น.ส. วิภาดา รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล จ. กระบี่

เรื่อง เรือนไม้สีเบจ...สายธารแห่งความสุข

“หนังสือเป็นเพื่อนคู่คิด” คำคุ้นหูที่ฉันได้ยินมาตั้งแต่เล็กจนโต ฉันเคยสงสัยว่าหนังสือจะเป็นเพื่อนกับเราได้ยังไงกัน ก็แค่กระดาษ 20-30 แผ่นหรือมากกว่านั้น มาเย็บรวมกัน มีตัวหนังสือเยอะแยะไปหมด อ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ทัศนคติของฉันที่มีต่อหนังสือออกจะดูแย่ไปหน่อย แต่นั่นก็เป็นความคิดแบบเด็กๆ และความคิดนั้นก็เปลี่ยนไป ...ตั้งแต่ฉันได้ทำความรู้จักกับโลกของหนังสืออย่างจริงจัง...เมื่อไม่นานมานี้เอง

บ่ายวันหนึ่ง ฉันลองหยิบหนังสือสองสามเล่มจากชั้นหนังสือขึ้นมาอ่าน คุณเชื่อไหม? ฉันได้พบกับสิ่งเลวร้ายที่แฝงอยู่ในชีวิตฉันมานานหลายปี ฉันอ่านหนังสือได้เพียงสามสี่หน้าเท่านั้นเองแล้วก็ต้องวางมันลง ฉันไม่มีสมาธิ ไม่มีความอดทนพอที่จะอ่านมันให้จบ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีความสุขกับการอ่าน ไม่เลย! ฉันไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย แย่แล้ว! ถ้าฉันปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ฉันต้องแย่แน่ๆ เย็นวันนั้นฉันจึงตัดสินใจแวะเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่งเพื่อหาหนังสือสักเล่ม มาลองอ่านเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีกับมัน และก็เพื่อตัวฉันเอง

ร้านหนังสือที่ที่ฉันจะใช้เวลาอยู่ในนั้นน้อยที่สุดเท่าที่จำได้ ถ้าไม่ได้มาซื้อหนังสืออ่านเพื่อการสอบจริงๆ แล้ว ฉันก็แทบจะไม่ได้ย่างกรายเข้าไปในนั้นเลย ฉันเดินไปเรื่อยๆ ตามชั้นหนังสือที่วางเรียงราย ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เอ! ฉันจะเลือกหนังสือประเภทไหนดีล่ะ ฉันคิดว่า...สำหรับการเริ่มต้นการอ่านของฉันควรจะเป็นหนังสืออ่านสบายๆ เล่นบางๆ เนื้อหาไม่เป็นตำราวิชาการมากเกินไปนัก แล้วก็ได้พบหนังสือเล่มหนึ่ง มันสะดุดตาฉันตั้งแต่แรกเห็นทีเดียวเลยล่ะ

หนังสือเล่มนั้นชื่อว่าสายธารแห่งความสุข เป็นหนังสือเล่มบางๆ กะทัดรัด ปกสีขาวคาดด้วยแถบเขียวอ่อนๆ ดูสบายตา มีภาพบ้านกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี ดวงอาทิตย์กำลังหลับตาพริ้ม ต้นไม้ใบหญ้ากับม้านั่งตัวยาว และก็มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ยืนอ้าแขนอย่างมีความสุข ดูเรียบง่ายสบายๆ กอปรกับชื่อเรื่องที่ “รินใจ” ผู้เขียนบรรจงตั้งว่าสายธารแห่งความสุข ด้วยแล้วนั้น ช่างเปรียบเสมือนแม่เหล็กดีๆ นี่เอง ที่ดึงดูดใจให้ฉันหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา ฉันเปิดดูหนังสืออย่างคร่าวๆ ไปจนถึงปกหลัง ก็ได้พบกับข้อความหนึ่งว่า ...ลำธารใสใกล้แสนใกล้ที่หลายคนมองไม่เห็น แล้วปล่อยปละละเลยจนตื้นเขิน กลายเป็นที่รกร้าง ลำธารนี้พร้อมจะเติมพลังให้ชีวิต ชโลมจิตให้ชื่นบานทุกเวลา...หันมาเหลียวแลบางส่วนของชีวิตที่ถูกละเลยมานาน และนำสิ่งนั้นกลับมาเป็นพลังชีวิต”...เอ! จริงสินะ บางทีคนเราก็ละเลยสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หรืออะไรๆ อีกหลายๆ อย่างในชีวิต ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้เราพลาดโอกาสหรือสิ่งที่สำคัญในชีวิตไปเลยก็ได้ ไม่ได้การล่ะ ฉันคงจะต้องสำรวจตัวเองยกใหญ่แล้ว!

ฉันว่า...มันเป็นการเริ่มต้นได้ไม่เลวทีเดียวล่ะ กับการพยายามฝึกฝนตัวเองให้รักการอ่านด้วยหนังสือเล่มนี้ สายธารแห่งความสุข หนังสือที่พูดถึงชีวิตจริงๆ ธรรมดาๆ ทั่วไปของคนเรา ช่วยชี้แนะ เตือนสติเตือนใจให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีความสุข เป็นหนังสือที่อ่านสนุก อ่านง่าย ไม่น่าเบื่อ และไม่ยืดเยื้อ เนื้อหาภายในเล่มจะแบ่งเป็นเรื่องย่อยๆ เรื่องละสามสี่หน้ากระดาษ นับว่าความยาวกำลังดี เหมาะสำหรับคนอ่านหนังสือยากอย่างฉันเลยทีเดียว และแต่ละเรื่องย่อยๆ นั้น ผู้เขียนได้ตั้งชื่อไว้น่ารักมาก ๆ เช่น สันติในเรือนใจ ติดปีกให้ความฝัน ลมวิเศษ รักกระจิริด ฯลฯ เนื้อหาแต่ละเรื่องน่าสนใจ ใช้ภาษาง่ายๆ เนื้อในยังมีภาพประกอบน่ารักๆ ที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังสือเล่มนี้อีกด้วย

ฉันขอยกตัวอย่างเรื่องที่ฉันประทับใจในหนังสือเล่มนี้สักสามเรื่อง

เรื่องแรก ชื่อ ว่า “กุญแจแห่งความสำเร็จ” หลายคนอาจสงสัยว่าอะไรคือกุญแจของความสำเร็จ กุญแจดอกนั้นมีจริงๆ หรือ แล้วจะหากุญแจดอกนั้นได้จากที่ไหน คุณรู้ไหม คำตอบที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ “ทำทีละอย่าง” คำตอบง่ายๆ ง่ายซะจนเหลือเชื่อนี่แหละ คือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จที่ทำให้ใครต่อใครได้พบชัยนะในชีวิตมานักต่อนักแล้ว เช่น แฟรงก์สิเนตรา ดาราฮอลลีวูด เขาก็ใช้กุญแจดอกนี้แหละ ทำให้เขาประสบความสำเร็จและความสุขอย่างล้นหลามไม่ว่าจะเป็นงานแสดง บันทึกแผ่นเสียง และธุรกิจนานาชนิด หนังสือเล่มนี้ยังบอกอีกว่า การทำงานหลายๆ ชิ้นพร้อมๆ กัน จะบั่นทอนให้สมาธิคุณมีประสิทธิภาพลดน้อยลง ผลงานที่ออกมาก็จะไม่ดีไม่มีคุณภาพเท่าไหร่...ฉันจึงลองทำงานทีละอย่าง ใส่ใจเต็มที่กับมัน เชื่อไหม? ฉันมีความสุขและสนุกกับงานต่างๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ

เรื่องที่ 2 ที่ฉันอยากจะยกตัวอย่างคือ “ชีวิตที่ลุ่มลึก” เรื่องนี้ผู้เขียนได้เปรียบชีวิตคนเราไว้ว่า “ชีวิตคนเราก็เหมือนต้นไม้ ต้นไม้ยิ่งสูง ยิ่งต้องหยั่งรากลึก จิตของเราก็เหมือนรากต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง นั่นคือความสงบและความใสกระจ่าง...บ่อยครั้งชีวิตต้องเผชิญกับความผันผวน ปรวนแปร ไม่ต่างจากพายุที่โหมกระหน่ำ แต่ต้นไม้ที่รากลึกย่อมทรงตัวอยู่ได้อย่างมั่นคงฉันใด ชีวิตที่มีจิตลุ่มลึกย่อมตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวฉันนั้น”... ฉันคิดว่ามันมีส่วนจริงนะ สงสัยว่าฉันคงต้องหยั่งรากของจิตให้ลึกขึ้นๆ เพื่อความมั่นคงในชีวิตให้มากกว่านี้ซะแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งคือ...รักกระจิริด” แค่ชื่อเรื่องก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมล่ะ ผู้เขียนยังใช้ภาษาสั้นๆ กินใจไว้ด้วยว่า “ความรักไม่ว่าชาติใดภาษาใด จะยุคไหนก็แล้วแต่ ล้วนมีภาษาสากลร่วมกันว่า “การให้” โอ้โห! ซึ้งจัง พูดถึงเรื่องความรัก เชื่อว่าใครหลายคนคงอดอมยิ้มไม่ได้ ว่ากันว่าความรักทำให้โลกเป็นสีชมพู ความรักของคุณล่ะเป็นแบบไหน?

นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวดีๆ อีกมากมายหลายเรื่องเลยละ... คุณเชื่อมั้ย บางครั้งเราอาจละเลยหรือมองผ่านสิ่งมีค่าและสิ่งดีๆ อีกมากมาย หนังสือเล่มนี้บอกอะไรเราได้ตั้งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นข้อคิด เตือนสติ เตือนใจ เช่น การรู้จักการรอคอย ชีวิตติดเบรก ฯลฯ ปรัชญาที่ผู้เขียนอธิบายโดยการหยิบยกตัวอย่าง ช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น อ่านแล้วถึงกับบอกได้เลยว่า “เออใช่ ใช่จริงๆ“ บางวรรคบางตอนฉันยังอดอมยิ้ม...หัวเราะ และมีความสุขไปกับหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เลย

ฉันเคยแนะนำให้เพื่อนหลายคนอ่านหนังสือเล่มนี้ ทุกคนต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ”ปกสวยจัง” “น่ารักจัง” “ดีมากๆ “ ชอบจัง” “ใช่เลย” แล้วคุณล่ะจะไม่ลองอ่านหนังสือเล่มนี้บ้างเลยเหรอ ฉันบอกได้เลยว่าหนังสือเล่มนี้ดีจริงๆ น่าอ่านมากๆ เข้าใจง่าย อ่านสบายๆ อ่านได้ทุกเพศทุกวัย คุ้มค่าจริงๆ และราคาก็ไม่ได้แพงมากนัก พอที่จะซื้อหามาอ่านกันได้ การันตีได้เลยว่าหยดหมึกบนกระดาษไม่กี่แผ่นที่นำมารวมเป็นสายธารแห่งความสุข เล่มนี้นั้น จะให้ความสุขและสิ่งดีกับคุณอีกมากมาย

หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ฉันอยากจะแนะนำก็คือเรื่องเรือนไม้สีเบจ ฉันว่าแค่ฟังชื่อเรื่องก็อบอุ่นแล้วละ ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าผู้เขียนเลือกสรรคำร้อยเรียงเป็นชื่อเพราะๆ อบอุ่นๆ อย่างนี้ได้ยังไง

เรือนไม้สีเบจ เป็นนวนิยายชื่อดังที่คงจะคุ้นหูใครหลายๆ คน ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ผ่านปลายปากกาของ ว. วินิจฉัยกุล นักเขียนคุณภาพระดับแนวหน้าอีกคนหนึ่งในวงการหนังสือไทย ฉันเองก็เคยอ่านเรื่องนี้มาบ้าง เมื่อครั้งที่ยังพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารหญิงไทย ผ่านสายตานักอ่านและผู้คนมากมายจนเป็นที่นิยมและได้รวมเล่มเป็นหนังสือเรื่องเรือนไม้สีเบจ ซึ่งตอนที่ฉันซื้อเมื่อหลายเดือนก่อนนั้นก็ถูกตีพิมพ์เป็นครั้งที่สามแล้ว คาดว่าคงจะยังตีพิมพ์ออกมาเป็นครั้งที่ 4 ที่ 5 แน่ นอกจากนี้ยังได้ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ จนเป็นที่นิยมของคนทั่วประเทศอีกด้วย

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ก็คือ รูปแบบการเขียนที่ไม่เหมือนนวนิยาย หรือเรื่องสั้นที่มักจะเขียนแบบร้อยแก้วมีการสนทนาโต้ตอบระหว่างตัวละคร เนื้อความบรรยายเหตุการณ์ แต่ที่น่าสนใจและแตกต่างจากหนังสือทั่วไปก็คือ รูปแบบการเขียนแบบบันทึก หรือที่เรียกว่า ไดอารี ของตัวละครแต่ละตัว ที่เป็นผู้ถ่ายทอดและเล่าเรื่องราวต่างๆ ของตัวเอง

ฉันอ่านเรื่องนี้จบภายในเวลา 3-4 วัน ความจริงแล้วมันแทบจะจบในวันเดียวด้วยซ้ำก็ แหม! น่าอ่านจริงๆ นี่นา เพียงแค่นี้ก็การันตีได้ถึงคุณภาพและความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ได้แล้วใช่ไหมล่ะ

เรื่องราวของเรือนไม้สีเบจ พี่อาร์ม น้องมุก และตัวละครตัวอื่นๆ เป็นเรื่องราวที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัว รู้สึกว่าสามารถสัมผัสแตะต้องตัวละครนั้นๆ ได้เหมือนมีอยู่จริงๆ โดยตัวละครแต่ละตัวนั้นสามารถถ่ายทอดชีวิตของเขาซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง มีเหตุผล มีที่มา ที่ไปให้ชีวิตเป็นแบบนั้นแบบนี้ มีความเป็นชีวิตจริงๆ พระเอกนางเอกก็ไม่ได้มีชีวิตที่สวยงาม เลิศเลอ โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ยังมีอุปสรรค ปัญหา ให้ฟันฝ่า ฝ่ายผู้ร้ายก็มีเหตุผลที่ทำให้ตัวเองต้องเป็นไปอย่างนั้น...ต่างคนต่างก็มีความรัก ความโลภ ความโกรธและความหลง สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตจริงๆ ของคนเราได้ดีทีเดียว

ใช่ว่าจะมีเพียงตัวละครต่างๆ ที่เป็นสีสันของเรื่องเท่านั้น แต่ที่สุดของทั้งหมด นั่นคือ...คำว่า ”บ้าน” เรือนไม้สีเบจ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวและความหมายของคำว่า ”บ้าน” ที่สุดในชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คน

ฉันขอนำความสุข ความอบอุ่น และความรู้สึกดีๆ กับคำว่า “บ้าน” ที่ฉันได้จากการอ่านเรื่องเรือนไม้สีเบจ มาเรียงร้อยเป็นวลีสั้น ๆ ว่า

“บ้าน...ที่คอยโอบคุ้น คุ้มครอง คุ้มภัยเรา
บ้าน...ที่ที่หล่อเลี้ยงชีวิต ให้ชีวิต ความรัก ความอบอุ่น ความผูกพัน และสิ่งดีๆ ในชีวิตอีกมายมาย
บ้าน...เพื่อนแท้ที่อยู่เคียงข้างเรา ผ่านร้อน ผ่านหนาว พร้อมจะเผชิญฟันฝ่าอุปสรรคไปกับเรา
บ้าน...ที่ที่มีเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม...มีสุขให้อุ่นใจ
บ้าน...ที่มีรอยน้ำตา หยาดเหงื่อ และกำลังใจ”

ไม่ว่าบ้านนั้นจะหลังใหญ่โตหรือเล็กแค่ไหน ไม่ว่าบ้านจะผ่านวันเวลาผ่านร้อน ผ่านหนาว สักเพียงใด...บ้านก็จะคอยคุ้มภัย คอยโอบอุ้มเราไว้เสมอ...ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ฉันได้จากหนังสือเล่มนี้ เรือนไม้สีเบจ หนังสือที่ทำให้ฉันรักและเข้าใจชีวิต และความผูกพันกับสิ่งดีๆ ที่เรียกกันว่า “บ้าน “

นอกจากนี้ยังมีถ้อยคำดีๆ และวลีกินใจอีกมากมายที่จะทำให้คุณประทับใจและจดจำนวนิยายเรื่องนี้ไว้ในใจตลอดไป...ลองอ่านดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่ามันดี น่าประทับใจแค่ไหน

ฉันเชื่อแล้วละ ”หนังสือเป็นเพื่อนคู่คิด” กับคนเราได้จริงๆ การอ่านหนังสือทำให้รอยหยักในสมองของฉันลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว การอ่านทำให้เรามีโลกทัศน์กว้างขึ้น ทำให้เราฉลาด รอบรู้ ...การอ่านทำให้เรามีสมาธิ มีความรู้ และการอ่านทำให้เราเป็นคนมีความคิด มีเหตุผล และมีปัญญา

ไม่ว่าคุณจะเป็นหนอนหนังสือหรือไม่ก็ตาม ฉันเชื่อว่าหนังสือทั้งสองเล่มนี้จะให้ความสุข ความอบอุ่น ให้สิ่งดีๆ และสร้างความประทับใจให้คุณได้อย่างแน่นอน ฉันว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ ที่จะมีอะไรสักอย่างหนึ่งทำให้เราประทับใจ ให้สิ่งดีๆ กับเรา

ฉันขอการันตีอีกครั้งหนึ่งว่า หนังสือเรื่องสายธารแห่งความสุข และเรือนไม้สีเบจ “เป็นหนังสือดี มีคุณค่า และเป็นได้มากกว่าคำว่าหนังสือจริงๆ ...สายธารแห่งความสุข และเรือนไม้สีเบจ...สองเล่มนี้สิ น่าอ่าน

น.ส. วิภาดา รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ที่อยู่ 12 ซ. สุจริต 1 ต. ปากน้ำ อ. เมือง จ. กระบี่ 81000
โทร. 0-7562-0238
e-mail address alice- bobamboo@hotmakl.com
การศึกษาปัจจุบัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10 โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล