![]() |
น.ส. สายวสันต์ อิ่นคำชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ อ. สันทราย จ. เชียงใหม่ | ||||||||||||
เรื่อง ชวนเพื่อนอ่านแล้วคิด ชีวิตก็จะเปลี่ยนเอดส์ ไดอารี่ วินาทีชีวิต เป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าให้อ่านหนังสือเล่มอื่นๆ อีกต่อไป อาจเป็นเพราะเอดส์ ไดอารี่ วินาทีชีวิต เป็นเหมือนสมุดบันทึกมากกว่าที่จะเป็นหนังสือเหมือนที่เรารู้จักกัน เนื้อหาเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันของผู้หญิงคนหนึ่งที่เพียบพร้อมไปทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น ในด้านการเรียนเธอเรียนจบปริญญาโท ยังไม่ได้รับปริญญาเธอก็ได้งานทำ เธอต้องใช้เวลานานหลายปี กว่าเธอจะมาถึง ณ จุดนี้ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอทั้งชีวิตได้เมื่อผลตรวจเลือดของเธอมีเชื้อ HIV ซึ่งโรคนี้ไม่มีทางรักษา ถ้าหากถามข้าพเจ้าว่าหนังสือเล่มนี้สนุกอย่างไร? คงตอบได้ยาก แต่ถ้าถามข้าพเจ้าว่าหนังสือเล่มนี้มีเสน่ห์ตรงไหน ข้าพเจ้าตอบได้เลยว่า อย่างแรกคือหน้าปกของหนังสือสวยแบบเรียบง่าย ไม่ตกแต่งอะไรมาก ดูแล้วสบายตา ถึงแม้ว่าเล่มจะดูใหญ่ แต่ก็ไม่ได้อัดเนื้อหาจนแน่น หนังสือเล่มนี้ยังแทรกภาพลายเส้นดูแล้วสวยงามยิ่งขึ้นส่วนราคาก็ไม่แพงมากนัก ที่สำคัญที่สุดคือ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ จะว่าเป็นหนังสือก็ไม่เชิงเสียทีเดียว แต่มันเป็นไดอารี่หรือสมุดบันทึกที่บันทึกเรื่องราวของหญิงสาวที่ติดเชื้อ HIV แล้วถ้าเราลองจินตนาการตามมันไป ก็จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ที่สามารถมองเห็นชีวิตประจำวันของหญิงสาวผู้ติดเชื้อ HIV คนหนึ่งได้ ภาษาที่ใช้ในการเขียนก็ง่ายๆ เป็นภาษาพูด ซึ่งเหมือนการเล่าให้ฟัง อ่านเข้าใจง่าย บางทีก็รู้สึกสงสารผู้หญิงคนนี้ จากข้อความที่ว่า ขับรถกลับบ้านแบบเบลอๆ ร้องไห้ไปตลอดทางทำไมเรื่องบ้าๆ นี้ต้องมาเกิดกับเรา ภูมิคุ้มกันเหลือน้อยนิดเดียว ขับรถเลยบ้านไปไกล ขับไปร้องไห้จนพอใจแล้วค่อยเข้าบ้าน ก่อนเข้าบ้านก็ทำตัวปกติไม่ให้ใครผิดสังเกต เราให้ใครรู้ไม่ได้ แล้วเราก็ไม่รู้จะบอกทางบ้านได้อย่างไรว่าเราเป็น AIDS (หน้า 54 : ย่อหน้าที่ 2) ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเราเองจะทำตัวอย่างไร? เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ประกอบกับเข้าร่วมกับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรค AIDS มีอยู่ข้อความหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ เป็นข้อความที่ข้าพเจ้าชอบและเห็นด้วยมากที่สุดคือ คนเป็น AIDS ต่างหากที่ต้องกลัวคนปกติ กลัวติดเชื้อจากเขา คนเป็น AIDS เพราะผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำต้องระวังให้มาก ในเรื่องครอบครัว เมื่อแก้วเป็น AIDS เธอยังคงมีครอบครัวที่อบอุ่นคอยดูแล ไม่ตอกย้ำเธอ ทำให้เธอไม่มีคำว่า อยากตาย ในความคิดของเธอ ทั้งๆ ที่ AIDS เป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ครอบครัวเธอยังรักเธอเหมือนเดิม ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าคนในครอบครัวเราคนใดคนหนึ่งทำผิดพลาดเราไม่ควรไปตอกย้ำเขา ควรจะให้กำลังในเรื่อง แก้ว ทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ พวกเขาก็ยังให้อภัยแก่กัน แก้วก็ไม่ต้องไปก่อปัญหาสังคม และความสุขเล็กๆ น้อยๆ นั้น เราอาจเริ่มได้ที่บ้าน ในเรื่องของสังคม คนเป็น AIDS สังคมส่วนใหญ่จะตราหน้าว่าสำส่อนทางเพศทำให้คนเป็น AIDS ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ถ้าสังคมส่วนใหญ่ยอมรับคนเป็น AIDS ก็คงดี อาจเป็นเพราะพวกเขายังยึดติดกับความคิดเก่าๆ อยู่ แต่ก็มีบางส่วนที่ยอมรับและเข้าใจ อย่างเช่นคนในสวนลุมพินีที่แก้วติดต่อทางอินเทอร์เน็ตพวกเขามีน้ำใจ ทั้งที่เข้าใจกันว่าผู้คนในอินเทอร์เน็ตมีแต่ความหลอกลวง ซึ่งก็มีข่าวบ่อยๆ ว่ามีคนเล่นอินเทอร์เน็ตแล้วถูกล่อลวงต่างๆ นานา แต่แก้วก็ได้พิสูจน์ว่า ที่จริงเราหาความจริงใจได้ อาจจะสรุปได้ว่าสังคมไม่ได้มีที่ดีที่สุดหรือเลวที่สุดเสมอไป เปรียบได้กับดาบสองคม ในเรื่องศาสนา เมื่อแก้วติดเชื้อ HIV เธอก็ใช้ศาสนาเข้ามาช่วยเช่นกันเพื่อให้ร่างกายสงบเย็นได้ จากข้อความที่ว่า ที่บ้านเรานะ เขายังเชื่อว่าคนเราต้องตาย ซึ่งก็จริงนะ แต่จะหายไปเลย ที่บ้านเรานะเราเด็กสุดเราเข้าวัดไหว้พระสวดมนต์บ่อยที่สุดเลย ธรรมะเป็นยาวิเศษสุด เรารับรองได้ (หน้า 93 : ย่อหน้าที่ 3) ศาสนาไม่ได้ช่วยให้คนเป็น AIDS หาย แต่สอนให้คนเป็น AIDS รอความตายด้วยความสงบ มีอีกข้อความหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยคือ จงรอสิ่งที่เราหนีไม่พ้นด้วยความสงบ ทำให้ข้าพเจ้าได้คิดว่าคนเราก็ต้องตาย ดังนั้นเราอย่าไปกังวลหรือกลัวความตาย จะทำให้เราไม่สบายใจ แต่ถ้าเรารอความตายด้วยความสงบเราก็จะสบายใจ ข้อความหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ว่าไว้ว่า
เมื่อเรามาก็ไม่ได้เอาอะไรมาด้วยแล้วตอนตายก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรไปด้วยเช่นกันไม่ต้องไปยึดติดกับอะไร ไม่ต้องพกพาทั้งรูปธรรมและนามธรรมไปด้วย ในเรื่องของชีวิตข้าพเจ้าได้แง่คิดจากเรื่องนี้คือ คนเราเกิดมาแล้วควรทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว สังคม ต่อผู้อื่นและตนเอง เพราะทุกคนที่เกิดมาต่างก็เป็นคนสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันแล้วแต่ว่าเราจะตระหนักถึงคุณค่าของตัวเราเองมากแค่ไหน ก็เหมือนกับน้ำเน่าอาจระเหยกลายเป็นเม็ดฝนหล่อเลี้ยงผืนโลก ข้าพเจ้าคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มากต่อผู้อ่าน เด็กๆ ที่เริ่มจะเขียนหนังสือก็ควรเริ่มเขียนจากเรื่องที่ใก้ลตัวก่อนเช่นประวัติส่วนตัว โตขึ้นมาอาจได้เขียนเป็นไดอารี่ จะได้ฝึกทักษะในการเขียน อาจเอาตัวอย่างในเรื่องนี้ ให้พวกเขาดูก่อนก็ได้ ผู้ที่อ่านจะเป็น AIDS หรือไม่เป็น AIDS ก็อ่านได้ ผู้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วข้าพเจ้าหวังว่าจะได้รับแง่คิด ประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ เหมือนข้าพเจ้า เขาชื่อกานต์ เป็นนวนิยายของ สุวรรณี สุคนธา ซึ่งเรื่องที่เธอได้แต่งขึ้นก็ถูกนำมาสร้างเป็นละครหลายเรื่อง เช่น คนเริงเมือง ทะเลฤาอิ่ม มายา ฯลฯ เขาชื่อกานต์ ก็เช่นกัน เรื่องนี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาหลายครั้ง ตัวละครในเรื่องนี้ สุวรรณี สุคนธา สร้างให้มีชีวิตมีเลือดเนื้ออยู่จริง คล้ายกับมนุษย์ ไม่ได้เป็นเหมือนพระเอกในละครตามโทรทัศน์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของ สุวรรณี สุคนธา ตัวละครในเรื่องนี้ก็เช่นกันล้วนแต่อยู่บนพื้นฐานของมนุษย์ คือ มีรักโลภโกรธหลง ผู้แต่งไม่ได้โอนเอียงตัวละครใดๆ ทั้งสิ้น แต่ให้ความยุติธรรมแก่ตัวละครทุกตัวเท่าเทียมกัน เพราะถือว่าตัวละครทุกตัวมีชีวิตจิตใจ เหตุการณ์ในเรื่องนี้สะท้อนถึงสภาพสังคมไทยในปัจจุบันได้ดี แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกแต่งขึ้นนานแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เหตุการณ์ในเรื่องนี้ก็ยังเข้ากับสังคมไทยได้ เพราะมนุษย์ยังมีพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เขาชื่อกานต์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่ขัดแย้งกับอุดมคติที่เกิดขึ้นในชนบทแห่งหนึ่งของสังคมไทย ผู้แต่งได้เล่าถึงสภาพสังคมไทยในชนบทที่กันดารและการดูแลของรัฐบาลไปไม่ทั่วถึง เรื่องราวในชนบทเล็กๆ นี้ได้สะท้อนถึงสภาพสังคมไทยทั่วไปได้ดี ไม่ใช่แค่ชนบทเล็กๆ อาจเป็นทั้งประเทศก็ว่าได้คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด จะเห็นได้จากข้อความหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ ว่า มาแจ้งเกิดเอาจนเวลาล่วงนานโขและจะงุนงงเมื่อโดนค่าปรับยิ่งไกลอำเภอออกไปเท่าไร ความรอบรู้ในเรื่องเหล่านี้ก็น้อยลงไปเท่านั้น เขาไม่รู้เหตุผลว่าทำไม่ต้องแจ้งเกิด แจ้งตาย ต้องมีทะเบียนวัวทะเบียนควาย ทำไมต้องเสียค่าที่ดินในครอบครอง ทำไมต้องส่งลูกเรียนหนังสือ เข้าโรงเรียนแทนที่จะได้ใช้แรงงานไปทำนาให้มากขึ้น ชาวบ้านสรุปเหตุผลว่าเพราะเป็นคนของเจ้าฟ้าแผ่นดินท่าน คนพวกนี้หัวอ่อนอย่างประหลาด เชื่อง่าย และว่านอนสอนง่าย (หน้า 248-249) ที่เป็นเช่นนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า เหตุผลหลัก คือพวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ เพราะพวกเขาไม่นิยมให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ เป็นความคิดที่สืบทอดกันมาจากปู่ย่าตายาย ถ้าใครมีความคิดที่จะส่งลูกเรียนหนังสือคงจะดูแปลกมากสำหรับชาวบ้าน พวกเขายังยึดติดกับความคิดเก่าๆ อยู่ก็เลยถูกคนที่ฉลาดว่าหลอกได้ง่ายๆ บูชาข้าราชการ ยอมให้ข่มเหงได้ง่ายๆ ถือว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าพวกข้าราชการเหล่านี้ มีข้อความหนึ่งของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า มนุษย์ต้องการวิธีคิดใหม่เพื่อความอยู่รอดในอนาคต ชาวบ้านก็เช่นกัน ควรได้รับวิธีคิดใหม่เพื่อความอยู่รอดของพวกเขา หมอกานต์ เข้ามาอยู่ในอำเภอแห่งนี้พร้อมกับคนรักของเขา เขาจะขูดรีดชาวบ้านเช่นเดียวกับที่ข้าราชการคนอื่นๆ ทำก็ได้ แต่ด้วยอุดมคติและจิตใต้สำนึกของผู้ที่เป็นหมอ ที่จะต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผู้เขียนได้เขียนถึงอุดมคติที่ไม่ใช่เป้าหมายชีวิตของหมอกานต์เพราะมันกำลังบั่นทอนความรักของเขา อุดมคติของหมอกานต์ตรงข้ามกับความต้องการของหฤทัยคนรักของเขา เพราะมันไม่ได้ทำให้ฐานะทางครอบครัวของหมอกานต์ดีขึ้นเพียงแต่มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ที่ยากจน แต่มันก็ขัดแย้งกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่ต่างต้องการความอยู่รอด เห็นได้จากข้อความหนึ่งกล่าวไว้ว่า ทำดีไปเถิด เขาพูด แล้วหมอจะเห็นว่าเหนื่อยเปล่า สมัยนี้คนเขาเลิกทำความดีกันแล้วละหมอ หาเงินเข้ากระเป๋าดีกว่า (หน้า 200 : 8-10) ตัวอย่างเช่น นายอำเภอของอำเภอแห่งนี้ยังต้องทำผิดกฎหมายเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว จะโทษว่าเขาผิดเสมอไปก็ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ทำแล้วครอบครัวของเขาจะอยู่กันอย่างไร บางทีข้าพเจ้าคิดว่าเราไม่สามารถตัดสินว่าคนนั้นคนนี้ถูกหรือผิดได้ ปัจจุบันยังไม่ได้มีเครื่องมือไหนที่สามารถตัดสินมนุษย์ว่าคนนี้เป็นคนดี คนนี้คนเลว (นอกจากยมทูตน่าจะทำได้ ใครทำดีก็ได้ขึ้นสวรรค์ คนทำชั่วก็ต้องตกนรก) พื้นฐานของมนุษย์แต่ละคนมีทั้งดีและเลวในจิตใจ แล้วแต่ว่าใครจะดีหรือเลวมากกว่ากัน ผู้เขียนมีเจตนาให้รู้ว่ามนุษย์ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว มนุษย์อยู่ด้วยกันหลายด้าน แล้วแต่ว่าใครจะมองเจอมุมไหน เขาชื่อกานต์ ผู้เขียนได้สะท้อนถึงสภาพปัญหาสังคมไทยในชนบทได้ดี ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นจริงในสภาพสังคมไทยทั่วไป ข้าพเจ้าอยากให้เพื่อนๆ อ่าน เมื่อข้าพเจ้าอ่านแล้วข้าพเจ้าได้ข้อคิดที่ดีว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนก็ล้วนแต่มีความรัก โลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อยเท่านั้นเอง ถ้าใครได้ลองเปิดอ่านแล้วจะรู้ว่าตัวเองควรทำตัวอย่างไรในสังคมเช่นนี้ เลือกที่จะเป็นต้นไทรหรือต้นไผ่ เพราะผู้อ่านสามารถตัดสินใจเองได้ว่าตัวละครในเรื่องนี้ผู้ใดกระทำผิด แล้วการเสียสละของหมอกานต์มีค่ามากแค่ไหน หนังสือทุกเล่มล้วนแต่มีความสนุกสนาน มีจุดเด่นของแต่ละเรื่องแต่ละเล่ม แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับชีวิตของมนุษย์ บางครั้งก็มีทั้งความสุข ความเศร้า มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยในตัวของมนุษย์เอง บางทีเราก็ต้องให้คนอื่นเป็นกระจกส่องตัวเราเองเพื่อที่เราจะได้เห็นจุดเด่นและจุดด้อยของตัวเราเอง เรื่องราวของหมอกานต์เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ น่าค้นหา การจบของทุกตอนจะทิ้งท้ายทำให้เราต้องค้นหาในบทต่อไปเรื่อยๆ การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างสนุกสนานตื่นเต้น ใครที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็คงมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป ข้าพเจ้าคิดว่าความดีที่เขาได้ทำด้วยใจจริงโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน ถึงแม้ผลที่เขาได้รับกลับตรงกันข้ามกันด้วยซ้ำ บางทีคนที่กำลังทำผิดหรือเห็นแก่ตัวอยู่ พออ่านเรื่องนี้แล้วอาจจะเปลี่ยนความคิดไปเลยก็ได้ หนังสือเล่มนี้ได้ให้ข้อคิดมากมายกับผู้อ่านถ้าหากว่าเพื่อนๆ กำลังหาหนังสือสักเล่มไว้อ่านแก้เหงา หรือต้องการอ่านในยามว่างเป็นงานอดิเรก ข้าพเจ้าขอแนะนำหนังสือเรื่องเขาชื่อกานต์ ของ สุวรรณี สุคนธา ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะถูกแต่งขึ้นมาจากจินตนาการของผู้เขียนก็ตาม แต่ทุกตัวอักษรใช้ภาษาเขียนที่สวยงาม มีบางคำที่อ่านแล้วทำให้เราต้องทำความเข้าใจเอง แต่ผู้เขียนก็เขียนให้เราแปลได้ไม่ยาก เยาวชนไทยควรได้อ่านเรื่องนี้แล้วจะเห็นว่าชีวิตจริงไม่ได้ง่ายเหมือนกับตำราเรียน บางครั้งปริญญาก็ไม่ได้สำคัญกว่าประสบการณ์ชีวิตที่เราได้รับ เมื่อเติบโตขึ้นเป็นบุคลากรของสังคมจะเลือกที่จะทำตัวอย่างไรให้สังคม | |||||||||||||
สายวสันต์ อิ่นคำ เกิดวันที่ 4 กันยายน 2529 กำลังศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 3 โรงเรียนพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ 262 หมู่ 6 ถ. เชียงใหม่พร้าว ต. นองจ๊อม อ. สันทราย จ. เชียงใหม่ 50210 โทร. 0-5384-5130 ต่อ 26 (อาจารย์พุฒ) |