น.ส. สิรินทร์พร พันตรี

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ. ขอนแก่น

เส้นทางสายหนังสือ

ไม่เคยเชื่อว่าหนังสือจะเปลี่ยนคนคนหนึ่งได้ จนมารู้ตัวอีกมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว คงตอบไม่ได้ทั้งหมดว่าได้อะไรจากการอ่านหนังสือบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้คงเป็นเส้นทางสายหนึ่งที่เคยเชื่อมให้ได้เข้าใจถึงคำตอบนั้นและอยากเชิญชวนให้ผู้ที่ยังสงสัยได้เข้ามาสัมผัสความหมาย...เส้นทางสายหนังสือ

หนังสือเล่มแรกของเส้นทาง ค้นหา หนังสือธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง แต่คงเป็นพรหมลิขิตหรือความโชคดีที่ไปสะดุดกับตัวอักษรไม่กี่บรรทัดจากปกหลังเข้า ถ้าตอนนั้นวางเพียงเพราะหน้าปกไม่น่าสนใจ คงไม่พบความมหัศจรรย์ของหนังสือเล่มนี้ ค้นหา คือหนังสือที่สื่อสารกับผู้มาอ่านด้วยบทกวี คล้ายๆ ปรัชญาสั้นๆ แต่คิดได้กว้างและยาวเกินกว่ามาตรฐานการวัดใดจะบอกค่าระยะทางได้ เป็นเหมือนเชื้อเพลิงเพื่อจุดประกายความคิด แต่ละหน้าจะมีอักษรที่ร้อยเรียงสื่อความคิดอยู่บนพื้นสีขาวของกระดาษที่ดูว่างเปล่า บทกวีกล่าวถึงเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ตัวเอง ครอบครัว ความรัก การตัดสินใจ ความดี ความชั่ว มนุษย์ เวลา ฯลฯ เนื้อหาที่หนักแน่นเพื่อยั่วความอยากของสมอง แต่ฉลาดในการจัดวางให้ดูเหมือนอาหารจานด่วน ด้วยตัวหนังสือที่ดูผิวเผินอาจเป็นแค่บทกวีธรรมดาๆ อ่านไม่เท่าไรก็จบ แต่ใครจะรู้ว่าในแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่จบนั้นได้เปิดโลกทัศน์ใบใหม่ของอีกคนขึ้นมาแล้ว

อิสรภาพ
ฉันต้องการอิสรภาพที่จะได้เห็น ที่จะได้ยิน
ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ฉันต้องการอิสรภาพที่จะได้พูด ในสิ่งที่ฉันคิด ฉันรู้สึก
ไม่ใช่ให้พูดในสิ่งที่ฉันควรพูด ที่ฉันควรคิด
ฉันต้องการอิสรภาพ ที่จะได้ชื่นชอบในบุคคลที่ฉันเป็นอยู่
ไม่ใช่ในบุคคลที่ฉันควรเป็น
ฉันต้องการอิสรภาพที่จะได้รู้สึก ในสิ่งที่ฉันรู้สึกจริง
ไม่ใช่ในสิ่งที่ฉันควรรู้สึก
ฉันต้องการอิสรภาพที่จะได้ถาม ในสิ่งที่ฉันอยากถาม
แทนการรอคอยคำอนุญาต
ฉันต้องการอิสรภาพที่จะได้เสี่ยงชีวิตที่ฉันเองเป็นผู้รับผิดชอบ
แทนการกักขังหน่วงเหนี่ยว ในกรอบที่สังคมเป็นผู้บอก
เพียงเพราะคิดว่ามันปลอดภัย
(ปกหลัง ค้นหา พิมพ์ครั้งที่ 12 สนพ. ดับเบิ้ลนายน์)

อิสรภาพ เป็นบทกวีที่ชอบที่สุดในหนังสือ เพราะเหตุผลตรงกับชีวิตที่รู้สึกอยู่ลึกๆ แต่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ บทกวีนี้ทำให้ได้คิดในมุมอีกมุมที่เคยมองข้าม และทำให้เกิดความมั่นใจในการที่จะทำสิ่งต่างๆ และสิ่งนี้ไม่เคยบอกไว้ในหนังสือเรียนเล่มใดเลยนอกจากประสบการณ์ที่มาจากชีวิตล้วนๆ จากที่เคยเจอแต่หนังสือเรียนที่สอนให้เชื่อฟัง ให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรโดยบางครั้งลืมที่จะใส่ใจความรู้สึกความเป็นคนลงไปเหมือนการตีกรอบจากสังคมที่ไม่เคยให้คำอธิบาย การเผชิญโลกที่ไม่เคยบอกไว้ในหนังสือเรียนเล่มใดนอกจากสิ่งแสนดีตามที่หนังสือเรียนแต่งไว้ อิสรภาพ แม้เป็นคำที่ดูห่างไกล แต่แท้จริงแล้วอาจอยู่ใกล้ตัวนิดเดียว ทำให้เกิดความคิดว่าบางทีสิ่งปัจจุบัน อาจเป็นกรงขังชนิดหนึ่ง แต่เป็นกรงขังทางความคิดที่สืบทอดต่อกันมา แต่บทกวีนี้ก็ทำให้ได้ความคิดใหม่และทำให้เห็นถึงความเป็นจริงของสังคมที่มีมากกว่าสิ่งที่ถูกสอนมา

ถ้าให้ตอบว่าอ่าน ค้นหา แล้วได้อะไร ขอตอบว่าได้ความคิด ได้มุมมองใหม่ ได้รู้ว่าโลกใบนี้มีอะไรมากมายที่ยังไม่รู้ ได้คิดเองว่าสิ่งที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ถูกหรือผิดอย่างที่เขาบอกกันไว้หรือเปล่า ถ้าอยากพบสิ่งใหม่ ลองเปิดใจสัมผัส สิ่งที่มองไม่เห็น เราอาจเป็นคนหนึ่งที่ได้รับรู้ ความหมายของหนังสือเล่มนี้ที่ได้รับ มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก และดีใจที่ได้หนังสือเล่มนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ภูมิใจเสนอที่สุดตั้งแต่อ่านหนังสือมา ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าเส้นทางก็คงมาถูกแล้ว


เรียงความ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เพื่อนรักให้ยืมอ่าน เธอบอกว่าหนังสือเล่มนี้คนเขียนเคยเขียนเรื่องสั้นในนิตยสาร A day คอลัมน์ที่เราชอบนักหนา ตอนนี้รวมเล่มแล้วจึงถือโอกาสเอามาให้ยืมอ่าน ฉันตอบรับไมตรีนี้โดยไม่ต้องคิดมาก

เมื่ออ่านจึงได้รู้ว่านี่คือหนังสือที่เขียนผ่านประสบการณ์ ภายในเล่มแบ่งเป็นเรื่องๆ แต่ละเรื่องผู้เขียนจะแสดงทรรศนะผ่านตัวหนังสือที่สะท้อนสังคม ชีวิตประจำวัน บางเรื่องพูดถึงความโหดร้ายของสงคราม บางเรื่องคล้ายกำลังนั่งฟังคนคนหนึ่งเล่าเรื่องในสิ่งที่เขาคิด บางเรื่องเชือดเฉือนและเสียดสีสังคม และทั้งหมดก็คือสิ่งที่เขาเห็นจากมุมมองของเขา สมกับชื่อหนังสือ เรียงความ

“ไดอารี่ไม่ใช่กล้องถ่ายรูปที่ถ่ายได้ทีละภาพ แต่คือกล้องถ่ายหนัง เรา (คนเขียนไดอารี่) ตัดต่อเอง โดยบรรจงบ้างหรือรวดเร็วอย่างคร่าวๆ บ้าง บางทีเด็กข้างถนนที่พบกันหนเดียวก็เข้ามาอยู่ในไดอารี่ บางหนอาจมีแต่เรื่องของตนเอง พร่ำพรรณนาราวว่าโลกนี้ไม่มีผู้อื่น ไดอารี่คืออิสรภาพเบื้องต้นของความเป็นคน ไม่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ใครก็มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ไดอารี่ของคนดังๆ จะมีราคามากเมื่อถูกนำมาตีพิมพ์ แต่ไดอารี่ของทุกคนมีค่าเท่ากันหมด เมื่อมันถูกบันทึกความจริงลงไป”

ข้อความหนึ่งจากหนังสือ เรียงความ ของญามิลา (คนเขียน) ไดอารี่ เป็นเรื่องที่ชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้ เพราะโดยส่วนตัวก็เขียนไดอารี่หรือบันทึกประจำวัน และคิดว่าตอนนี้เป็นตอนหนึ่งที่น่าสนใจ ใครที่เขียนไดอารี่น่าจะประทับใจมากเป็นพิเศษ นอกจากจะตอบคำถามที่บางคนอาจจะยังสงสัยว่าเขียนไดอารี่แล้วได้อะไร ถ้าได้ลองอ่านคงจะทำให้เข้าใจได้ยิ่งขึ้น เขาบอกว่า “ไดอารี่เป็นสมบัติส่วนตัว เพราะมันมีนาฬิกาที่เดินถอยหลังได้จากคนที่เป็นเจ้าของ ไดอารี่เป็นความเข้าใจส่วนตัวเพราะจะมีภาษาและรหัสที่รู้เฉพาะตน การยอมให้ใครสักคนอ่านไดอารี่เป็นการยอมเปิดเผยตัวจริงอย่างหมดเปลือก รู้จักกันมาแค่สองเดือนก็เหมือนรู้จักกันมาสองปีหรือมากกว่า” เพียงเพราะข้อความของเขาที่สั้นๆ แต่จับใจ ทำให้การบรรยายความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่านแล้วยากเหลือเกิน ถ้าเป็นไปได้อยากจะยกทั้งหมดมาประกอบเรื่องเสียเหลือเกิน เพราะสิ่งที่ประทับใจอยู่ในทุกตัวอักษรแล้ว

เวลาเจอสิ่งดีๆ ในหนังสือ ทำให้ไม่รู้สึกเลยว่าอยากจะหวงไว้ ยิ่งเจอสิ่งที่ดีเท่าไร ยิ่งอยากให้คนอื่นได้รู้ด้วย อยากรู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไรบ้างหลังจากอ่านแล้ว เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้เติบโตทางความคิดและยังโดนใจทำให้รู้ว่าโลกใบนี้ยังมีเรื่องมีอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้และพบเจอ และเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าอ่าน อุดมไปด้วยสาระ อ่านแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่คิดว่ารู้จักมันดีแล้ว แต่พออ่านแล้วกลับมาสำนึกตัวใหม่ว่าอันที่จริงแล้วกลับมองข้ามสิ่งต่างๆ ไปหลายเรื่อง เราอยู่ในโลกเพียงไม่กี่ปีแต่ทำไมจึงทระนงตัวเหลือเกินว่าโตแล้วรู้ทุกเรื่องแล้ว การได้สดับตรับฟังเยอะๆ ทำให้รู้สึกเตรียมตัวขึ้นเยอะว่าความรู้ช่างมากมายมหาศาล มีคนกล่าวว่าคนฉลาดมักจะเรียนรู้จากประสบการณ์ผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงพยายามที่จะเรียนรู้จากผู้อื่นเพื่อจะบูรณาการในแบบฉบับเสริมประสบการณ์ของตนเองบ้าง เห็นทีจะต้องไปซื้อมาเก็บไว้เป็นเจ้าของบ้างแล้วล่ะ

“ฉันยังไม่รู้จริงๆ ว่า ส่วนใดของชีวิตบ้างที่เป็นของจริงและส่วนใดบ้างที่ฉันได้จากหนังสือ”
(จากหนังสือ โอ้ ! อลิซ)

รู้สึกเสมอว่าตนเองเป็นดังเช่นคำพูดนั้น หนังสือเป็นทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตในรูปของนามธรรม เมื่อมีคนมาถามว่าทำไมถึงชอบอ่านหนังสือนัก ตอบไปเพียงสั้นๆ ทั้งๆ ที่ในใจคิดอยากจะบอกด้วยคำพูดสารพัน ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างสรรพคุณ แต่ก็ทำได้แค่นั้น และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็รู้ว่า มันค่อยๆ ซึมและค่อยๆ หล่อหลอมฝังอยู่ในตัว สิ่งที่ได้นี้จะแสดงออกในรูปของความคิดและการกระทำ สอนให้รู้จักคิดมากกว่าพูด บางเหตุการณ์เคยได้พบและประสบด้วยตนเอง บางเหตุการณ์พบเห็นจากสิ่งรอบตัว โทรทัศน์ วิทยุ หนัง ละคร ฯลฯ ได้รู้ว่าทำไมเขาจึงบอกกันว่าถ้าอยากฉลาดรอบรู้ให้อ่านหนังสือเยอะๆ เพราะนอกจากหนังสือจะเป็นตำราชีวิตแล้วยังสอนให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และมีเหตุผล เมื่อประสบกับปัญหามักจะมีหลายวิธี หลายตัวเลือกในการแก้ปัญหา เพราะสมองเคยได้ยิน ได้ฟังมาแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ไม่จนมุม และมีโอกาสกว่าคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือมากเพราะหนังสือทำให้รอบรู้ สามารถคุยได้หลายๆ เรื่อง กับคนหลายๆ แบบ ไม่รู้ว่าหนังสือใส่มนตราอะไรเอาไว้ เวลาใครได้อ่านจึงหลงใหลไปเสียทุกราย

เมื่อหนังสือถูกเปิด...เส้นทางสายนี้จึงเกิดขึ้น หนังสือสองเล่มนี้เป็นเพียงเส้นทางหนึ่งที่ได้ประสบและพบเจอ ในโลกแห่งหนังสือนั้นมีอีกหลายเส้นทางที่ยังเปิดต้อนรับ เพียงแค่เราจะก้าวไปหา ที่แห่งนี้มีผู้คนมาเยือนมากมาย บางคนพอใจอยู่กับมวลบทกวีดอกไม้ บางคนสร้างปราสาทเทพนิยายในฝัน แต่บางคนกำลังเดินดูชีวิตผู้อื่นผ่านตัวหนังสือ บางคนพอใจกับนิตยสารสีสันสวยงามและเป็นที่นิยม แต่บางคนกำลังไต่ฝันพร้อมตำราเล่มใหญ่ที่แบกไว้บนหลัง นักธุรกิจบางคนนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ที่มุมมุมหนึ่งในร้านกาแฟ บางคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง แต่ละคนมีความชอบและความสนใจแตกต่างกัน แต่โลกแห่งนี้ก็ไม่เคยใจแคบ ไม่ว่าผู้ผ่านมาเยือนจะเป็นคนแปลกหน้าหรือผ่านมาเป็นประจำ ทั้งที่มาจากเส้นทางสายหนังสือหรือเพียงเพราะหลงทางมา

ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่ทำได้ อยากเชิญชวนให้ได้เข้ามาลองสัมผัสกับโลกแห่งนี้ โลกที่อยู่ใกล้ตัวของเรา ฉันไม่มีความสามารถพอที่จะบอกได้ว่าได้รับสิ่งต่างๆ จากโลกหนังสือแห่งนี้มากมายแค่ไหน เพียงหวังให้คุณได้ลองใช้เส้นทางสายเล็กๆ ของหนังสือสองเล่มนี้ที่เป็นเพียงเชื้อเพลิงที่เริ่มก้าวแรกในการเดินทางมาสู่โลกหนังสือ บทกวีบทหนึ่งของ เสี้ยวจันทร์ แรมไพร ที่เขียนไว้ให้กับค่ายการอ่านและการเรียนรู้ที่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย คงพอจะบอกแทนสิ่งที่รู้สึกที่อยากบอกได้ดีมากกว่าถ้อยคำใด หวังว่าคุณคงพบโลกแห่งนี้ ด้วยความปรารถนาดีจากเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งของคุณ

บิน...มีคนบอกว่า
ตรงขอบฟ้านั้นสวย
ฉันจึงไป...

สุดถนนสายนั้น
เป็นบ้านของชายหนุ่มนักฝัน
ฉันจึงไป...

มีคนเอ่ยว่า
ข้ามฟากไปฝั่งโน้นเป็นกระท่อมของชายชรานักเล่านิทาน
ฉันจึงไป...

มีคนเฉลยว่า...
ลึกที่สุดของถ้ำคือความสว่าง ลึกที่สุดของทะเลคือความสวย
ฉันจึงไป...

ฉันตอบเธอไม่ได้ ทำไมไม่ยึดที่นี่เป็นที่พักพิงจริงจัง
บ้างครั้งฉันไม่ชอบความพร้อมสมบูรณ์ เท่าๆ กับฉันไม่ชอบชีวิต ที่ไม่มีหลักประกัน
ฉันจึงไป...

ฉันถามตัวเองเสมอว่า...ระหว่างการแสวงหา...ค้นพบอะไร
ฉันไม่พบในสิ่งที่อยากพบ... แต่ฉันเข้าใจในสิ่งที่ฉันพบ...
ขอบคุณทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

อย่าถามฉันได้ไหม
ทำไมฉันจึงไป...
อยากให้เธอถามนกถามฟ้ามากกว่า

ถ้านกยังมีปีก...
เวลานี้ไม่ใช่เวลาของกรงขัง
นกต้องบิน...บิน...บิน

( จากบทกวีของ เสี้ยวจันทร์ แรมไพร)

ชวนอ่านโดย
“ษิริญ”
9 เมษายน 2547
ประวัติผู้เขียน

ชื่อ สิรินทร์พร พันตรี
นามปากกา “ษิริญ”
อายุ 17 ปี
E-mail kattyjung@hotmail.com
ระดับการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนกศิลป์-ฝรั่งเศส
สถานศึกษา โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย
ความสนใจ หนังสือ, การท่องเที่ยว, อินเตอร์เน็ต, ศิลปะ และการเขียนหนังสือ
งานอดิเรก สะสมโปสการ์ด, ฟังเพลง, อ่านหนังสือ ฯลฯ
ความฝันใฝ่ เดินทางและเขียนหนังสือ
เหตุผลที่ส่งผลงาน อยากเขียนในสิ่งที่รู้สึกเสมอออกมาในรูปแบบของตัวหนังสือและสิ่งนี้เป็นถนนสายหนึ่งที่ เลือกที่จะเดินไป จึงอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ในการเขียนทดสอบสิ่งที่มีอยู่ในตัวเอง พบ โครงการนี้ที่บอร์ดหน้าหมวดวิชาภาษาไทยของโรงเรียน จึงสนใจและลองส่งผลงานมาดู ตอนแรกเลือกไว้เล่มที่กรรมการหรือคนตัดสินน่าจะชอบตามคำแนะนำของครูสุดท้ายตัดสิน ใจที่จะทำตามใจตัวเอง เพราะคนเรามักหนีตัวเองไม่พ้น ไม่เสียใจที่เลือกหนังสือสองเล่มนี้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะอย่างน้อยฉันก็ซื่อสัตย์กับใจตัวเอง
สิ่งที่อยากบอก บทความนี้นั่งใช้ความคิดอยู่นาน บางคำพูดแก้แล้วแก้อีก บางแนวความคิดถูกตัดทั้ง บางอย่าง ถูกเพิ่มเติม บางอย่างความคิดกับภาษาก็สวนทางกัน ทำให้คิดว่าการเขียนให้คนอื่นได้อ่านด้วย ช่างยากเหลือเกิน รู้สึกเจียมตัวขึ้นเยอะ แต่ก็มีความสุขเวลาได้เขียน และถ้าคนอ่านชอบคงจะดี ใจกว่าหลายเท่า(“,)
ขอบคุณ ห้องสมุดโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยและอาจารย์ทุกท่านที่ให้คำแนะนำดีๆ เสมอ

ข้อมูลหนังสือ

ชื่อหนังสือ ค้นหา
ผู้เขียน นวลศิริ เปาโรหิตย์
สำนักพิมพ์ ดับเบิ้ลนายน์
ครั้งที่พิมพ์ ครั้งที่ 12, กันยายน 2543
ราคา 95 บาท
ISBN 974-604-808-2

ชื่อหนังสือ เรียงความ
ผู้เขียน ญามิลา
สำนักพิมพ์ ไม้ไต่เขียน
ครั้งที่พิมพ์ รวมเล่มครั้งแรก สิงหาคม 2544
ประเภท เรื่องสั้น
ราคา 158 บาท
ISBN 974-322-373-8

หนังสืออ้างอิง

ชื่อหนังสือ โอ้! อลิซ
ผู้เขียน จากเรื่อง Go Ask Alice( Author:Anonymous )
ผู้แปล โรจนา นาเจริญ
สำนักพิมพ์ มติชน
ครั้งที่พิมพ์ ครั้งที่ 15, มีนาคม 2544
ราคา 135 บาท
ISBN 974-322-165-4

บทกวีโดย เสี้ยวจันทร์ แรมไพร
ที่มา เขียนให้ไว้ที่ค่ายการอ่านและการเรียนรู้โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย