![]() |
นายวีรวัฒน์ จันทรัตนะชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี |
เรื่อง ดวงมณีแห่งชีวาหนังสือ เป็นเหมือนคลังที่รวบรวมเรื่องราว ความรู้ ความคิด วิทยาการทุกด้านอย่าง ซึ่งมนุษย์ได้เรียนรู้ ได้คิด ได้อ่านและพยายามบันทึกภาษาไว้ด้วยลายลักษณ์อักษร หนังสือแพร่ไปถึงที่ใด ความรู้ ความคิดเห็นแพร่ไปถึงที่นั่น หนังสือจึงเป็นสิ่งมีค่า และมีประโยชน์ที่จะประมาณค่ามิได้ ในแง่ที่เป็นบ่อเกิดการเรียนรู้ของมนุษย์ พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีเปิดงานปีหนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2514 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของหนังสือ ซึ่งพระองค์ทรงอยากให้พวกเราเยาวชนให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเองทั้งในปัจจุบันอนาคต ในสังคมปัจจุบันนี้ ผู้คนต้องทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนให้ดีขึ้น กอปรกับกิจวัตรประจำวันที่ยุ่งเหยิง วุ่นวาย ทำให้ไม่มีเวลาว่างเพียงพอที่จะอ่านหนังสือ และคิดว่าหนังสือไม่มีความสำคัญพอ จึงไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร แต่ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเขาคิดผิด เพราะข้าพเจ้าได้พบและได้อ่านหนังสือสองเล่มทำให้ข้าพเจ้าได้รับสิ่งต่างๆ มากกว่าความรู้ในห้องเรียน สามารถนำไปใช้เป็นแบบแผนประยุกต์ใช้ได้จริงทุกอิริยาบถการดำเนินชีวิต เปรียบเสมือนคู่มือชีวิต เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน ซึ่งคิดว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านหนังสือ หนังสือที่ข้าพเจ้าจะแนะนำต่อไปนี้ เมื่อท่านได้อ่านแล้วจะได้ความรู้และจะพบความสุขอย่างแท้จริง หนังสือเล่มแรกที่ข้าพเจ้าขอแนะนำคือ หนังสือพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลปัจจุบัน พระองค์ทรงรักหนังสือเล่มนี้มาก ดังพระราชดำรัส เมื่อครั้งโปรดเกล้าฯ ให้สื่อมวลชนเข้าเฝ้าเพื่อทรงแจ้งให้ทราบว่า หนังสือพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก เสร็จสมบูรณ์แล้ว ความว่า หนังสือเล่มนี้เป็นที่รักของข้าพเจ้า หนังสือเล่มนี้ไม่มีที่ใดเทียมและเป็นที่ร่าเริงใจของผู้อ่าน ต้องการให้เห็นว่าสำคัญที่สุด คนเราจะทำอะไรต้องมีความเพียร ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์ พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ในทุกด้าน ทรงพระปรีชาสามารถในด้านวรรณกรรมยิ่งนัก ทรงใช้ภาษาได้กระชับ สละสลวย อ่านง่าย พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกนี้ เกิดขึ้นตามพระราชปรารภที่ว่า เมื่อ พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสดับพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม เรื่องพระมหาชนกเสด็จทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ในกรุงมิถิลา พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัย จึงทรงค้นเรื่องพระมหาชนก ในพระไตรปิฎกและทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษตรงจากมหาชนกชาดกตั้งแต่ต้นเรื่อง โดยทรงดัดแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ชาดกเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการบำเพ็ญบารมีของพระมหาชนก ซึ่งเต็มไปด้วยความเพียรอย่างยิ่งยวด บทแรกขึ้นต้นว่า ในอดีตกาลอันพ้นคณนาวิสัยครั้งหนึ่ง พระราชาพระนามว่าพระมหาชนก ครองราชสมบัติ อยู่ในกรุงมิถิลา พระองค์ทรงมีพระโอรสสองพระองค์พระนามว่า พระอริฏฐชนกและพระโปลชนก พระราชาพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่องค์พี่และตำแหน่งเสนาบดีแก่องค์น้อง กาลต่อมาพระมหาชนกสวรรคต พระอริฏฐชนกได้ครองราชสมบัติและทรงตั้งพระโปลชนกเป็นอุปราช วันหนึ่งอมาต์ผู้ใกล้ชิดกราบทูลใส่ร้ายว่า พระโปลชนกคิดไม่ซื่อ พระอริฏญชนกหลงเชื่อสั่งจองจำพระโปลชนก แต่พระโปลชนกตั้งจิตอธิษฐานและหลบหนีไปได้ ภายหลังได้รวบรวมพลท้ารบและสามารถเอาชนะได้ในที่สุด พระอริฏฐชนกสิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระเทวีที่กำลังทรงครรภ์จึงปลอมตัวหนีออกนอกเมือง ด้วยความช่วยเหลือของท้าวสักกเทวราช จึงเสด็จหนีไปจนถึงเมืองกาลจำปากะ ได้พราหมณ์ผู้หนึ่งอุปการะไว้ในฐานะน้องสาว ต่อมาทรงประสูติกาล ขนานพระนามพระโอรสตามพระอัยยิกาว่า พระมหาชนกจวบจนกระทั่งพระมหาชนกเติบใหญ่และได้ทราบความจริงจากพระมารดา ทรงคิดจะไปค้าขายและชิงเอาราชสมบัติคืน จึงนำสมบัติกึ่งหนึ่งของพระมารดาไปขายแลกเป็นสินค้าออกเรือไปยังสุวรรณภูมิ ระหว่างทางในมหาสมุทร เรือต้องพายุล่มลง ลูกเรือตายหมด เหลือแต่พระมหาชนกรอดอยู่ผู้เดียว ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเพียรถึง 7 วัน 7 คืน จนได้พบนางมณีเมขลาปรากฏกายกลางอากาศ แล้วตรัสกับพระมหาชนกกว่า ท่านอาจจะตายเสียแน่แท้ ที่มัวว่ายน้ำในทะเลลึก ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่งอย่างนี้ พระมหาชนกตรัสว่า เราพากเพียรเช่นนี้ก็มิถูกติเตียนได้ การไม่รักษาชีวิตไว้อย่างพากเพียร ก็เท่ากับนับว่าเป็นคนเกียจคร้าน และสนทนาธรรมในเรื่องความเพียร ในที่สุดนางมณีเมขลาได้อุ้มพระมหาชนกไปส่งยังมิถิลานคร จากนั้นพระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ครองเมืองมิถิลา รายละเอียดและเนื้อเรื่องหลังจากนี้น่าติดตามมาก ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ตัวหนังสือบางอย่างหรือคำบางอย่างได้ดัดแปลงให้ตรงกับความคิดสมัยใหม่นี้บ้าง ที่อาจไม่เป็นประโยชน์แก่คนปัจจุบันก็ได้ละเว้นตกแต่งใหม่ที่เป็นประโยชน์แก่สังคมปัจจุบัน พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก เป็นหนังสือขนาดกำลังเหมาะแก่การอ่าน หนังสือหนาเพียง 162 หน้า เป็นเนื้อเรื่องเพียง 83 หน้า นอกนั้นเป็นภาพประกอบที่สวยงามยิ่ง และยังมีพระราชปรารภและภาคผนวก แต่จากจำนวนหน้าเนื้อเรื่องนั้น ประกอบด้วยพระราชนิพนธ์ถึงสามภาษา คือ ภาษไทย ภาษาอังกฤษ และอักษรเทวนาครี กำกับคาถาบาลีทุกบท ท่านที่ได้อ่านแล้วหนึ่งครั้งหรือมากกว่าจะได้บทเรียนแง่คิดเพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่อ่าน เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นการรื้อฟื้นธรรมะเรื่องความเพียรมาแสดงใหม่ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงดัดแปลงเนื้อเรื่องให้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน ทรงปรับปรุงภาษาจากพระอรรถชาดกให้กระชับ ง่ายแก่การเข้าใจและอ่านสนุกยิ่งขึ้น ทรงมีจินตนาการที่นักเขียนพึงมีในการสร้างสรรค์ เช่น การกำหนดให้ปูทะเลยักษ์เป็นผู้ช่วยพระเอก การเดินเรื่องให้ตื่นเต้นน่าอ่าน ทรงให้ความสำคัญในสั่งสอน กล่าวคือ การสอนธรรมะจะต้องใช้ ศิลปะเข้าช่วย และนอกจากเนื้อหาของเรื่องทรงดัดแปลงให้เป็นเรื่องร่วมสมัยแล้ว ได้พระราชทานพระราชดำริให้ศิลปินชั้นครูช่วยเขียนภาพประกอบเรื่อง พระราชทานพระราชดำริให้ออกแบบจัดหน้าเป็นแบบหนังสือเทพนิยายฝรั่งแต่ก็ให้ปรับปรุงเป็นศิลปะไทยร่วมสมัย ทั้งถึงพร้อมความไพเราะในภาษา ความงดงามของภาพประกอบและให้ธรรมะที่เป็นแก่นสาร จึงเทียบได้กับหนังสือศักดิ์สิทธิ์ในวัฒนธรรมชนชาติต่างๆ เป็นแบบหนังสือศักดิ์สิทธ์ของสังคมไทยในปัจจุบัน งานวรรณกรรมชิ้นนี้เปรียบเสมือนเพชรที่ถูกเจียระไนด้วยช่างฝีมือประณีตสูงส่งคุณค้า แต่ละเหลี่ยมแต่ละมุม ล้วนดึงดูดใจให้หยุดคิด พินิจพิจารณา นักพัฒนาก็ได้แง่คิดและมุมมองของการพัฒนาที่ยั่งยืน นักภาษาศาสตร์ก็จะได้แง่คิดทั้งในแง่จารีตของการสืบทอดพระศาสนาเป็นลายลักษณ์อักษรและความลุ่มลึกของปรัชญาชีวิตที่เป็นพุทธปรัชญา ท่านที่เป็นครูก็จะเห็นแง่มุมมากมายในการสั่งสอนและอบรมเยาวชนของชาติ ท่านที่เป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่ จะเห็นแง่มุมในการวางตน ในบทบาทที่ตนเป็นอยู่ ด้วยความถูกต้อง อีกทั้งยังมีประโยชน์ในด้านสังคม ประวัติศาสตร์ การศึกษา การเกษตรมีคติเตือนใจว่า ความเพียรที่บริสุทธิ์เป็นคุณธรรมที่ต้องรื้อฟื้นขึ้นมา ทรงพัฒนาเมืองอวิชชาเป็นเมืองคนดี เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิต เป็นมรดกแก่กุลบุตร กุลธิดาชาวไทยในอนาคตกาล หนังสือพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก เป็นหนึ่งในทุกๆ ด้าน เปรียบเสมือนเพชรเม็ดงาม ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจของข้าพเจ้าและชาวไทยทุกคน ท่านลองอ่านดูแล้วท่านจะภูมิใจ มีความพยายามและความกล้าที่จะทำความดี สมแล้วที่หนังสือเล่มนี้ พระมหาชนกพระราชนิพนธ์ ระดับโลก หนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าอยากแนะนำให้ทุกท่านได้อ่าน เพื่อนำไปใช้เป็นอุทาหรณ์ คติเตือนใจในการวางตนในสังคมปัจจุบันและการเลี้ยงดูบุตร คือเรื่องของน้ำพุ บทประพันธ์ของ สวรรณี สุคนธา เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถึงแม้ว่าวรรณกรรมนี้จะมีอายุหลายสิบปี แต่เรื่องราวยังคงงดงามติดตรึงใจมิเคยจางจืดไปจากความทรงจำ น้ำพุเป็นเรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตที่น่าสงสารเนื่องจากเกิดในครอบครัวที่ขาดความเข้าใจกัน ในครอบครัว พ่อ แม่ และพี่ ต่างก็มีมุมของตัวเอง จึงไม่มีเวลาให้ความอบอุ่นแก่น้ำพุ น้ำพุจึงหันไปคบเพื่อน ติดเพื่อนและติดยาเสพติดในที่สุด กว่าทุกคนจะรู้ก็สายเกินไปเสียแล้ว ชีวิตของน้ำพุจึงจบลงในเวลาอันไม่สมาควร น้ำพุเกิดวันที่ 13 มีนาคม 2499 น้ำพุเป็นชื่อเรียกเล่นๆ ในครอบครัว เขาจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนศรีวิกรม์ และหลังจากนั้นก็ย้ายไปเรียนที่เชียงใหม่ 1 ปี เพราะตามใจแม่ เมื่อไปเรียนจึงรู้ว่าตนไม่ชอบวิชาที่เรียนแต่ชอบศิลปะมากกว่า จึงได้ขอแม่มาเรียนก่อนเปิดเรียนในปีนั้น ช่วงปิดเทอมน้ำพุได้ขอบวชเรียนอยู่เดือนหนึ่ง เมื่อเปิดภาคเรียนแล้วจึงสึกออกมาเรียนต่อ ระหว่างนั้นน้ำพุอยู่ในความอุปการะของป้า ระหว่างปีสุดท้ายของการเรียน น้ำพุเริ่มคบเพื่อนหน้าแปลกๆ และพาเข้ามาในบ้านให้แม่เดือดร้อนใจอยู่เสมอ เช่น ริอาจทำความรู้จักกับเหล้าแห้ง กัญชาและยาเสพติดชนิดต่างๆ จากนั้นน้ำพุก็เปลี่ยนมาใช้ยาที่แรงขึ้นๆ จนกระทั่งถึงเฮโรอีน เมื่อมาสารภาพว่าติดแล้วนั้น น้ำพุกำลังเตรียมตัวจะไปอดยาที่ถ้ำกระบอก และขอเงินแม่ 300 บาท ครั้งแรกตั้งใจจะไปโดยไม่บอก แต่หาเงินเท่าไหร่ก็หาไม่ได้จึงจำเป็นต้องมาสารภาพกับแม่ ระหว่างนั้นตัวแม่ของน้ำพุเองต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด จึงไม่อาจจะไปดูแลน้ำพุที่ถ้ำกระบอกได้ เมื่อน้ำพุกลับมาสดใสมาก ทำให้ครอบครัวมีความหวังว่าน้ำพุจะดีขึ้น มีคนถามแม่น้ำพุเสมอหลังจากน้ำพุได้เสียชีวิตแล้ว เลี้ยงลูกอย่าไรถึงได้ปล่อยให้ไปติดเฮโรอีน ทำให้เธอต้องนิ่งและไม่อาจหาคำตอบได้ แต่เธอบอกว่า ถ้าจะให้ตอบจริงๆ แล้ว ก็ต้องโทษตัวเองว่า เลี้ยงลูกไม่เป็น และทำไมจึงนำเรื่องลูกชายที่สิ้นชีวิตไปเพราะยาเสพติดมาเปิดเผย ไม่ใช่เรื่องดี น่าจะปิดเป็นความลับมากกว่า คำตอบอยู่ที่ว่า เธอไม่อยากให้ลูกคนอื่นเสียชีวิตไปเพราะยาเสพติดอีก ถ้าเรื่องของน้ำพุเป็นประโยชน์ต่อใครคนอื่นได้ เธอจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง และจะไม่ขออะไรอื่นนอกจากผลบุญกุศลที่เกิดจากสิ่งที่เธอได้ทำไปแล้วนี้ ขอให้น้ำพุไปสู่สุขคติ เมื่อน้ำพุกลับมาก็ตั้งในเรียนดีขึ้น หลังจากที่ได้เสียเวลาไป 2 ปี ปีแรกที่เชียงใหม่และปีที่ 2ไม่ได้สอบที่โรงเรียนช่างศิลปะ เพราะต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคไวรัสลงตับ เวลาเรียนไม่พอ แม่น้ำพุกล่าวว่า วันสุดท้ายที่ได้พบลูกนั้น เป็นวันที่ 27 พฤษภาคม ตอนเย็นลูกไปหาที่โรงพิมพ์ และพาสาวน้อยหน้าตาน่ารักไปด้วย และขอเงินไปซื้อกางเกงนักเรียน เธอหยิบเงินให้ไปและสั่งว่าอย่ากลับค่ำ น้ำพุรับปากเป็นอันดี เมื่อไปถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่ม น้ำพุเปิดประตูรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ใครจะรู้ว่านั่นเป็นการเปิดประตูครั้งสุดท้ายของลูกให้แม่ จากนั้นน้ำพุก็เอารูปมาอวดและบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาพุยังไม่เคยเขียนรูปได้ดีเท่านี้เลยแม่ เธอรับมาดูและชมด้วยใจจริงว่า ดูดีนี่ ทำไมไม่ใช้ดินสอดำ พุบอกไม่ชอบสีดำ จากนั้นเธอก็ขึ้นไปนอนแต่นอนไม่หลับ ลูกสาวคนโตก็ยังไม่กลับ เธอมีงานที่มหาวิทยาลัยจึงกลับช้าไปมาก หลังจากกลับมาน้ำพุไปช่วยพี่สาวขนของ มีรูปซึ่งเป็นภาพพิมพ์และกล่องผ้าเช็ดหน้าที่ทำขายในมหาวิทยาลัย ซึ่งน้ำพุสนใจมาก เลิกเรียนแล้วก็ไปนั่งดูพี่สาวว่าจะขายได้สักเท่าไร จะขาดทุนหรือได้กำไร พี่กบ...วันนี้ขายผ้าเช็ดหน้าได้เท่าไร น้ำพุถาม โผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำก่อนที่จะออกไปช่วยพี่สาวขนของลงจากรถ ...น้ำพุเอารูปภาพพิมพ์ไปติดตามห้องพี่ น้อง จนทั่วบ้าน ราวกับจะสั่งลา น้ำพุพูดกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายว่า แม่...น้ำพุจะซื้อสีน้ำมัน แม่ซื้อให้พุนะ จะเอามาเขียนรูปติดห้อง แม่ว่าพุเขียนได้ไหม ได้ชิ เธอตอบและเดินออกมาจากห้องของน้ำพุ ขึ้นล้มตัวนอนแต่นอนไม่หลับ ตอนเช้ามืดคนใช้ไปดูน้ำพุ พุนอนเหยียดยาวอยู่หน้าเตียง แผ่นเสียงยังหมุนและไฟยังเปิด น้ำพุสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ เหมือนหัวใจจะขาดตามลูกไปด้วย แม่ได้อุ้มลูกขึ้นรถและให้พี่สาวน้ำพุขับพาไปที่โรงพยาบาล หมอสันนิษฐานว่า น้ำพุหัวใจวาย แต่ใครๆ ก็รู้ว่าน้ำพุจากไปเพราะยาเสพติด น้ำพุอาจจะหวนไปใช้ยา ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นยาชนิดใดและยานั้นคงจะรุนแรง จนสามารถทำให้หัวใจของน้ำพุหยุดโดยเฉียบพลัน ไม่มีใครช่วยได้ เรื่องของน้ำพุ มิได้ให้ความสนุกและอรรถรสด้านวรรณกรรมเพียงอย่างเดียว ยังให้แง่คิดเป็นคติเตือนใจพ่อ แม่และลูกในการดำรงชีวิต กล่าวคือ พ่อแม่ควรรักและเอาใจใส่ลูกให้มาก คอยดูแลพฤติกรรมของลูก ไม่ให้ลูกเดินไปในทางที่ผิดแต่ไม่ใช่การบังคับ ควรสอนให้รู้ดีรู้ชั่ว ยกตัวอย่างให้ชัดเจน เพื่อให้ลูกได้มีแนวทางปฏิบัติ การเลี้ยงดูควรจะทำความเข้าใจกับลูกให้มากที่สุด ว่าลูกต้องการสิ่งใด ว้าเหว่ เหงาจนหันไปพึ่งสิ่งที่ไม่ดีได้ การปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวต้องสื่อความกันให้รู้เรื่อง พูดจากันอย่างมีเหตุผลว่าใครต้องการอะไร เมื่อเกิดปัญหา ควรจะหันหน้าเข้าหากัน ช่วยกันแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้น วัยรุ่นเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่ เป็นวัยที่สับสนว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับวัย ในเรื่องชี้ให้เห็นถึงการเดินทางผิดของวัยรุ่น ซึ่งหันไปพึ่งยาเสพติด เรื่องการคบเพื่อนเป็นส่วนประกอบในชีวิตที่สำคัญมาก ถ้าเราคบเพื่อนดีก็จะดีด้วย ไม่ดีก็จะไม่ดีตาม การปรับตัวเข้ากับเพื่อนมีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องทำตามเพื่อนทุกอย่าง เราควรนำสิ่งที่คิดว่าดีและเข้ากับเพื่อนได้เฉพาะในทางที่ดีมาแสดงออก แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ควรจะปรับตัวใหม่ ไม่ใช่ทำตามทุกอย่างเพราะเพื่อนอาจทำให้เราเสียคนได้ เรื่องการเรียน เราควรตั้งใจเรียนเพื่อพ่อแม่จะได้ปลาบปลื้มใจ ในด้านการเผชิญปัญหา เมื่อเจอปัญหาไม่ควรหลีกหนี ควรจะยอมรับและแก้ไขปัญหาให้ถูกวิธี เมื่อน้ำพุรู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นผิด ก็ไปสารภาพกับแม่เพื่อขอเงินไปรักษาตัว เมื่อเผชิญปัญหาร้ายแรงไม่ควรคิดแก้ปัญหาตัวคนเดียว ควรปรึกษาพ่อแม่เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ในตอนแรกน้ำพุคิดที่จะไปเลิกที่ถ้ากระบอกซึ่งการเลิกอดยานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การที่น้ำพุมีแม่คอยให้กำลังใจจึงเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้น้ำพุเลิกยาได้สำเร็จ ยาเสพติดไม่ใช่สิ่งโก้เก๋ การริอ่านทำความรู้จักกับมันมีแต่จะทำให้เสียเวลา เสียงาน เสียอนาคตและยังพลอยทำให้คนรอบข้างเสียใจไปด้วย ที่สำคัญตัวของวัยรุ่นเอง ควรจะมีสติ ยับยั้งชั่งใจให้มาก เมื่อมีปัญหาควรที่จะเข้าหาผู้ใหญ่ เพราะการตัดสินใจด้วยตนเองอาจจะไม่รอบคอบพอ เนื่องจากขาดประสบการณ์ อาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดี ที่ให้วัยรุ่นได้ดูเป็นตัวอย่าง เมื่อเข้าไปข้องแวะกับยาเสพติด จะเกิดผลอย่างไร รวมถึงผู้ปกครองควรให้คำแนะนำลูกๆ คอยชี้แนะในเรื่องการดำเนินชีวิต หนังสือสองเล่มที่ข้าพเจ้าแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านนั้น เป็นหนังสือที่ให้ประโยชน์แก่ตัวท่านเอง อีกทั้งยังได้ส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือภาษาไทย อักษรไทยและการเผยแพร่แก่ผู้อื่นโดยการเขียน และการออกเสียงภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ภาษาไทยมีความงดงามอันเป็นความภาคภูมิใจ ทั้งเป็นหลักฐานและมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรดำรงไว้ให้งดงามตลอดไป เป็นภาษที่มีเอกลักษณ์ในตัวเอง แสดงให้โลกรู้ว่าประเทศไทยก็เป็นประเทศที่มีอารยะ คือมีวิวัฒนาการผูกพันกับสังคมและเป็นกำแพงต่อด้านอิทธิพลต่างชาติได้ ภาษาไทยจึงงดงามด้วยสุนทรียะ การใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง เป็นการสืบสานวัฒนธรรมในด้านภาษาได้อีกทางหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจที่คนไทยให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือ ปลื้มใจแทนบรรพบุรุษไทยที่ยอมสละชีพพลีตนเสียเลือดเนื้อชโลมขวานทองเล่มนี้ ให้คงความงดงามบนแผนที่โลกอย่างสง่างาม นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป เมืองไทยจักเจริญก้าวหน้าขึ้น เพราะสมาชิกในชาติให้ความสำตัญกับการอ่านและสามารถนำความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง การอ่านหนังสือ คือการอ่านความคิด ที่ทำให้ผู้อ่านแตกความคิดต่อไปได้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นหล้ารอบรู้ในทุก ๆ เรื่อง ยิ่งอ่านมาก ยิ่งรู้มาก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความไม่ดี ที่เรารู้และใช้วิจารณญาณในการตัดสินสิ่งเหล่านั้น เริ่มจากการอ่านหนังสือทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการอ่านหนังสือจึงเป็นการทำงานทางความคิด ที่มีแต่จะงอกงามเป็นสติปัญญา เป็นบ่อเกิดแห่งอาวุธและเป็นขุมทรัพย์ที่จักใช้ได้ไม่หมดไม่พร่อง ไม่มีใครแย่งชิงไปได้ ข้าพเจ้าขอเชิญชวนทุกท่านให้อ่านหนังสือที่ข้าพเจ้าแนะนำและหนังสือต่างๆ ทุกเล่ม แล้วท่านจะพบแสงสว่างในดวงตาของท่าน คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต หรือคนที่มีความสุขที่สุดในโลก เริ่มจากการอ่านหนังสือทั้งสิ้น หนังสือเปรียบเสมือนดวงมณีแห่งชีวา ที่พาท่านไปสู่ความสำเร็จได้ เพียงแค่ท่านหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน | |
นายวีรวัฒน์ จันทรัตนะ ที่อยู่ 27/6 หมู่ 1 ต. พลับพลา อ. เมือง จ. จันทบุรี 22000 E-mail address : Osamaru@hotmail.com เกิดวันที่ 23 กันยายน 2530 โทร. 0-6903-6406, 0-3945-1270 ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี ถนนศรียานุสรณ์ ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี 2200 โทร. 0-3931-1170 ผู้รับทราบผลงานเข้าประกวด อาจารย์นันทนา หรรษาพันธุ์ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี |