Home

 
 


เที่ยวเมืองอุทัยธานี
ล่องแม่น้ำสะแกกรัง

เมื่อเอ่ยปากชักชวนใครต่อใครให้ไปเที่ยว จ. อุทัยธานี ถ้าเป็นนักนิยมธรรมชาติก็มักจะนึกถึงแต่ป่าใหญ่ห้วยขาแข้ง อันเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ถ้าเป็นนักชิมก็ไม่พลาดจะต้องเอ่ยถึง ปลาแรดทอดกระเทียม ส่วนนักแสวงบุญก็จะบอกว่าอย่าลืมไปกราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมญาณเถร) ที่วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) แม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้วก็ตาม

แผนที่  (คลิกดูภาพใหญ่)
หากเมืองอุทัยยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลากหลายให้ไปเที่ยวชมกัน ทั้งวิถีชีวิตที่เรียบง่ายริมแม่น้ำ สถาปัตยกรรมอันงดงามอายุนับร้อยปี
เช้าวันหยุดสบายๆ ตื่นเช้าๆ หน่อยแล้วขับรถไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๓๒ เส้นเดียวกับที่ไปจ. นครสวรรค์ แต่พอถึงแยกท่าน้ำอ้อยบริเวณหลักกม. ที่ ๒๐๖ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ อีกชั่วอึดใจก็จะเห็นเขาลูกโดดตั้งอยู่ก่อนเข้าเมือง ภูเขานี้คือ เขาสะแกกรัง หรือที่คนเก่าคนแก่เรียกว่า เขาแก้ว บนภูเขานี้เป็นที่ตั้งของ วัดสังกัสรัตนคีรี เป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองมาเนิ่นนานสร้างมาตั้งแต่ปี ๒๔๔๓ ภายในวิหารของวัดประดิษฐาน "พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์" พระคู่บ้านคู่เมือง โดยได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เดิมพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยองค์นี้อยู่ที่วัดขวิด แต่เมื่อปี ๒๔๗๒ เกิดไฟไหม้เมืองอุทัยธานี วัดขวิดถูกยุบรวมกับวัดทุ่งแก้ว จึงอัญเชิญมาประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้
ทั้งยังมีมณฑป ชื่อ "สิริมหามายากุฎาคาร" เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง สร้างขึ้นเพื่อสมมุติให้เป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้า เสด็จไปเทศนาโปรดพระมารดาบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จกลับลงมายังประตูเมืองกัสนคร อันเป็นที่มาของชื่อวัดนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีบานประตูแกะสลักรูปจตุโลกบาลฝีมือช่างพื้นบ้านร่วมสมัยงดงามน่าชม ด้านหน้ามีระฆังใบใหญ่อายุนับร้อยปี ที่ถือกันว่าเป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย
มณฑป "สิริมหามายากุฎาคาร" ที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองบนยอดเขาสะแกกรัง (คลิกดูภาพใหญ่)ภาพจิตรกรรมฝาผนังตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ ในพระอุโบสถวัดโบสถ์ (คลิกดูภาพใหญ่) วงเวียนปลาแรด หนึ่งในสามวงเวียนสัญลักษณ์เมืองอุทัย ที่เหลือได้แก่ วงเวียนช้างและวงเวียนงาช้าง (คลิกดูภาพใหญ่)
การขึ้นเขานี้ขึ้นได้สองทางคือ เดินขึ้นมาตามบันไดตรงเชิงเขา ซึ่งบางคนบอกว่ามี ๓๓๙ ขั้น ๔๖๐ ขั้น และ ๒๗๘ ขั้น แต่จะมีกี่ขั้นกันแน่ต้องลองไปนับดู บันไดนี่เองที่เมื่อถึงวันออกพรรษา (วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑) คนเกือบทั้งจังหวัดจะมาร่วมกันตักบาตรเทโว พระสงฆ์จะเดินรับบาตรตั้งแต่ยอดสูง ๑๔๑ ม. มาจนถึงพื้นล่าง คืนก่อนหน้านี้จะมีงานประจำปี แสดงปาฐกถาธรรม มีการจุดพลุ จุดตะไล ไฟพะเนียง การแสดงแสง-เสียง น่าไปชมอยู่เหมือนกัน
อีกทางหนึ่งสามารถนำรถยนต์ขึ้นมาได้ ระยะทางประมาณ ๒ กม. ชาวจักรยานเสือภูเขาเพื่อสุขภาพ จ. อุทัยธานีหลายคนก็ใช้ที่นี่เป็นที่ฝึกซ้อม แถมยังมีเส้นทางในเมืองให้ขี่เล่นอีกหลายเส้นทาง เมื่อถึงยอดก็มีรางวัลเป็นภาพทิวทัศน์ของเมืองริมแม่น้ำสะแกกรังทางฝั่งตะวันออก ส่วนทางฝั่งตะวันตก ในวันอากาศดีๆ จะมองเห็นได้ไกลถึงห้วยขาแข้งเลยทีเดียว
นอกจากนี้บนเขายังมีพลับพลาจัตรุมุข ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกแห่งราชวงศ์จักรี รวมถึงมีทางเดินเล็กๆ ให้ซอกซอนไปถึงหลักหมุดแผนที่โลกหมายเลข ๙๑ ที่มาตอกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๗
เที่ยวแค่นี้ก็จวนจะเที่ยงแล้ว ตรงเข้าไปในตัวตลาดเข้า ถ. ท่าช้าง ไปกินข้าวมันไก่โกตี๋ อร่อยระดับเชลล์ชวนชิม อิ่มแล้วค่อยวิ่งตรงไปจอดรถที่ลานหน้าตลาดตรงใกล้ ๆ ห้าแยกงาช้าง ขึ้นสะพานวัดโบสถ์ไปชมภาพเรือนแพริมแม่น้ำในมุมสูง บริเวณตัวอำเภอนี้ สมัยก่อนเรียกกันว่า บ้านสะแกกรัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เป็นชุมชนใหญ่ชาวบ้านสร้างเรือนแพอยู่ริมสองฟากฝั่งลำน้ำเหยียดยาวไปหลายคุ้งโค้ง มีเรือสินค้าขนข้าวและพืชผลทางการเกษตร รวมถึงซุงไม้ต่าง ๆ ผูกเป็นแพล่องไปขายยังกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ชาวแพเปลี่ยนอาชีพมาเลี้ยงปลาแรดในกระชังกลางลำแม่น้ำกันเกือบหมดแล้ว
 แม้ว่าในแม่น้ำหลายแห่งเรือนแพจะค่อยๆ หายไป แต่ในแม่น้ำสะแกกรังยังหลงเหลืออยู่อีกมาก (คลิกดูภาพใหญ่) วัดอุโบสถารามหรือวัดโบสถ์ มีบรรยากาศร่มรื่น  (คลิกดูภาพใหญ่)
บริเวณด้านข้างสะพานนี้เองจะมีเรือเอี้ยมจุ๊นลำใหญ่ดัดแปลงเป็นเรือล่องแม่น้ำสะแกกรัง จอดอยู่ที่ท่าลานสะแก ซึ่งในสมัยก่อนจะมีเกวียนนับร้อยเล่มขนข้าว ขนสินค้ามาลงเรือล่องไปขายยังบางกอก ลงเรือแล้วมองหาชูชีพไว้เพื่อความไม่ประมาท แต่เชื่อฝีมือคนขับได้ เพราะใจเย็นและไม่ดื่มเครื่องดองของเมาเลย
เรือจะค่อยๆ ล่องลงไปทางใต้ แม่น้ำสะแกกรังจะไหลลงไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ อ. มโนรมย์ จ. ชัยนาท สองฝั่งแม่น้ำบริเวณนี้จะมองเห็นกลุ่มเรือนแพแน่นขนัด มีกอเตยกอใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด เพราะนอกจากเลี้ยงปลาแรดในกระชังแล้ว เขายังตัดเตยขายกันอีกด้วย เรือล่องไปพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดโชยมาเป็นระยะๆ พร้อมๆ กับภาพวิถีชีวิตของชาวแพอันสงบร่มเย็น ถ้านึกสนุกหน่อยก็สังเกตว่าแพหลังไหนทรงอะไร มีทั้งทรงปั้นหยา ทรงจั่วแบบเรือนไทย กระทั่งคล้ายๆ กระท่อมยังมี บางโค้งน้ำจะเห็นชาวบ้านพายเรือมาเตรียมทอดแห หรือบ้างก็นั่งตกปลา เรือนแพจะมีมากจนไปหมดแถวสะพานพัฒนาภาคเหนือ ต่อจากนั้นจึงเป็นบรรยกาศของเรือกสวน ไร่นาริมน้ำ เป็นเสน่ห์ในความเรียบง่าย
ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเรือก็ล่องไปถึงท่าหน้าวัดท่าซุง เอาขนมปังมาหย่อนให้ปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาดุกตัวใหญ่ๆ นับร้อยนับพันขึ้นมาแย่งกันกินจนเหมือนน้ำเดือดพล่าน แค่นี้ก็ตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว
จากนั้นค่อยทวนน้ำกลับมาที่ตลาด ยังพอมีเวลาแวะไปเที่ยวชมงานจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างเขียนยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่วัดอุโบสถาราม ภายในพระอุโบสถอายุนับร้อยปีมีภาพจิตรกรรมเป็นรูปพุทธประวัติ ส่วนที่วิหารมีภาพจิตรกรรมทั้งภายนอกและภายใน ด้านหน้าวิหาร วาดภาพการถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า ส่วนภายในวาดภาพพระพุทธองค์เสด็จโปรดเทพยดาบนสวรรค์ งดงามน่าชมมาก
ล่องเรือ ไหว้พระ ชมงานจิตรกรรมเสร็จก็เย็นย่ำพอดี ก่อนกลับอย่าพลาดร้านฮั้ว ข้าวต้มปลาลวก มีทั้งปลาแรด ปลาช่อน อยู่ใกล้วงเวียนห้าแยกงาช้าง ร้านนี้ฝีมือชาวบ้านรับรองจะติดใจ
-ฮั้ว ปลาลวก โทร. ๐-๕๖๕๑-๒๕๖๗
-โกตี๋ ข้าวมันไก่ โทร. ๐-๕๖๕๒-๔๖๔๖
-เรือล่องแม่น้ำสะแกกรัง ติดต่อ ๐-๑๘๓๐-๐๖๕๓, ๐-๑๔๙๑-๕๒๑๒
ราคาแพ็กเกจทัวร์ เที่ยวอุทัยธานี ล่องเรือแม่น้ำสะแกกรัง พร้อมอาหารกลางวัน คนละ ๓๕๐ บาท
เรือขนาด ๕๐ ที่นั่ง ราคาเหมาลำ ลำละ ๓,๘๐๐ บาท ใช้เวลาประมาณ ๑.๓๐ ชั่วโมง
-มีเส้นทางขี่จักรยานเสือภูเขาสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้าน พักเรือนแพ สนใจติดต่อชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพ (คุณประสงค์ ศรีเมือง) โทร. ๐-๕๖๕๑-๑๙๑๑
Home