเปลี่ยนไป

สุดท้ายนี้ดิฉันอยากจะขอสรุปว่าคนอยู่วัด และอยู่กับก๋ง นั้นเป็นหนังสือที่มีสาระ และแฝงไว้ด้วยแง่คิดต่างๆ ตัวละครแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกของเรื่อง ตัวประกอบ ก็จะสอดแทรกแง่คิดหลายๆ อย่างไว้ข้างใน นอกจากนี้หนังสือทั้งสองเล่มนี้ยังให้ทัศนคติต่างๆ ของชีวิตคนแต่ละชนชั้น แต่ละสังคม และให้ความสนุกเพลิดเพลินจนดิฉันเองถึงกับวางไม่ลง ดังนั้นดิฉันอยากให้ทุกคนลองอ่านอยู่กับก๋งและคนอยู่วัดค่ะ

เด็กหญิงพีรติ อุปัติศฤงค์
เกิดวันที่ 6 กรกฎาคม 2532 ชั้นเรียน ม. 3
อีเมล์ peerati@dulwich.ac.th
โรงเรียนนานาชาติดัลลิช
โดยอาจารย์มาริษา
0-1978-1183
ที่อยู่ 59 หมู่ 2 ถ. เทพกษัตรี ต. เกาะแก้ว อ. เมือง จ. ภูเก็ต 83200