นายสวณัฐ ตรีสาทร

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี

เรื่อง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน” และ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า คน” สองรางวัลซีไรต์
จากปลายปากาว วินทร์ เลียววาริณ

โรงเรียนประจำ/ชั่วโมงเรียน/ภาษาไทย/ชั้น ม. 5/รายงาน/รางวัล/ซีไรต์/วินทร์/คะแนนเก็บ/กลุ่ม 1/นวนิยาย/ประชาธิปไตย/เส้นขนาน/กลุ่ม 2/เรื่องสั้น/สิ่งมีชีวิต/คนวิจารณ์/นำเสนอ/หน้าชั้น/ฟัง/บันทึก/เพื่อน/ดีเด่น/ชวนอ่าน/เปิดโลกกว้าง/ดำเนินชีวิต/…

ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ผลงานสร้างสรรค์ของนักเขียนแนวทดลองนามว่า “วินทร์ เลียววาริณ” นวนิยายรางวัลดีเด่นจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2538 รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) พ.ศ. 2540 และหนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชน (อายุ 16-18 ปี) พ.ศ.2541-2542 วินทร์ เลียวาริณ ใช้ชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ เรียงวร้องเหตุการณ์และบุคคลในจินตนาการเข้ากับเหตุการณ์และบุคคลจริงอย่างผสานกลมกลืน ผ่านความคิดคำนึงและบทสนทนาของตัวละครเอก ผู้เป็นเสมือนตัวแทนคนในชาติที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางการเมือง ตั้งแต่เริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงปัจจุบัน

หนังสือเรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยการจำลองภาพเหตุการณ์ทางการเมืองนับตั้งแต่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย (แม้จะไม่ใช่แบบเต็มใบก็ตาม) ในช่วงกว่า 60 ปีที่มีการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย แต่ละยุคนั้นมีการถ่ายเทอำนาจจากกลุ่มบุคคลหนึ่งไปหาอีกบุคคลหนึ่งโดยผู้เขียนถ่ายทอดผ่านการดำเนินชีวิตของบุคคลสองคนที่แตกต่างกันในด้านการใช้ชีวิตและทางด้านอุดมการณ์ แต่ทั้งสองมีจุดหมายปลายทางเหมือนกัน นั่นคือเพื่อการได้มาซึ่งความสงบสุขของบ้านเมือง สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน และได้มาซึ่งการมีประชาธิปไตยที่เต็มใบ แต่เดินเป็นแนวที่ขนานกันไปโดยไม่สามารถจะใช้วิธีร่วมกันได้ เริ่มตั้งแต่ชายชราสองคน คือ พล.ต.ต. ตุ้ย พันเข็ม (อดีตตำรวจฝีมือดี เป็นหนึ่งในตำรวจสมัยนั้นที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่โอนอ่อนไปตามอำนาจ) และหลวงกฤษฎาวินิจ (อดีตบุรุษผู้มีสองด้าน เคยเป็นคุณหลวงผู้สูงศักดิ์ แต่ถูกความผันผวนทางการเมืองบังคับให้กลายเป็นโจร เกลียดชังระบอบเผด็จการ และต่อสู้กับมันด้วยวิธีการของเขาเอง มีความรักชาติไม่น้อยไปกว่ากลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในสมัยนั้น) มาพบกันอีกครั้ง และหวนรำลึกถึงความหลังตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรก ในฐานะศัตรู ระหว่าง ร.ต.ต. ตุ้ย พันเข็ม และเสือย้อย ในยุคเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีแต่ความวุ่นวาย ซึ่งทั้งคู่ต่างได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางการเมือง และต้องต่อสู้กับสถานการณ์ต่างๆ มาโดยตลอด ถึงแม้จะอยู่คนละฝ่ายและมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่มีจุดหมายเดียวกันคือ รักความเป็นชาติ ความเป็นประชาธิปไตย เหตุการณ์ทางการเมืองผ่านไปมากมาย รวมถึงการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย จนในที่สุดทั้งคู่ได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ในขณะที่การเมืองไทยกำลังแปรโฉมเข้าสู่ยุคของนักธุรกิจนานาชาติที่ใช้นักการเมืองเป็นฐานในการทำธุรกิจ

แก่นของเรื่องประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนไทยหลายฝ่าย ที่ดิ้นรนอยู่ท่ามกลางผลกระทบจากความผันผวนทางการเมือง ในช่วงเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475-2535 ความคิดสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอคือ เรื่องของการใช้ชีวิตเพื่อความถูกต้อง ไม่เอาเปรียบ ไม่หลอกใช้ ประโยชน์จากใคร รู้ทันคนเพื่อไม่ให้ถูกหลอกใช้และใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ยึดมั่นในอุดมการณ์บนความชอบธรรม โดยมีฉากและสถานที่ในเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องทางการเมืองไทยช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ทั้งเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับตัวละครจริงตามประวัติศาสตร์และตัวละครสมมุติ เช่น สวนลุมพินี อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน บ้านเห่าดง จังหวัดสกลนคร เป็นต้น

วินทร์ เลียววาริณ ได้แสดงออกถึงแนวคิด ปรัชญา จากมุมมองต่างๆ ที่มองภาพการเมืองของไทยตั้งแต่เริ่มการเปลี่ยนแปลงการปกคลอง ซึ่งคติบางข้อก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ นั่นคือ “สัจธรรม” การที่โลกต้องลำบากยุ่งยากนั้นเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของคนบางคน การที่ต้องทำทั้งที่ไม่อยากทำ ต้องรบทั้งที่ไม่อยากรบ ก็เป็นเพราะบังคับความเห็นแก่ตัวไม่ได้ หรือทนต่ออำนาจของความเห็นแก่ตัวไม่ได้ แม้จะมีบุญวาสนาชะตาสูง ก็ไม่ควรยึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป อาจมีวันที่ตกต่ำได้ถ้าไม่รู้จักระวังตัว ยามใดชีวิตมีแต่ความราบรื่นก็อย่าหลงระเริงให้ตัวตนอยู่ในศีลในธรรมเสมอ ต้องตั้งสติเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งยศศักดิ์ ชื่อเสียง เงินทอง และความสุขทั้งปวง อาจจะพังพินาศไปในพริบตาเดียวก็ได้ ถ้าไม่หมั่นประกอบความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ชีวิตหรือผู้คนในสังคม ประกอบด้วยโลกธรรม 8 คือ ลาภ-ไม่มีลาภ, ยศ-ไม่มียศ, สรรเสริญ-นินทา, สุข-ทุกข์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ได้อย่างง่ายดาย หากใช้ชีวิตอย่างขาดสติประมาทไม่ตั้งอยู่ในธรรม

ข้อผิดพลาดและความยุ่งยากของประชาธิปไตยคือประชาชนทั้งหลายไม่มีศีลธรรม แต่ถือประโยชน์จากระบอบประชาธิปไตยรับใช้กิเลสของตนอย่างเสรี เมื่อประชาชนไม่มีศีลธรรม ประชาชนโกงก็เลือกผู้แทนโกง หรือได้ผู้แทนโกง ผู้แทนโกงไปอยู่ไปทำงานร่วมกันก็เป็นรัฐสภาโกง รัฐสภาไปตั้งคณะรัฐบาล ก็เป็นรัฐบาลโกง กลายเป็นว่าโกงกันทั้งบ้านทั้งเมือง สังคมจึงมีแต่ตกต่ำลงเรื่อยๆ การเมืองเป็นละครเรื่องยาว ซับซ้อน พระเอกและผู้ร้ายเปลี่ยนบทกันได้อย่างง่ายดาย ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง กงล้อประวัติศาสตร์หมุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากอำนาจที่อยู่ในบุคคลเพียงบางกลุ่มก็เปลี่ยนมือสู่อีกกลุ่มหนึ่งโดยการใช้อำนาจ ผู้ที่มีอำนาจขึ้นมาบ้างก็อยากจะได้อำนาจทั้งหมดมาไว้ในครอบครองแต่เพียงผู้เดียวและอยากครอบครองตลอดไป กลุ่มบุคคลที่เรียกร้องเอาประชาธิปไตยคืนมาสู่ประชาชนโดยทั่วไป แต่เมื่อได้มาซึ่งประชาธิปไตยแล้ว กลุ่มบุคคลอยากจะได้อำนาจทั้งหมดมาไว้ในการครอบครองก็นำไปสู่รัฐประหารโดยกำลัง แนวคิด ความเชื่อ และวัฒนธรรมประเพณี และภูมิปัญญาของคนในชนบท ที่ปลูกฝังอย่างหนักแน่นให้ยึดถือวิถีชีวิตตามแบบบรรพบุรุษ ทำให้วัฒนธรรมและความเจริญจากสังคมอื่นเข้ามามีบทบาทน้อย และไม่สามารถเปลี่ยน แปลงการดำเนินชีวิตได้มากนัก อิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อเดิม ทำให้ไม่ยอมรับความเจริญที่ฟุ่มเฟือย และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาวิทยาการหรือเทคโนโลยี การไม่ยอมรับนี้เองกลับเป็นจุดที่คนจากสังคมเมืองมองว่าเป็นความแตกต่างความแบ่งแยก และมองว่าล้าหลัง

ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เป็นนวนิยายที่สร้างความต่อเนื่องจากหน้าหนึ่งของการเมืองในยุคหนึ่งไปอีกยุคหนึ่งได้อย่างกลมกลืน เป็นนวนิยายที่ควรค่าแก่การอ่าน ทั้งในด้านบันเทิง และด้านการสืบค้นข้อมูลของประวัติศาสตร์ทางการเมือง ทำให้แม้แต่คนที่เกลียดประวัติศาสตร์ ชนิดเข้าไส้ ยังสามารถอ่านได้อย่างเพลิดเพลิน...


หนังสือรวมเรื่องสั้นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน เป็นผลงานเขียนอีกเล่มของ “วินทร์ เลียววาริณ” และได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ปี พ.ศ. 2543 และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในหนังสือดี 100 เล่มที่เด็กและเยาวชนควรอ่านจาก สกว. เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่สะท้อนสัญชาตญาณของความเป็นคนออกมาได้ดี ทั้งในแง่ของความต้องการทางกายภาพ ความรู้สึกนึกคิด และอารมณ์พื้นฐานของคน ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของคนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการถูกหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อม เช่น ประเพณี ความเชื่อทางศาสนา

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน เป็นการผสมผสานบทความ 17 บท และเรื่องสั้น 17 เรื่อง ได้แก่ ชู้, คำให้การ, โลกสามใบของราษฎร์, เอกเทศ, ลั่นทมโรยกลีบ, กระถางชะนียงริมหน้าต่าง,เรื่องของผมกับพ่อ, ยี่สิบปีหลัง, กามสุขัลลิกานุโยค, ละครจริงในห้องขาวดำ,วรรณกรรม 48 ชั่วโมง,ตุ๊กตา, คำสารภาพของช้างเท้าหลัง, ผ้าผืนเก่ากับปลาทูหนึ่งเข่ง, เช็งเม้ง, หมากลางถนนเพชฌฆาต และเรื่องของพระ เด็ก เสือ ไก่ มอด โดยผู้เขียนใช้บทความอธิบายความคิด ประเด็นทางปรัชญา ปละเป็นตัวนำเรื่องสั้นแต่ละเรื่องให้ผู้อ่านไปถึงจุดหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ บทความและเรื่องสั้นจึงมีความสัมพันธ์กันเป็นคู่ รวมทั้งรูปแบบงานเขียนอีกหลากหลายในลักษณะของเรื่องสั้นแนวทดลองที่ไม่ซ้ำแบบใคร ถือเป็นกลวิธีการสร้างสรรค์เรื่องสั้นที่น่าสนใจ จุดเด่นของเรื่องสั้นชุดนี้จึงอยู่ที่ลักษณะริเริ่มสร้างสรรค์ของทั้งเนื้อหาและกลวิธีนำเสนอที่ไม่ยึดติดขนบอันเป็นที่คุ้นเคย แต่ยังคิดศิลปะของความเป็นเรื่องสั้นที่สามารถสื่อเรื่องราวและความคิดที่ซับซ้อนลึกซึ้งให้อรรถรสที่สร้างอารมณ์และความรู้สึกหลากหลาย กระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงปัญหาและเข้าใจแง่มุมต่างๆ ของพฤติกรรมมนุษย์

แนวคิดในการมองโลกของผู้เขียนเรื่องสั้นชุดนี้มองโลกในมุมกว้างในระดับจักรวาล ดังนั้นจึงเห็นความสัมพันธ์ของคนกับสิ่งอื่นว่าล้วนมาจากรากเหง้า กล่าวคือ ความสัมพันธ์ของคนกับสิ่งเร้าภายในคนกับสิ่งเร้าภายนอก คนกับกฎเกณฑ์ของคน คนกับคน คนกับสัตว์ และคนกับจักรวาล แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนนี้ไม่มีอิสระอย่างแท้จริง พฤติกรรม อารมณ์ ความรู้สึกของคนล้วนตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่มาจากสิ่งเร้าภายใน เช่น ความต้องการทางเพศ ความกลัว หรือสัญชาตญาณการเอาตัวรอด นอกจากนี้ยังมีกฎเกณฑ์ใหม่ที่คนกำหนดขึ้นเมื่อมีความจำเป็นต้องรวมกลุ่มกันเป็นสังคม จากบรรทัดฐานทางสังคม ระบบศาสนา เป็นต้น กฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นภายหลังนี้ก็เพื่อจำกัดและควบคุมความรู้สึกภายในของคน ทำให้คนไม่สามารถเปิดเผยความต้องการหรือความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่ากฎเกณฑ์ที่คนสร้างขึ้นมานี้ดีจริงหรือไม่ หรือมันช่วยให้สังคมไม่วุ่นวายได้มากน้อยแค่ไหน และเราแน่ใจได้อย่างไรว่าสามารถควบคุมพฤติกรรมความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของคนได้

เรื่องสั้นหลายเรื่องในสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน จึงสะท้อนให้เห็นศักยภาพความขัดแย้งของแรงขับเคลื่อนภายในกับกฎเกณฑ์สังคมหรือกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม ผิดหรือไม่ที่บางครั้งเราอยากทำอะไรตามใจปรารถนา แม้ว่าต้องขัดกับกรอบระเบียบหรือความคิดของคนในสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความต้องการทางเพศซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สัตว์ทุกชนิดดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ได้ ดังที่ วินทร์ เลียววาริณ ได้นำเสนอไว้

ส่วนเรื่อง “ชู้” เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความต้องการทางเพศของชายหญิงที่ไม่มีสิ้นสุด แม้ว่าตัวละครฝ่ายหญิงจะแต่งงานแล้ว แต่สามีของเธอก็ชราเกินกว่าจะตอบสนองความปรารถนาทางเพศของเธอได้ ช่วงแรกของเรื่องผู้เขียนหลอกผู้อ่านให้เชื่อว่าตัวละครชายกับหญิงในเรื่องลักลอบเป็นชู้กัน แต่ในตอนท้ายเรื่องก็หักมุมเป็นว่าสามีของตัวละครหญิงเองที่เป็นคนจ้างให้ตัวละครชายคนนี้มาให้บริการทางเพศแก่ภรรยาของตน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะถือว่าการกระทำของตัวละคร “ผม” ในเรื่องนี้ทำผิดศีลธรรมหรือไม่ในเมื่อสามีของฝ่ายหญิงเป็นผู้ยินยอมให้ภรรยาของตนมานอนกับชายอื่น ชายหญิงคู่นี้ควรถูกสังคมประณามหรือไม่ว่าเป็นชู้กัน แต่สุดท้ายเมื่อหน้าที่จบลงผู้เขียนก็ทำให้คนอ่านคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่นี้จะจบลงหรือไม่ ถ้าดูจากวรรคสุดท้ายที่เขียนว่า “เรื่องส่วนตัว” แล้วก็ชวนให้ผู้อ่านคิดว่า ต่อไปทั้งสองอาจมีความสัมพันธ์จนกลายเป็นชู้กันไปจริงๆ หากตัวละครทั้งสองไม่สามารถหักห้ามความรู้สึกปรารถนาที่มีต่อกันได้

เรื่องสั้นเรื่องอื่นๆ ก็พูดถึงแรงขับทางเพศเช่นกัน เรื่อง “ละครจริงในห้องขาวดำ” พฤติกรรมของตัวละครที่เข้ามาโลดแล่นอยู่ในห้องขาวดำนี้ สามารถพบได้ทั่วไปตามท้องถนน อาจเป็นคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก หรืออาจเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับเราก็เป็นได้ เรื่อง “ลั่นทมโรยกลีบ” เป็นแรงขับทางเพศที่เกิดจากสิ่งเร้าภายนอก การมอมเมาสังคมด้วยอบายมุข สื่อลามกอนาจารทำให้คนเราขาดศีลธรรม ปัญหาสังคมต่างๆ จึงตามมา พ่อข่มขืนลูกในไส้ต่อเนื่องเป็นแรมปี อากับลุงรุมข่มขืนหลาน ฯลฯ เหล่านี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วในสังคมพุทธศาสนา ดังปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวันโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย พฤติกรรมของคนย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ภายนอกของคนอาจฉาบไว้ด้วยความสุภาพเรียบร้อย การแต่งกายที่ดูดี แต่ใครจะรู้ว่ายามคนซ่อนตัวอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็น เขาอาจทำในสิ่งที่เราคาดไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เรื่องเพศ เป็นต้น

เรื่องสั้นอีกหลายเรื่องผู้เขียนได้เสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับความเป็นตัวตนซึ่งมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป อันเป็นผลจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกตามสภาวะธรรมชาติและนายพลก็ต้องการอำนาจ สิ่งแวดล้อมทางสังคมไว้อย่างน่าขบคิด “เรื่องของพระ เด็ก เสือ ไก่ มอด” สะท้อนให้เห็นคนที่ปรารถนาอำนาจไว้กดขี่นักการเมือง นักการเมืองก็ต้องการมีอำนาจเหนือประชาชน มีเงินก็มีอำนาจ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ของสังคมและจักรวาลดอกหรือ เรื่อง “ผ้าผืนเก่ากับปลาทูหนึ่งเข่ง” เขาเป็นทหารผ่านศึกสมรภูมิอินโดจีน เลือดรักชาติมีเต็มเปี่ยมและไม่ยอมขายชาติ วันนั้นเขาได้ประดับเหรียญกล้าหาญ วันนี้เขาเดินยักแย่ยักยันขายผ้าชผืนแห่งความทรงจำเพื่อแลกกับปลาทูหนึ่งเข่ง เพราะไม่มีข้าวตกถึงท้องมาหลายมื้อ

“ปัญหาต่างๆ ของคนกับสังคม อาจมิได้เกิดจากสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว หากเกิดจากความเป็นคนเช่นนี้เอง อันเป็นผลสืบเนื่องจากกำเนิดของโลกเมื่อ 4,600 ล้านปีมาแล้ว จนกลายเป็น “ตัวตน” แบบนี้ ยีน ระดับสารเคมีในร่างกาย ความเป็นหยิน-หยาง ส่งผลเป็นสิ่งเร้าภายใน และก่อให้เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อสิ่งรอบข้างต่อมา”


เรียนรู้/สร้างสรรค์/ชีวิต/วรรณกรรม/รับใช้/กระจก/สังคม/สัจธรรม/เปิดอ่าน/ต่อเนื่อง/ค้นหา/ประโยชน์/เยาวชน/อนาคต/ประเทศชาติ/แข่งขัน/สากล/…

สวณัฐ ตรีสาทร
โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี 76120 โทร. 0-3247-0296-22
วัน/เดือน/ปีเกิด 18 มิถุนายน พ.ศ. 2530
ชื่ออาจารย์ นายพรไพรสน คนมี อาจารย์ 1 ระดับ 5 หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย