ภัทรวดี สุพรรณพันธุ์

How happy is the blameless vestal’s lot!
The world forgetting, by the world forgot.
Eternal sunshine of the spotless mind!
Each pray’r accepted, and each wish resign’d.
— Alexander Pope, “Eloisa to Abelard”

movie1

ใบปิดหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind (Michel Gondry, 2004) บอกอะไรได้มากมายถึงสิ่งที่เราเรียกกันว่า “ความรัก” ภาพนักแสดงนำคือ จิม แคร์รี และ เคต วินสเล็ต ในชุดเครื่องกันหนาวเต็มยศนอนเคียงคู่กันอยู่บนแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง ใกล้ ๆ กันนั้นคือรอยน้ำแข็งที่แตกร้าว จนน่ากลัวว่าถ้าเกิดน้ำแข็งแตกขึ้นมาตอนที่ทั้งคู่ยังอยู่บนนั้น อะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นคำถามเดียวกันกับที่โจเอล (แคร์รี) ถามเคลเมนไทน์ (วินสเล็ต) อยู่ตลอดเวลาเมื่อเธอชวนเขาไปเดินเล่นบนน้ำแข็งในยามค่ำคืน ซึ่งมันก็น่าคิดว่า ถ้าเดินเล่นบนแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็งกลางดึกมันอันตรายขนาดนั้น แล้วทำไมเราถึงยังทำมันอีกเล่า

หนังเปรียบการเดินบนน้ำแข็งว่าเป็นเสมือนกับการมีความรัก ดังที่เคลเมนไทน์หลงใหลกิจกรรมพิเศษยามดึกนี้เหลือเกิน เพราะมันช่างน่าตื่นเต้น หมิ่นเหม่ต่ออันตรายโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันก็ช่างโรแมนติกและงดงามอะไรเช่นนี้
โจเอลและเคลเมนไทน์คือตัวแทนของคนจากสองขั้ว คนหนึ่งขี้อาย เก็บตัว ไม่มีความมั่นใจพอที่จะแสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ ขณะที่อีกคนหนึ่งก็เหมือนเด็กที่พร้อมจะประกาศให้โลกรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตอนนี้ฉันคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร แต่ไม่ว่าทั้งคู่จะแตกต่างกันสักเพียงใด ความรักก็เป็นสิ่งที่ทั้งคู่แสวงหา เช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ และนี่คือหัวใจของหนังเรื่องนี้ หนังที่ว่าด้วยเรื่องของความรักในแง่ของ “ความสัมพันธ์” ไม่ใช่แค่ “โรมานซ์”

หนังถ่ายทอดสาระลึกซึ้งของความรักได้อย่างท้าทายและน่าสนใจด้วยการผสมผสานแนวทางของหนังไซ-ไฟ (science fiction) เข้ากับเลิฟสตอรี โดยการดำเนินเรื่องแบบเล่าย้อนกลับที่ค่อย ๆ คลี่คลายเหตุการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนออกมา ซึ่งเป็นกลวิธีเดียวกับที่ Memento (Christopher Nolan, 2000) เคยใช้ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมมาแล้ว ความทรงจำคือองค์ประกอบหลักของหนังทั้งสองเรื่อง ขณะที่ Memento นำเราเข้าสู่โลกของความรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยกเมื่อตัวละครไม่สามารถที่จะจดจำเหตุการณ์ใหม่ ๆ ได้ Eternal Sunshine ก็แสดงให้เราเห็นว่าถ้าปราศจากความทรงจำ ชีวิตก็ไร้ซึ่งความหมาย เพราะสิ่งเดียวที่จะยืนยันถึงตัวตนและการดำรงอยู่ของเราได้นั้น ก็คือความทรงจำที่เราสร้างขึ้นและสั่งสมมาตลอดตั้งแต่เริ่มจำความได้นั่นเอง

โจเอลและเคลเมนไทน์ทำในสิ่งที่พวกเขาจะต้องเสียใจภายหลัง นั่นคือการลบความทรงจำเกี่ยวกับอีกฝ่ายออกไปเมื่อพวกเขาแยกทางกัน หนังเปิดเรื่องเมื่อโจเอลตื่นขึ้นมาในเช้าวันวาเลนไทน์ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ที่ทำให้เขาตัดสินใจลางานและจับรถไฟไปยังเมืองชายทะเลทางตอนเหนือของโรดไอแลนด์ที่ชื่อว่ามอนท็อก ที่นั่นเขาได้พบและรู้จักกับสาวสวยผมสีฟ้าช่างพูดชื่อเคลเมนไทน์ (เคล็ม) ทั้งคู่ต่างรู้สึกดึงดูดเข้าหากัน หลังจากที่มีเดตกันบนแม่น้ำชาร์ลส์ที่กำลังเป็นน้ำแข็ง อนาคตของทั้งคู่ก็ดูสดใส และหนังก็ดูเหมือนจะเริ่มเล่าเรื่องของหนุ่มสาวที่กำลังพบรัก จนกระทั่งมีหนุ่มแปลกหน้ามาเคาะกระจกรถขณะที่โจเอลรอเคล็มอยู่หน้าแฟลต และถามว่าเขามาทำอะไรที่นี่

จากจุดนี้หนังพาเราย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อนวันวาเลนไทน์ อันเป็นเวลาที่โจเอลเพิ่งรู้ว่าเคล็มซึ่งเป็นคู่รักที่เพิ่งเลิกรากับเขานั้น ได้ไปให้บริษัทชื่อลากูน่าลบความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาออกไปจากสมองเธอให้หมด ด้วยความเสียใจผสมแค้น โจเอลตัดสินใจทำอย่างเดียวกัน แต่ในระหว่างกระบวนการลบความทรงจำนั้นเอง จิตใต้สำนึกของเขาก็เกิดความต้องการที่จะเก็บความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับเคล็มเอาไว้ หนังครึ่งเรื่องหลังจึงเป็นความพยายามของโจเอลที่จะรักษาความทรงจำที่ดีนี้ไว้ โดยการพาเคล็ม (หรือความทรงจำเกี่ยวกับเคล็ม) หนีไปหลบซ่อนในสมองส่วนอื่นที่ไม่เคยมีเคล็มอยู่ในนั้น เช่น ในความทรงจำวัยเด็กหรือความอับอายขายหน้าในอดีตที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ แต่ในที่สุดพวกเขาก็หนีไปไม่พ้น ภาพสุดท้ายของความทรงจำที่ถูกลบทิ้งคือภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งแรกที่มอนท็อก

movie4

หนังพาเรากลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน เมื่อทั้งคู่ต่างก็ได้รับเอกสารลับที่เปิดโปงกระบวนการลบความจำทั้งหมด ทำให้พวกเขารู้ถึงความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ พังทลายลงตลอดเวลา ๒ ปีที่อยู่ด้วยกัน หนังจบลงตรงที่ทั้งคู่ต้องการที่จะกลับมาคบกันใหม่ แม้รู้ว่าความสัมพันธ์อาจจะจบลงเหมือนเดิม

Eternal Sunshine เผยโฉมความรักและความสัมพันธ์ระหว่างคนรักได้อย่างซื่อสัตย์และถึงแก่น มีหนังฮอลลีวูดไม่กี่เรื่องที่กล้าตีแผ่ภาพที่แท้จริงของความรักออกมาบนจอภาพยนตร์เช่นนี้ โดยไม่พยายามสร้างภาพคู่รักจอมปลอมที่หลอกให้คนดูเชื่อว่ามีคู่แท้รออยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งของชีวิต ฉากหลังในเรื่องจึงสวนทางกับสูตรสำเร็จหนังรัก ที่แม้เรื่องจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ แต่ก็เป็นเวลาแห่งความรักที่เยียบเย็น ไม่มีดอกไม้ ไม่มีดินเนอร์ใต้แสงเทียน มีแต่ภาพชายหาดที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน ท้องฟ้าสีเทาชวนให้รู้สึกหม่นหมอง และตัวละครที่โดดเดี่ยวผิดหวังในความรัก หนังใช้วันวาเลนไทน์มาเป็นสัญลักษณ์ที่ทั้งเสียดสี และตั้งคำถามว่าแท้ที่จริงแล้วความรักคืออะไร

การนิยามความรักไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คำตอบส่วนหนึ่งนั้นอยู่ในหนังเรื่องนี้นี่เอง Eternal Sunshine พูดถึงประเด็นความรักในแง่ของอารมณ์ที่ซับซ้อนซึ่งสัมพันธ์โยงใยกับบุคลิกภาพและความทรงจำของคนคนหนึ่งอย่างแยกไม่ออก ความรักใน Eternal Sunshine จึงมีหลายมิติ หลายชั้น และหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นใครและมองจากมุมไหน ความสัมพันธ์ระหว่างโจเอลกับเคล็มอาจไม่ใช่อย่างที่เราเห็น ถ้าเปลี่ยนตัวละครที่เล่าเรื่องเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่โจเอล บทบาทสมทบจาก ทอม วิลกินสัน มาร์ก รัฟฟาโล เคียร์สเตน ดันส์ และ เอลิจาห์ วูด (ที่ลอกคราบโฟรโดทิ้งไปอย่างไม่เหลือร่องรอย) จึงไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบที่ผลักให้เรื่องดำเนินไปเท่านั้น แต่ช่วยเพิ่มมิติและความซับซ้อนให้แก่ความหมายของความรักอันเป็นหัวใจของเรื่องด้วย

กระบวนการลบความจำของโจเอลที่เริ่มต้นจากความทรงจำล่าสุดของเขา ได้เปิดเผยให้เราเห็นภาพความสัมพันธ์ที่ล่มสลาย ภาพการทะเลาะโต้เถียงและการทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน ภาพคู่รักที่มาถึงจุดอิ่มตัวเหมือนคู่แต่งงานที่ไม่มีเรื่องจะคุยกันอีกแล้ว ไล่เรียงไปจนถึงช่วงเวลาของความสุข ที่ต่างฝ่ายยังต้องการซึ่งกันและกัน หนังแสดงถึงวงจรของชีวิตรักที่สมบูรณ์แบบ ที่ไม่ใช่แค่การออกเดตหรือล่องลอยอยู่บนปุยเมฆแห่งจินตนาการ แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่เจือไว้ด้วยความคาดหวัง ความสมหวัง และความผิดหวัง

ด้วยงบประมาณที่จำกัดทำให้หนังไม่มีเงินมากนักสำหรับสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ แต่กลายเป็นว่าเทคนิคแบบโลว์-เทคที่ผู้กำกับ มิเชล กอนดรี ใช้เล่าเรื่องที่สลับซับซ้อนนี้ กลับช่วยเสริมอารมณ์ของหนังได้อย่างเหมาะเจาะ กอนดรีสื่อถึงความทรงจำของโจเอลที่ค่อย ๆ ถูกลบทิ้งไปด้วยเทคนิคง่าย ๆ เช่น ภาพไฟบนเพดานที่ดับลงทีละดวง สิ่งของที่หายไปทีละชิ้น ใบหน้าคนที่เบลอไม่เป็นรูป ฉากหลังที่เฟดลงจนกลายเป็นสีขาวว่างเปล่า หรือสันปกหนังสือที่ตัวอักษรเลือนหายไปจนหมด ภาพเหล่านี้ถ่ายทอดอารมณ์ของความสูญเสียได้อย่างสอดรับกับเนื้อเรื่อง และการที่กอนดรีเลือกถ่ายภาพแบบใช้กล้องมือถือ (hand-held) เสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ช่วยเพิ่มความรู้สึกสมจริง ความรู้สึกใกล้ชิด และเติมชีวิตให้แก่ฉากหลังที่อ้างว้างในนครนิวยอร์ก

ฉากความทรงจำสุดท้ายในบ้านบนหาดที่มอนท็อกเป็นฉากที่ดีที่สุดฉากหนึ่งของหนัง ภาพบ้านหลังใหญ่ที่ค่อย ๆ พังทลายลงทีละชิ้น พื้นบ้านที่กลายเป็นน้ำทะเลท่วมขึ้นมาบนหาดทราย และภาพของเคล็มที่พร่าเลือนหายไป แข่งกับบทพูดของโจเอลที่บอกถึงความรู้สึกของเขาต่อเหตุการณ์ในคืนนั้น ความเสียใจที่เขาหุนหันออกไปจากบ้านหลังนั้นเพราะความอ่อนแอ ไม่มั่นใจของเขาเอง บทของคอฟแมนและฝีมือการกำกับของกอนดรีทำให้ฉากนี้ไม่ซ้ำซากน่าเบื่อ แต่เป็นฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์โหยหาแกมเหนือจริง เมื่อเคล็มขอให้โจเอลกลับมาบอกลาเธอก่อนที่จะจากไป เราต่างก็รู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่โจเอลบังคับให้จิตใต้สำนึกของเขาแต่งเติมความทรงจำขึ้นใหม่ แก้ไขความผิดพลาดที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนที่ความทรงจำระหว่างเขากับเคล็มจะถูกลบทิ้งไปทั้งหมด

สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้เนื้อหาที่พูดถึงความรักได้อย่างถึงแก่นก็คือ ชาร์ลี คอฟแมน คนเขียนบทของเรื่องนี้ คอฟแมนเป็นนักเขียนบทรุ่นใหม่มาแรงที่อัดแน่นไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ผู้ทำให้หนังอย่าง Being John Malkovich (1999) หรือ Adaptation (2002) กลายเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน คอฟแมนไม่ชอบเดินตามสูตรสำเร็จ เขามักเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใครและด้วยวิธีการที่ไม่ซ้ำแบบใคร ดังนั้นวิธีที่จะเดินทางเข้าไปในสมองของดาราดังอย่าง จอห์น มัลโควิช ใน Being John Malkovich จึงต้องผ่านโพรงแคบ ๆ ดูซอมซ่อน่าขยะแขยงที่ซ่อนอยู่หลังตู้เอกสารในอาคารบนชั้นที่ 71/2 ขณะที่ Eternal Sunshine นั้นโดยเนื้อเรื่องแล้วน่าจะเป็นหนังแนววิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องการลบความทรงจำ ก็กลายเป็นหนังที่ดูยังไงก็ไม่ไฮ-เทคเหมือนหนังไซ-ไฟทั่วไป แต่กลับไปเน้นปรัชญาความรักแบบถึงลูกถึงคนชนิดที่หนังดรามาหนัก ๆ ยังต้องชิดซ้าย

ด้วยลีลาการเขียนบทที่แหวกแนวเป็นเอกลักษณ์ ทำให้คอฟแมนเป็นหนึ่งในนักเขียนบทไม่กี่คนที่สามารถขโมยความเด่นและเครดิตหนังมาจากผู้กำกับได้ แต่ยังไม่เคยมีเรื่องไหนที่เขาพูดถึงความรักได้อย่างหวานซึ้งละเมียดละไมเช่นใน Eternal Sunshine of the Spotless Mind ฉากจบของเรื่องที่โจเอลและเคล็มตัดสินใจคบกันต่อไป แม้จะรู้ความจริงว่าพวกเขาคือคู่ร้างที่เพิ่งเลิกรักกันก็ตาม ก็ดูจะเป็นบทสรุปที่ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความรักก็ยังเป็นสิ่งที่สวยงามและมีค่าสำหรับมนุษย์เสมอ และความหมายอันแท้จริงของความรัก ก็เกิดจากความสัมพันธ์ที่คนสองคนถักทอขึ้นมาเป็นความทรงจำร่วมกันนั่นเอง

แฟนพันธุ์แท้ของแคร์รีที่คาดหวังว่าจะได้เห็น “เอซ เวนตูรา” คงต้องผิดหวัง เพราะบท โจเอล แบริช ในเรื่องนี้เป็นข้อยืนยันอย่างหนักแน่นว่า จิม แคร์รี ก็เล่นบทชีวิตได้ และทำได้ดีมากเสียด้วย (หลังจากความพยายามใน The Truman Show และ The Majestic) ส่วนวินสเล็ตก็พลิกบทบาทมาสวมหัวใจสาวพังก์ที่เปลี่ยนสีผมตามแต่อารมณ์จะพาไปได้อย่างน่ารักและน่าเห็นใจ

Eternal Sunshine of the Spotless Mind คือหนังที่ถ่ายทอดความไม่สมบูรณ์แบบของความรักออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเรื่องจะดำเนินไปแบบกึ่งแฟนตาซี กึ่งเหนือจริง แต่สาระที่หนังพูดกลับเป็นความจริงเสียยิ่งกว่าในหนังที่ “สมจริง” เรื่องไหน ๆ ชื่อเรื่องอันยาวยืดที่คอฟแมนนำมาจากบทร้อยกรองของกวีชาวอังกฤษ อเล็กซานเดอร์ โปป นั้น จึงน่าจะเป็นชื่อที่ดำรงอยู่ในความทรงจำของผู้ชมไปอีกนานในฐานะของหนังรักที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของทศวรรษนี้