![]() |
นายศุภชัย รัตนสิงห์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี |
เรื่อง ว่าด้วยเรื่อง สิทธิ ระหว่างเพศชาย-เพศหญิงใน วิถีคนกล้าและ เมืองลับแล ผลงานนักเขียนล้านนา มาลา คำจันทร์ในบรรดานักเขียนล้านนานั้น มาลา คำจันทร์ หรือชื่อจริงว่า เจริญ มาลาโรจน์ เป็นอีกคนหนึ่งที่มีผลงานโดดเด่นและได้รับความนิยมจากผู้อ่านอย่างแพร่หลาย เอกลักษณ์เฉพาะตัวในงานเขียนของนักเขียนผู้นี้คือ กลิ่นอายของวัฒธรรมล้านนาที่นำมาเรียงร้อยด้วยภาษา ผูกกระหวัดเป็นเรื่องราวให้คนอ่านสัมผัสได้อย่างซาบซึ้งประทับใจ หลายคนคงจดจำเจ้าจันท์ผมหอม นิราศพระธาตุอินทร์แขวน นวนิยายรางวัลชีไรต์ปี 2534 และอีกหลายคนคงชื่นชม หมู่บ้านอาบจันทร์ วิถีคนกล้า และเมืองลับแล เป็นนวนิยายอีกสองเรื่องที่อยากจะแนะนำให้เข้าไปสัมผัสกลิ่นอายความเป็นชนบทของถิ่นเมืองเหนือ ทั้งวิถีชีวิตบนดอยและตำนานเล่าขานประจำถิ่นที่ชวนค้นหา วิถีคนกล้า เป็นเรื่องราวความลึกลับทางวัฒนธรรมความเชื่อความศรัทธาของผู้คนในหมู่บ้านชาวเขาเผ่าหนึ่ง ซึ่งยึดมั่นและดำเนินชีวิตตามคำกล่าวที่ว่า ผู้ชายต้องกล้า ผู้หญิงคือแรงงาน แต่ทุกคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดตามจารีตประเพณี ผู้เขียนได้เสนอภาพชายหนุ่มผู้สืบเชื้อสายจากผู้นำและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งต้องการเดินตามรอยเท้าบรรพบุรุษของตนท่ามกลางวิถีการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอีกทั้งยังเสนอภาพวัฒนธรรมประเพณีอันสืบเนื่องมาจากความเชื่อทางด้านภูตผีปีศาจ ซึ่งเป็นสิ่งลึกลับน่าค้นหา น้อยคนนักที่จะมีโอกาสเข้าไปสัมผัสถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตามที่กำหนดไว้ทุกประการ จุดเด่นของโครงเรื่องวิถีคนกล้า คือ การนำเอาความเชื่อมากรอบกำหนดขอบเขตการดำเนินชีวิตของตัวละคร อันได้แก่ ความเชื่อในภูตผี ความเชื่อในอาคม และสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจมากขึ้นอีกเห็นจะเป็นกลวิธีในการลำดับเนื้อเรื่องที่โยงใยถึงกันทุกตอน มีปมปัญหาเล็กๆ เสมือนสะพานที่ทอดเป็นทางเพื่อนำผู้อ่านไปสู่ฉากต่อไปนั่นเอง มาลา คำจันทร์ ได้อาศัยข้อมูลจากการอ่านผสมผสานกับการพบปะคลุกคลีกับชาวบ้าน และนำมาคลุกเคล้าปลุกปั้นกลายเป็นเรื่องราวชวนติดตาม ผู้อ่านจะเห็นภาพสะท้อนความเป็นจริงของมนุษย์ที่พยายามแสวงหาวีถีทางที่จะนำไปสู่อำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวีถีทางนั้น นับว่านวนิยายเรื่องนี้เป็นเสมือนกระจกบานใหญ่ที่ส่องสะท้อนภาพต่างๆ ให้ผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจนมากทีเดียว แก่นเรื่องหรือความคิดสำคัญที่ มาลา คำจันทร์ ต้องการเสนอ คือความจริงที่ว่า ณ ดินแดนสูงสุดมนุษย์ยังใฝ่ฝันถึงสิ่งที่สูงกว่า ซึ่งกล่าวง่ายๆ คือการไม่รู้จักพอของมนุษย์นั่นเอง การแสวงหาอำนาจที่จะเชิดชูตนให้อยู่เหนือผู้อื่น แม้ว่ามือที่เชิดชูนั้นจะแข็งแรงและมั่นคงได้ด้วยเลือดและน้ำตาของผู้อื่นสักกี่คนก็ตาม นวนิยายเรื่องนี้จึงสะท้อนความรู้สึกของมนุษย์ได้อย่างครบถ้วน ตามจุดประสงค์ของผู้เขียนที่ต้องการให้เรื่องราวสมมุตินี้เป็นเรื่องเตือนใจมนุษย์ทุกคน นวนิยายทุกเรื่องมีแก่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่หากแก่นเรื่องเหล่านั้นมิได้ถูกถ่ายทอดลงไปในตัวละครที่ดีแล้ว นวนิยายเรื่องนั้นก็จะไม่ที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นตัวละครจึงมีบทบาทสำคัญมากในการทำหน้าที่สื่อให้ผู้อ่านทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องและความหมายที่แท้จริงที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ วีถีคนกล้า ก็เช่นกัน นอกจากมีแก่นเรื่องที่น่าสนใจแล้ว ตัวละครแต่ละตัวที่ใช้เป็นสื่อถ่ายทอดเรื่องราวก็มีเอกลักษณ์และแนวทางชีวิตเฉพาะตัว เป็นคุณสมบัติของตัวละครที่ดีประการหนึ่ง ผู้เขียนได้สมมุติตัวละครเด่นให้มีบทบาทมากที่สุดห้าตัว คือ จ่อปา, หนะแอ, หนะมี จอมุ และปู่แถน จ่อปาตัวเอกของเรื่อง เด็กหนุ่มที่เข้าใจอยู่เสมอมาว่าตนเป็นลูกของชาวบ้านธรรมดา แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาเป็นลูกของปู่แถนผู้เป็นหัวหน้าเผ่านี้ จ่อปาอยู่ในตระกูลหมีดำ ซึ่งเป็นเชื้อสายของนักรบผู้กล้าหาญ ชอบแสวงหาวิถีทางที่จะก้าวเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษเยี่ยงวิถีคนกล้า เขาจึงเป็นภาพของคนที่มีความทะเยอทะยานสูง มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าไม่รู้จักคำว่า พอ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ยังแสวงหา สิ่งที่สูงกว่า แสวงหาหนทางที่จะได้ครอบครองอำนาจ แม้วิธีการนั้นจะผิดจารีตก็ตาม ข้ารู้ว่าข้ามีอำนาจเหนือสัตว์ เหนือผู้หญิง ข้าอยากรู้ว่าอำนาจข้าจะมีเหนือผีหรือไม่ มาลา คำจันทร์ ได้เสนอแนะให้เห็นวิถีการใช้อุดมการณ์ของคนที่แตกต่างกัน อุดมการณ์ที่จะแสวงหาทางที่จะเดินบนวิถีคนหล้า โดย ทำให้คนอื่นกลัว ทำให้ไม่กลัวคนอื่น จ่อปาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอุดมการณ์ ในขณะที่ปู่แถนให้อุดมการณ์นี้อย่างรอบคอบและใช้เพื่อการแก้ปัญหา พร้อมทั้งตักเตือนผู้อื่นให้ใช้อุดมการณ์นี้อย่างถูกวิธีตามจารีต หนะแอและหนะมี คือตัวแทนของผู้หญิงที่ยอมอยู่ใต้อำนาจของเพศชาย จารีตของเผ่ากำหนดให้เพศหญิงเป็นแค่ชนชั้นแรงงาน ไม่มีสิทธิกำหนดแนวชีวิตตนเอง เป็นฉากหนึ่งของวิถีชาวเขาห่างไกล แต่ความจริงแล้วฉากดังกล่าวก็ยังฉายชัดอยู่ในทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นชนบทหรือเมืองใหญ่ที่มีความศิวิไลซ์ กลุ่มชนนี้ผู้ชายเป็นใหญ่กว่าผู้หญิงทุกคน ยกเว้นแม่ย่า เพราะผู้ชายมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองหมู่บ้าน ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ทำงานทุกอย่างแทนผู้ชาย โดยไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ นอกเสียจากผู้ชายจะเต็มใจช่วยเอง เป็นมุมมองหนึ่งซึ่งอาจจะขัดกับความรู้สึกของผู้อ่านที่ถือในสิทธิสตรี แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง เรื่องนี้จะทำให้เราเห็นความสำคัญในสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้รณรงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิสตรีในปัจจุบัน นวนิยายเรื่องนี้นอกจากเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจไม่ให้หลงระเริงไปกับจิตใต้สำนึกเบื้องลึกของมนุษย์มากเกินไปแล้ว ยังอาจเป็นงานเขียนเชิงสารคดีที่ให้ความรู้เกี่ยวกับชาวเขาทางตอนเหนือของไทยได้ส่วนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขาในแต่ละวันที่มีเกร็ดให้เห็นตลอดเรื่อง เช่น ประเพณีการลงข่วง (ร่วมประเวณี) ประเพณีการเลือกแม่ย่า ซึ่งต้องใช้หญิงสาวพรหมจรรย์ และแม่ย่าที่ได้รับเลือกจะต้องลงข่วงกับปู่แถนและผู้ชายอีกหลายคน หากทนได้จะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างและหากตายจะได้รับการนับถือบูชา ประเพณีกินข้าวใหม่ พิธีฟันดาบกินข้าวใหม่ ชาวบ้านจะนำข้าวมากองไว้ให้ปู่แถนกับแม่ย่า และหลังจากเลิกงาน ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิเลือกผู้ชายทุกคนลงข่วงด้วย ด้านความเชื่อความศรัทธาของกลุ่มชนชาวเขาที่ถ่ายทอดปลูกฝังความเชื่อและยึดถือภูตผีเพื่อควบคุมและปกครองกลุ่มชนให้อยู่ได้ ความเชื่อด้านอาคมที่ถ่ายทอดผ่านปู่แถน (ผู้ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับบรรพบุรุษและภูตผีได้) การดื่มน้ำสาบาน เป็นต้น เหล่านี้คือวัฒนธรรมทางความเชื่ออันถือว่ามีความบริสุทธิ์ของท้องถิ่นแต่ละกลุ่มชนที่ยังมิได้เจือปนแปดเปื้อนกับสังคมเมืองเลย เมืองลับแล เป็นนวนิยายที่เคยตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารสกุลไทย โดย มาลา คำจันทร์ ได้หยิบเอาแก่นกลางของเรื่องเล่าตำนานพื้นเมือง เมืองลับแล ที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันดีมาแตกดอกออกลายเป็นรูปเป็นเรื่อง นำเสนอเรื่องราวการใช้ชีวิตของชาวชนบทที่ยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง ดำเนินชีวิตตามความเชื่อ ความลึกลับ ความเป็นมาของเมืองลับแลแม้จะรางเลือน แต่ตำนานเรื่องเมืองลับแลนั้นก็มีการเล่าขานกันมาช้านาน บ้างก็ว่าเป็นเมืองที่ซุกซ่อนอยู่ในป่า บ้างก็ว่าเป็นเมืองแม่ม่าย แต่ในเรื่องนี้ ผู้เขียนได้จินตนาการให้เป็นเมืองแม่ม่าย เป็นเมืองที่ผู้หญิงลุกขึ้นเป็นใหญ่ครองเมือง และกีดกันสิทธิของผู้ชาย หญิงเป็นนาย ชายเป็นข้า โดยสอดแทรกเรื่องราวการดำรงชีวิตของชาวชนบททุกแง่มุม และปิดท้ายเรื่องไว้ให้ผู้อ่านได้จินตนาการต่อไป จุดเด่นของโครงเรื่องเมืองลับแล คือการนำธรรมะและความเชื่อในเรื่องต่างๆ มาใช้ในการดำเนินชีวิตตัวละคร เพื่อจะช่วยคลี่คลายปัญหา เช่น การที่ชาวบ้านของจอมแสงมีหลวงปู่เป็นที่พึ่งเมื่อยามเจ็บไข้ การเซ่นไหว้แม่น้ำของชาวไทยเวียง ความลึกลับของเมืองลับแลที่เหมือนดั่งเมืองที่ตั้งอยู่ในม่านหมอกคล้ายกับจะแลเห็นแต่เพียงกะพริบตาก็หายไปเช่นเดียวกับชื่อเมือง โครงเรื่องจัดอยู่ในประเภทโครงเรื่องแบบดั้งเดิมที่ เน้นความสำคัญของเหตุการณ์ โดยให้ตัวละครเอกเป็นผู้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์และปัญหาต่างๆ ของเรื่อง ซึ่งเป็นวิกฤติแต่ในที่สุดทุกอย่างก็คลี่คลายไปสู่จุดจบของเรื่อง มาลา คำจันทร์ ได้ชี้ให้เห็นสัจธรรมแห่งชีวิตมนุษย์ เกิดมาต้องพบกับความสุขและความทุกข์สลับกันไป ไม่มีใครในโลกนี้ที่พบพานแต่ความสุขหรือความทุกข์เพียงอย่างเดียว เส้นทางชีวิตของทุกคนมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรือเต็มไปด้วยขวากหนามเสมอไป ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นการใช้ธรรมะ ความเชื่อและความศรัทธา มาช่วยคลี่คลายปัญหา และสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชาวชนบทที่มีความผูกพันกับวัดและธรรมชาติ รวมความเสมอภาคกันระหว่างชายหญิง ถ่ายทอดผ่านวิถีของตัวละครที่สมมุติขึ้นในฉากของเมืองเชียงด้ง ผู้เขียนได้จินตนาการเมืองเชียงด้งให้เป็นเมืองที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ และกีดกันเพศชาย ต่อมาในสมัยที่นางง้วนมิ่งเมืองเป็นใหญ่ เวลาเดียวกันได้เกิดมีชายร่างใหญ่นาม ขุนลอ ผู้มีความคิดความอ่านตรงกันข้ามกับจารีตแห่งเมืองในเรื่องความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชาย และการเอารัดเอาเปรียบจนถึงสิ้นชีวิตของคนทั้งสอง สืบต่อมาเมื่อนางอั้วมิ่งเมืองเป็นใหญ่ บุรุษสืบเชื้อสายขุนลอขึ้นมาเช่นกัน ความขัดแย้งคำรบสองนี้เป็นเหตุให้เมืองเชียงด้งแตกเป็นสอง กลายเป็นเมืองไทยเวียงและเมืองไทยซง เมืองไทยเวียงนับถือผู้หญิงกีดกันเพศชาย ส่วนเมืองไทยซงนับถือเพศชาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย ทุกชนชั้น ทุกสังคม แม้ปัจจุบันรัฐธรรมนูญ ระบุเรื่องราวของสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์อย่างเด่นชัด แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ระบุกับสิ่งที่คนเรานำมาใช้ปฏิบัติบางครั้งก็เหมือนเส้นขนานกัน ผู้เขียนได้บอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวละคร ทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพได้จริงตามจินตนาการของผู้เขียน ถึงแม้จะคล้ายว่าเรื่องนี้เหมือนเรื่องเกินจริง แต่ด้วยเหตุที่เรามักจะคุ้นเคยกับตำนานปรัมปราเรื่องเมืองลับแลด้วยกันทุกคน ทำให้อยากที่จะค้นหารายละเอียดตามแกนเรื่องที่ได้ยินมาแต่ครั้งเยาว์วัย ผู้เขียนสร้างตัวละครที่มีบทบาทเด่นและสำคัญอยู่หกตัว ได้แก่ จอมแสงลูกชายของพรานวงและสีเวียง หนุ่มร่างใหญ่ หน้าตาคมสันงดงามสมชายชาตรี เก่งการใช้อาวุธ ขยันทำมาหากิน มีสัจจะ มั่นคงในความรัก ซื่อสัตย์ต่อหญิงคนรัก อ่อนน้อมถ่อมตน เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ มีน้ำใจต่อคนรอบข้าง และรักเพื่อนยิ่งชีวิต มีเพื่อนรักที่คบกันมาแต่เยาว์วัยที่ชื่อไอมิ่ง ลูกของพรานเมือง เป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก แต่มีความเป็นมิตรแท้และเอื้อเฟื้อผู้อื่น แต่ลึกๆ มีความทะเยอทะยานสูง นางอั้ว ผู้เป็นนางมิ่งเมืองคนเก่าของไทยเวียง หน้าตาเหี่ยวย่นราวกับแร้งเฒ่าเฝ้าสุสานร้างไร้ซากศพกิน แต่เป็นผู้มีบทบาทอย่างมากต่อเมือง รอบคอบมีสติ คิดการณ์ไกล รู้จักการวางแผนที่ดี พูดจาตรงไปตรงมาไม่รักษาน้ำใจคน นางรั้งเมืองหญิงผู้มีบทบาทยิ่งในเมืองเชียงด้ง อายุยังน้อง หน้าตางดงาม แต่มากชู้ ผู้หลงรักจอมแสง มีความมักใหญ่ใฝ่สูง และเป็นภาพลักษณ์ของที่ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และยังมีตัวละครหลายตัวที่แท้จริงมีบทบาทของสังคมเข้ามาเกี่ยวพันโยงใยและมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกแม้กาลเวลาจะผันผ่านแม้สถานที่จะทำให้คนผันแปร แต่จิตใต้สำนึกของคนย่อมเก็บงำและพร้อมที่จะเปิดเผยออกมาให้เห็นเมื่อจำเป็น ด้วยเหตุที่ มาลา คำจันทร์ มีพื้นเพผูกพันกับธรรมชาติแห่งล้านนา ดินแดนที่อิ่มเอมด้วยขุนเขาและเมฆหมอก งานเขียนของเขาทุกเรื่องจึงมีฉากแห่งธรรมชาติปรากฏอย่างงดงาม อย่างเรื่องนี้ ผู้เขียนได้พรรณนาหมู่บ้านจอมแสงที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์น้อยใหญ่ ตั้งแต่กระแต กระต่ายป่า จนถึงอีเห็นฟาน กวาง มีแม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง อันแสดงถึงระบบนิเวศวิทยาที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง โดยมีคนเป็นผู้พึ่งพิงอิงอ้อมกอดแห่งธรรมชาตินั้นอย่างอบอุ่น การใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่บรรพบุรุษถ่ายทอดต่อๆ กันมา ภาพ ชาวบ้านที่สร้างบ้านด้วยแฝก ฝาบ้านมาจากไม้ไผ่ การหาบน้ำจากลำห้วย กลิ่นข้าวใหม่และควันไฟจากกระท่อมเชิงเขา เหล่านี้คือภาพที่คนเมืองในปัจจุบันแทบไม่เคยเห็นหรือสัมผัสเลย จากกระจกที่ทุกๆ คนส่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่อาจทำให้เห็นความเป็นจริงได้อย่างถ่องแท้ อยากให้ลองใช้นวนิยายทั้งสองเรื่องนี้เป็นดั่งกระจกบานใหม่ของท่าน รับรองได้ว่าหากได้สัมผัสกระจกทั้งสองบานนี้แล้วจะไม่ผิดหวัง ยืนยันได้จากคำชื่นชมของคนหลายๆ คน อีกทั้งยังทำให้ทุกๆ สิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ภายใต้จิตสำนึกของท่านสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน แต่เมื่อท่านใช้เสร็จแล้ว อย่าลืมเก็บสิ่งที่ท่านเห็นไว้ที่เดิม ในที่ที่สิ่งนั้นควรจะอยู่ชั่วนิรันดร์ | |
นายศุภชัย รัตนสิงห์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี 76120 โทร. 0-3247-0295-22 วันเดือนปีเกิด 22 สิงหาคม พ.ศ. 2529 ชื่ออาจารย์ อ. นายพรไพรสน คนมี อาจารย์ 1 ระดับ 5 หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย |