เรื่อง : พิมพรากร นิยมานนท์

โคโยตี้ พริตตี้ เวทีขายร่างพาร์ตไทม์?

คำว่า พริตตี้ แปลตามดิกชันนารีว่า น่ารัก…สวยงาม

แต่ชีวิตของพริตตี้…ใช่ว่าจะสวยงามตามความหมายของมัน

๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๘

เช้านี้ฉันลืมตาตื่นอย่างไม่ค่อยสดชื่นนัก ด้วยว่าเมื่อคืนยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เปิดกระเป๋าสตางค์ดูก็พบแต่ความว่างเปล่า เหลือบมองปฏิทิน…เวรกรรม ! นี่เพิ่งวันที่ ๑๕ แต่ฉันถลุงเงินเดือนทั้งเดือนหมดไปแล้วเรียบร้อย เหลียวไปดูบนโต๊ะพบซองจดหมายหนาเป็นปึกวางนิ่ง…ใบทวงหนี้ทั้งนั้น…ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าส่วนกลางคอนโด ค่าบัตรเครดิต ค่าสมาชิกฟิตเนส ค่าไฮสปีดอินเทอร์เน็ต ค่า…

เงินเดือนไม่พอใช้…ใช่แล้ว ฉันน่าจะหางานพิเศษหรือที่เรียกว่างานพาร์ตไทม์เสริมรายได้ ว่าแต่ว่างานอะไรล่ะ เปิดอินเทอร์เน็ตเข้าเว็บไซต์รับสมัครงาน พลันสะดุดตากับประกาศรับสมัครงานสองสามที่ พริตตี้ โคโยตี้ พีอาร์ ประชาสัมพันธ์ บลา บลา บลา

รับสมัครโคโยตี้ทำงานในผับหรูรายได้ ๓ หมื่น up! ไม่เสื่อมเสียสนใจส่งรูปมาที่ XXXX781@hotmail.com ด่วน

โห !!! เงินเดือน ๓ หมื่นนี่ ๓ เท่าของเงินเดือนคนจบปริญญาตรีตอนนี้เลยนะ…

ว่าแต่แค่ไปเต้นอย่างเดียวเองเหรอ…เป็นโคโยตี้เนี่ย

ด่วน รับสมัครพริตตี้เกิร์ล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลักษณะงาน

– พนักงานแนะนำผลิตภัณฑ์ ประจำร้านอาหาร ๑ คน/แห่ง

– สถานที่ปฏิบัติงาน ร้านอาหารชั้นนำในเขตกรุงเทพฯ, ปริมณฑล (สามารถเลือกที่ทำงานใกล้ที่พักได้)

*** สมัครก่อนมีสิทธิ์ได้เลือกสถานที่ทำงานก่อน ***

– ระยะเวลารับสมัคร ตลอดปี ๒๕๔๙

– เวลาปฏิบัติงาน ๑๗.๐๐-๒๓.๐๐ น.

– ทำงานสัปดาห์ละ ๓ วัน (วันพฤหัส, ศุกร์ และเสาร์)

นี่ก็งานพริตตี้อีกแหละ วันนี้เจอประกาศแบบนี้เยอะจัง ดูอันต่อไปดีกว่า

“ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากได้ผู้ใจดีค่ะ จะให้แลกกับอะไรก็ได้ค่ะ ต้องการใช้เงิน ๒,๐๐๐ บาทค่ะ หนูเป็นคนเหนือ ผิวขาว เคยทำงานเป็นพริตตี้ค่ะ”

โห…มีประกาศแบบนี้ด้วยเหรอ เอ…แล้วทำไมต้องบอกว่าเป็นพริตตี้ด้วยล่ะ ?

ฉันจมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ครึ่งค่อนวัน พบแต่ข้อความรับสมัครสาวพริตตี้ โคโยตี้ งานพาร์ตไทม์สำหรับนักศึกษาสาว หน้าตาและรูปร่างดี (ซึ่งฉันหมดสิทธิ์) ครั้นแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำลายความเงียบและกระชากฉันออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์

๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘

“สาวพริตตี้…สวย…ใส…ไร้สมอง”

“พริตตี้ก็เหมือนตุ๊กตา ยืนข้างฉลากสินค้า แต่งหน้าทาปาก โบ๊ะแป้งหนาเป็นนิ้ว”

“พริตตี้ก็แค่นกแก้วนกขุนทอง จำ ๆ ท่องๆ ข้อมูลสินค้า แล้วก็พูดซ้ำ ๆ กัน ดีแต่ทำหน้าหวานใส ยิ้มทั้งวัน คอยต้อนรับลูกค้า หรือแต่งตัวเรียกร้องความสนใจ แค่มีหน้าตาและรูปร่างดี อาศัยว่าพูดเก่งนิดหน่อยก็เป็นได้ ไม่ต้องมีความรู้มาก หรือใช้ความสามารถทางเทคนิคอะไรเลย”

“พริตตี้กับกะหรี่มันก็คำคำเดียวกันแหละค่ะ แค่เขียนคนละแบบแล้วอ่านต่างกันเท่านั้นเอง”

……………………………………………………………………

ฉันออกท่องราตรีเมืองหลวง ที่หมายคือร้านอาหารแห่งหนึ่งในซอยใหญ่ใจกลางรัชดา เสียงเพลงในร้านดังกระหึ่ม จังหวะดนตรีเร่าร้อนโหมประโคมส่งให้ท่าเต้นของบรรดาสาวโคโยตี้บนฟลอร์ร้อนแรงยิ่งขึ้น พวกเธอแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น จนบางคนถึงกับบอกว่า ใส่แบบนี้อย่าใส่เลยดีกว่า ประกอบกับท่าเต้นที่ยั่วยวนชวนให้เกิดอารมณ์วาบหวาม ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองฉันคงไม่เชื่อว่า สาวพริตตี้ที่เจอเมื่อตอนกลางวันที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์กับสาวสวยเท้าไฟที่วาดลวดลายอยู่บนฟลอร์ตรงหน้าในคืนนี้…เป็นคนเดียวกัน

สถานบันเทิงหลายแห่งอาศัยสาวโคโยตี้เป็นจุดขายในการเรียกลูกค้า มองดูผิวเผินอาจเป็นแค่การแสดง แต่จากข้อมูลที่สืบทราบทำให้ฉันรู้ว่า โคโยตี้ นอกจากจะต้องเต้นบนฟลอร์ด้วยอาภรณ์น้อยชิ้นแล้ว ยังต้องนั่งคุยกับแขก บริการแขก ไม่ต่างจากสาวนั่งดริงก์เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของสถานบริการแห่งหนึ่งถึงกับพูดว่า

“พี่จะบอกอะไรให้นะน้อง มันก็โสเภณีขายจิ๋มนี่แหละ แค่เปลี่ยนแพ็กเกจเท่านั้นเอง”

ฉันนึกตามในใจ แพ็กเกจพี่ประหยัดมาก…แทบไม่ต้องแกะห่อเลยสักชิ้น

๑ ธันวาคม ๒๕๔๘

“พวกนักข่าวหรือเปล่า ระวังนะแก” เสียงเตือนจากเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันกับสาวน้อยแว่วมาให้ได้ยิน เด็กสาวที่ให้ข้อมูลฉันจัดได้ว่าเป็น “ดาว” ของที่นี่ หน้าตาดี ลีลาเด็ด สมคำร่ำลือ เธอชื่อดาว สาวเท้าไฟอายุ ๑๙ ปี ผู้มียอดดื่มสูงสุดของร้านในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา

หลังเลิกงาน ดาวชวนฉันไปหาอะไรกินย่านตลาดห้วยขวาง ด้วยเกรงว่าคุยกันที่ร้านจะไม่สะดวก

“นั่งแท็กซี่ไปนะ เดี๋ยวหนูออกค่ารถเอง” ดาวแสดงความมีน้ำใจ คงเพราะเข้าใจว่าฉันเป็นเพียงนักศึกษาจน ๆ จากต่างจังหวัดมาเก็บข้อมูลทำรายงาน

ระหว่างรออาหาร ดาวเขี่ยน้ำแข็งในแก้วเล่นพร้อมกับเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของเธอให้ฉันฟัง

“หนูเป็นเด็กต่างจังหวัด แม่ทำขนมขายในตลาด แม่ไม่อยากให้ลำบากเลยส่งมาเรียนกรุงเทพฯ หนูเองก็ไม่อยากเห็นแม่ลำบาก เลยหางานพิเศษทำระหว่างเรียน เริ่มจากการเป็นพริตตี้ ซึ่งมีพี่ที่รู้จักเขาทำงานโมเดลลิ่งมาชวนไปทำ โดยที่หนูต้องหักค่าตัวให้เขา ๒๐ %”

เป็นพริตตี้ไม่มีอะไรยาก แค่หน้าตาดี รูปร่างดี มนุษยสัมพันธ์ดี พูดเก่ง ค่าตัวก็ขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้าและระยะเวลาที่ทำ แรก ๆ ดาวเป็นพริตตี้ให้สินค้าจำพวกสบู่ แชมพู เครื่องสำอาง ต่อมาเริ่มเรียนหนักขึ้น มีเวลาว่างเฉพาะช่วงกลางคืน จึงเริ่มรับงานเป็นพริตตี้เชียร์เหล้า

“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่งานหด เพราะเด็กเกิดใหม่เยอะ นักศึกษาหน้าตาดี ๆ มีเยอะ เราเองก็ถูกแบ่งงานไปเยอะ ลำพังตัวหนูเองก็มีค่าใช้จ่ายสูง ค่าห้อง ค่าเทอมที่เดี๋ยวนี้แม่ไม่ต้องส่งมาแล้ว เพราะเราบอกว่าเราหาได้เอง ค่าแต่งตัว ค่าเดินทาง แถมยังส่งเงินไปให้ที่บ้านเป็นครั้งคราว

“พอรายจ่ายมาแรงแซงรายได้ก็ต้องหางานพิเศษอีก เพื่อนที่เป็นพริตตี้ด้วยกันจึงชวนมาทำงานเป็นโคโยตี้ หน้าที่ของเราคือเต้น แล้วก็ลงมานั่งดริงก์กับลูกค้า ได้ค่าเต้นวันละ ๔๐๐ ไม่รวมค่าดริงก์ ที่นี่ดริงก์ละ ๒๕๐ บาท ร้านจะหักเก็บไว้ ๑๒๐ บาท ที่เหลือเป็นของเรา

“จริง ๆ แล้วหนูไม่เคยคิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขนาดนี้…”

ก็แค่พริตตี้ ก็แค่แต่งตัวตามคอนเซ็ปต์ที่เขาวางไว้ โป๊บ้างช่างมัน ทน ๆ เอาแค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็ได้เงิน

ก็แค่โคโยตี้ ก็แค่เต้น ก็แค่นั่งคุยเป็นเพื่อนแขก ก็แค่จับมือ ก็แค่โอบไหล่ ก็แค่… สุดท้ายเมื่ออยากได้เงินมากกว่าที่เคยได้ แขกก็อยากได้อย่างอื่นมากกว่า “แค่” ที่เคยได้ เรื่องก็จบลงที่…

“ถ้าพี่ไปถามเด็กโคโยตี้นะ น้อยคนที่จะยอมรับว่าเขาขาย ก่อนหน้านี้หนูก็ไม่เคยคิดว่าหนูขาย หนูคิดว่าหนูทำตามความพอใจ หนูไม่ได้นอนกับใครเพื่อเงิน แต่สุดท้ายสิ่งที่หนูทำมันก็ไม่ต่างกัน เพราะหนูก็เลือกนอนกับคนที่ดูมีเงิน คนที่ซื้อของให้ หนูยอมรับว่ามันเป็นธุรกิจ เราต่างกับหมอนวดอย่างหนึ่งคือ ลูกค้าเป็นคนเลือกว่าจะนอนกับหมอนวดคนไหน แต่พริตตี้ โคโยตี้จะเลือกว่าจะนอนกับลูกค้าคนไหน

“คนที่ประณามเราว่าเป็นพวกมักง่าย ทำทุกอย่างเพื่อเงิน ถามหน่อยว่าถ้าในชีวิตคุณต้องเลือกว่าจะมีกินอย่างสุขสบาย มีเงินส่งให้ที่บ้านใช้ทุกเดือน พี่น้องได้เรียนจนจบ กับทนจมอยู่กับสิ่งที่คุณเรียกว่าศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง ซึ่งมันฟังดูดีใช่ไหมคะ แต่มันไม่ได้ทำให้ท้องเราอิ่มเลย นั่งต้มมาม่ากินทุกเดือน คอยหลบหน้าเวลามีคนมาทวงค่าเช่าห้อง เดินตากแดดหน้ามันย่องรองเท้าสึกไปสมัครงาน คุณจะเลือกอะไร”

๒ ธันวาคม ๒๕๔๘

เมื่อคืน…ฉันไม่ได้ตอบดาวไปว่าฉันเลือกอะไร แต่ตอนนี้ ฉันกำลังต้มมาม่ารสใหม่ล่าสุดที่ซื้อมายกลังเพราะเมื่อวานเงินเดือนออก เติมหมูสับ ผัก และไข่ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน ก่อนจะออกไปเก็บข้อมูลสัมภาษณ์สาวพริตตี้ในตอนบ่าย และแวะไปดูการทำงานของสาวโคโยตี้ในตอนค่ำ

“หนูมาขายของค่ะ ไม่ได้ขายตัว”

ออย อายุ ๒๒ ปี ปัจจุบันเป็นพริตตี้ให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่งกล่าว พร้อมกับเริ่มต้นเล่าถึงเส้นทางของการเดินเข้าวงการพริตตี้ รวมไปถึงปัญหาที่พบให้ฉันฟังคร่าว ๆ

“ออยทำงานนี้มาได้ ๔ ปีกว่าแล้วค่ะ ออยจบชั้นมัธยมจากจังหวัดกำแพงเพชร เข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แม่ให้เรียนรามฯ แต่ออยไม่ชอบ และรู้ว่าถึงเรียนไปก็ไม่จบ”

งานแรกของออยเริ่มต้นจากเป็นพริตตี้ให้โฟมล้างหน้ายี่ห้อหนึ่ง ยืน ๖ ชั่วโมง ค่าตัว ๕๐๐ บาท ซึ่งหลังจากถูกโมเดลลิ่งหักแล้วจะเหลือวันละ ๔๐๐ บาท หลังจากนั้นออยก็ไปแคสติ้งงานและรับงานมาเรื่อย ๆ จนเมื่อปีที่แล้วได้เป็นพริตตี้รถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์

ออยเปิดเผยกับเราว่า ตัวเธอเองพบเจอกับพฤติกรรมของลูกค้าผู้ชายมาแล้วทุกรูปแบบ ตั้งแต่ขอเบอร์โทรศัพท์ ค่ายคู่แข่งเสนองานในอัตราเงินเดือนที่สูงกว่าที่ทำอยู่ให้ การทาบทามไปเป็นเมียน้อย หรือการพูดคุยชักจูงไปสู่การขายบริการก็มี

จะว่าเป็นเพราะชุดที่พวกเธอสวมใส่ซึ่งล้วนเป็นชุดที่วาบหวิวพอสมควร ทำให้สาวพริตตี้อย่างเธอต้องพบเจอสถานการณ์เช่นนั้น โดยเฉพาะงานมอเตอร์โชว์ ซึ่งกล่าวได้ว่าลูกค้าไม่ได้ตั้งใจมาดูนวัตกรรมรถรุ่นใหม่ ๆ กันหรอก “เขามาดูว่าวันนี้พวกสาวพริตตี้จะทำนมหกกันวันละกี่ลิตรมากกว่า”

ออยทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคประชดประชัน ก่อนสวมรองเท้าบูตส้นสูง ๔ นิ้ว หยิบลิปสติกขึ้นมาแต้มปาก แล้วขอตัวไปทำหน้าที่ของเธอต่อ

ฉันแอบดูเธอทำงานเงียบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่ เธอยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาฉาดฉาน ให้ข้อมูลสินค้าอย่างเป็นกันเองกับลูกค้า ไม่แน่ใจว่าเพราะรอยยิ้มหวาน ๆ หรือต้นขาขาว ๆ ของเธอภายใต้กระโปรงสั้นแค่คืบหรือเปล่า ที่ทำให้ลูกค้ายืนฟังอ้าปากหวอเหม่อลอยคล้ายตกอยู่ในภวังค์

หลังจากลูกค้าเดินจากไป ฉันแอบเห็นใบหน้าหวาน ๆ นั้นเบ้ลงเล็กน้อยพร้อมกับแลบลิ้นออกมาแวบหนึ่ง…คาดว่าเธอคงถูกลูกค้าตามตื๊อขอเบอร์เป็นครั้งที่ห้าร้อยของวันนี้ แต่เพียงพริบตาเดียว ฉันก็ได้เห็นหน้าหวานใสพร้อมรอยยิ้มหวานหยดอีกครั้ง กับคำพูดประโยคเดิม ๆ ที่คาดว่าเธอน่าจะท่องมาทั้งคืน เนื่องจากข้อมูลสินค้านั้นยาวเป็นหางว่าว แต่เธอก็จดจำและพูดได้แม่นยำ น่าเสียดายที่ลูกค้าแทบไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอพยายามนำเสนอเท่าไร กลับจ้องเขม็งไปที่เนินอกใต้เสื้อตัวจิ๋วรัดติ้วเสียมากกว่า ก็คงจะจริงอย่างที่ออยบอกไว้ตอนต้น

“เขามาดูว่าวันนี้พวกสาวพริตตี้จะทำนมหกกันวันละกี่ลิตรมากกว่า”

๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๘

วันนี้สาวพริตตี้และโคโยตี้ทั่วเมืองต่างสวมชุดแดงใส่หมวกซานตาคลอสแปลงร่างเป็นซานตารีน่า (ซานตาคลอสผู้หญิง) สาว ๆ โคโยตี้ พริตตี้ บอกฉันว่า เป็นเรื่องปรกติที่เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ คริสต์มาส ปีใหม่ ตรุษจีน วาเลนไทน์ สงกรานต์ ฮัลโลวีน เทศกาลเหล่านี้งานจะชุกเป็นพิเศษ ที่สถานบันเทิงที่โคโยตี้ทำงานอยู่ก็มักจะจัดกิจกรรมตามเทศกาลนั้น ๆ เช่นตรุษจีนก็มีการประกวดมิสไชนีส โดยให้แขกซื้อดอกไม้ที่ร้านดอกละ ๑๐๐ บาท (ฉันนึกในใจ โ_ตรแพง !!! ดอกกุหลาบดอกหนึ่งซื้อมาม่าได้ตั้ง ๒๐ ซอง) มามอบให้โคโยตี้เป็นคะแนนแข่งกัน ใครได้ดอกไม้เยอะสุดก็ได้เป็นมิสไชนีสในค่ำคืนนั้น

นิว อายุ ๒๔ ปี ยึดอาชีพพริตตี้ในตอนกลางวัน และกลางคืนก็รับงานเป็นโคโยตี้ไซด์ไลน์มาตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม ๒๐ ดี ที่ผ่านมารับงานพริตตี้มาเรื่อย ๆ ได้ค่าตัวเฉลี่ยครั้งละ ๕๐๐-๒,๐๐๐ บาท แล้วแต่ชนิดของสินค้าและระยะเวลางาน ส่วนงานโคโยตี้จะรับเต้นให้ที่ร้านอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง โดยได้ค่าแรงวันละ ๘๐๐ บาท แต่จะไม่ไปนั่งดริงก์กับแขก เพราะกลัวคนจำหน้าได้

ก่อนหน้านี้นิวก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป เงินที่แม่ส่งให้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับมหาวิทยาลัยถูกถลุงไปกับการเที่ยวเตร่และเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อนๆ ในกลุ่ม จนวันหนึ่งขณะที่กำลังเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน ๆ ย่าน RCA ก็มีโมเดลลิ่งมายื่นนามบัตรให้และชักชวนมาทำงานเป็นโคโยตี้ในผับแห่งหนึ่ง

เนื่องจากเห็นว่าเป็นงานที่รายได้ดี และทำงานเฉพาะตอนกลางคืน ไม่ต้องหยุดเรียน นิวจึงไปสมัคร เธอแอบสารภาพกับเราว่า “จริง ๆ ก็ไม่ค่อยได้ไปเรียนหรอกพี่…เพราะเที่ยวกลางคืนเกือบทุกวัน เมาหลับขยับอ้วก ลุกไปเรียนไม่ไหว

“แรก ๆ ก็ดีมีรายได้เข้ามาไม่ขาดมือ พอรับงานหนึ่งก็จะมีงานอื่นต่อเนื่องเข้ามาเรื่อย ๆ ถ้าหน้าตาดี รูปร่างดี ไม่เรื่องมาก เขาจัดชุดให้โป๊แค่ไหนก็กล้าใส่ ไม่บ่น ไม่มีเหนียม ให้เต้นก็เต้น แต่ที่สำคัญต้องตรงต่อเวลา และห้ามมีเรื่องกับลูกค้า

“ตั้งใจว่าจะเก็บเงินไว้จ่ายค่าเทอมเองด้วย แต่ไป ๆ มา ๆ รับงานมากจนขาดเรียน บางทีงานไหนให้เงินเยอะแต่ตรงกับวันที่มีเรียน เราก็โดดเรียนไปรับงานเพราะเสียดายเงิน แต่ที่แห้วก็มีนะ โดดเรียนไปแคสต์งานแล้วไม่ได้อะ…เซ็งเลย”

“ต้องหาเงินไว้จ่ายค่าเทอม” กลายเป็นเหตุผลที่นักศึกษาสาวที่ทำงานพาร์ตไทม์เป็นโคโยตี้ พริตตี้ แทบทุกคนใช้เป็นข้ออ้างในการรับงาน แต่จากข้อมูลที่ฉันได้รับทราบ เงินที่หามาได้หมดไปกับเรื่องของความสวยความงาม เครื่องประทินผิว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และของใช้ราคาแพงเลียนแบบศิลปินดาราแทบทั้งสิ้น

ปัจจุบันนิวไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะไม่เคยเข้าเรียนเลยจนทางมหาวิทยาลัยคัดชื่อออก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นิวคิดจะเลิกอาชีพพริตตี้ โคโยตี้ แล้วกลับมาเรียนอย่างเพื่อนนักศึกษาคนอื่น

“ตอนที่รู้ว่าโดนคัดชื่อออกก็อึ้งเหมือนกัน…แต่ทำไงได้เรามีค่าใช้จ่าย ไหนจะค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเสื้อผ้าเครื่องสำอาง ทำงานอย่างนี้ยิ่งต้องดูแลตัวเอง ต้องดูดี ไม่โทรม

“พอที่บ้านรู้ว่าเรามีงานทำแล้วก็เลิกส่งเงินมาให้ เราก็คิดว่าดีเหมือนกัน ไม่ต้องเรียนจะได้รับงานได้เต็มที่ เงินจะได้เป็นกอบเป็นกำ ถ้ามีเงินซะอย่างจะกลับมาเรียนเมื่อไหร่ก็ได้

“เพื่อน ๆ ในวงการก็ทำอย่างนี้กันหลายคน บางคนถึงกับไปสมัครมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง เพื่อที่เวลาไปแคสต์งาน หรือคุยกับลูกค้าจะได้แนะนำตัวได้ว่ามาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง เพราะสินค้าบางยี่ห้อเขาก็คัดคนเหมือนกัน อยากได้คนที่ดูดีเพื่อยกระดับสินค้า การที่เราบอกว่าเรียนอยู่ที่ไหนบางทีก็เป็นการยกระดับค่าตัวเหมือนกัน”

ส่วนเรื่องอาชีพแฝง นิวบอกกับฉันว่า ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ทำ แล้วแต่คนมากกว่า

“อย่างที่นิวทำอยู่นี่…มันเรียกเป็นอาชีพได้ไหมล่ะ…มันขึ้นกับความพอใจมากกว่า เขาขอ เราก็จัดให้ แต่มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ถ้าไม่ให้ก็ไม่ให้เอา แต่ที่ถูกมองแบบนั้นเนื่องจากเราทำงานกลางคืน ต้องพบปะกับคนดื่มเหล้า มีบ้างที่แขกเรียกเราไปที่โต๊ะเพื่อชวนคุยหรือชวนไปสนุกกันต่อ แต่มันก็อยู่ที่เราอีกนั่นแหละ ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง”

สำหรับนิว…เธอสารภาพให้เราฟังว่าเป็นคนชอบดื่มชอบเที่ยวอยู่แล้ว จึงมีบ่อยครั้งที่ไปกับแขกหลังเลิกงาน แต่ก็จะเลือกแขกที่หน้าตาดี มีรถหรู สะอาด และดูมีเงิน ส่วนเรื่องจะมีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่นั้น เธอบอกว่าเป็นเรื่องของความพอใจมากกว่า

“บางทีเขามาหาเราที่ห้อง เราบ่น ๆ ว่าช่วงนี้งานน้อย ไม่มีเงินจ่ายค่าห้อง เขาก็ควักให้เอง”

๑๔ มกราคม ๒๕๔๙

ติ๊ก อดีตสาวพริตตี้เชียร์เครื่องดื่มวัย ๒๘ ปี เล่าให้ฉันฟังว่า “เมื่อก่อนสมัยเรียนพี่ก็ทำงานเป็นพริตตี้นะ แรก ๆ ก็โอเคไม่มีปัญหา เงินที่ได้ก็ปานกลาง ไม่จัดว่าอยู่ในเรตที่สูงมาก ๕๐๐ บาทต่อวัน ทีนี้งานมันไม่ได้มีทุกวัน มีอาทิตย์ละ ๓ วัน เป็นงานเชียร์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งแน่นอนชีวิตเราก็จะเจอแต่คนเมา

“เที่ยวเก่ง ใช้เงินเก่ง เราหาเงินได้อาทิตย์ละ ๑,๕๐๐ แต่ใช้อาทิตย์ละ ๕,๐๐๐ มันก็ไม่พอ สิ่งที่เราทำตอนนั้นคือ เมื่อมีผู้ชายเข้ามาหาเรา เราก็หลอกแดกมันสิ หลอกให้เขาซื้อโน่นซื้อนี่ให้ ที่พูดตรง ๆ เพราะเราผ่านตรงนั้นมาแล้ว เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้มันก็ต้องยอมรับความจริงแล้วละ แต่ผู้ชายก็ไม่ได้โง่ทุกคน คราวนี้เราก็ยอมรับว่ามีอะไรกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เราอยากได้

“งานโคโยตี้ก็มีคนมาชวนทำ แต่พี่ทำไม่ได้ ไม่กล้าเต้น ที่เลิกก็เพราะพอเราอายุมาก เริ่มสู้สาว ๆ ไม่ได้ ไปแคสติ้งงานไม่ผ่าน แล้วเริ่มอยากมีแฟนจริง ๆ จัง ๆ ซะที เพราะที่ผ่านมาผู้ชายคบเราเป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้น ตอนที่พี่ทำงานเป็นพริตตี้ ไม่มีใครจริงจังกับเราสักคน เขามองเราเป็นเหมือนผู้หญิงกลางคืนเท่านั้นเอง งานพริตตี้นี่ทำได้แค่อายุ ๒๕ ก็เกษียณแล้วละ”

แม้หลายคนจะอ้างว่า การเป็นโคโยตี้หรือพริตตี้เป็นอาชีพสุจริต สร้างรายได้ดี เป็นทางเลือกของนักศึกษาที่ต้องการหารายได้เสริม แต่ในขณะเดียวกัน รายได้ที่งดงามนั้นก็ต้องใช้เรือนร่างและหน้าตาเข้าแลกในระยะเวลาอันสั้น ที่สำคัญ ฉันไม่รู้ว่า “อาชีพ” นี้มีส่วนบ่มเพาะนิสัยฟุ้งเฟ้อให้แก่วัยรุ่นแค่ไหน เพราะเท่าที่เห็น หลายคน “ติด” กับรายได้อันงดงามนั้น และสุดท้ายก็ไม่สนใจกับ “ที่มา” ของรายได้อีกต่อไป

ถ้าใครหยุดอยู่แค่เป็นเพียงพริตตี้พรีเซนต์สินค้าทั่วไปก็โชคดี แต่จากข้อมูลและภาพที่ปรากฏเราก็จะพบว่า ยังมีสาวพริตตี้บางส่วนที่ไม่ได้หยุดแค่เพียงการขายสินค้า…

จุดจบของสาวพริตตี้บางรายถึงขั้นเป็นผู้หญิงกลางคืนเต็มตัว เพราะเคยชินกับงานที่สบาย ได้เงินง่ายและใช้เวลาน้อย สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ เด็กสาวเหล่านั้นรับ “จ๊อบ” ที่แฝงมากับงานโคโยตี้ พริตตี้ นั้นด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับ หรือทำเพราะความจำเป็นทางสังคมที่บีบคั้นไม่ต่างกับการค้าประเวณีเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว จึงยากที่จะหาทางป้องกันหรือตรวจสอบว่าในบรรดานักศึกษาที่ทำงานพาร์ตไทม์เป็นสาวโคโยตี้หรือพริตตี้เกิร์ล มีจำนวนเท่าใดที่เข้ามาหารายได้แฝงจากอาชีพนี้ หรือบางรายก็แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวกระทำอยู่ไม่ต่างจากการขายบริการเท่าใดนัก

อาจจะเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ หากเจ้าตัวคิดว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นความพอใจส่วนบุคคล

๒๐ มกราคม ๒๕๔๙

ห้า…สิบ…สิบเจ็ด…ยี่สิบ…สามสิบห้า…สี่สิบเอ็ด…สี่สิบห้า…ห้าสิบ เฮ้อ…แคะกระปุกมาได้ห้าสิบบาท ซื้อมาม่าได้ ๑๐ ซอง… แต่วันนี้ ฉันไม่ต้องต้มมาม่ากินอีกต่อไปแล้ว ! ส่งต้นฉบับรับเงินแล้ว เย้ !!!

ฉันจะให้รางวัลกับตัวเองด้วยการดูหนังเรื่องโปรดสักรอบ กับบะหมี่เกี๊ยวชื่อดังหน้าโรงหนังอีก ๒ ชาม

ระหว่างทางฉันเห็นแผงขายของริมฟุตบาททอดยาวจากหน้าโรงหนังไปสองป้ายรถเมล์ ของที่วางขายไม่ได้สะดุดตาฉันเท่ากับใบหน้าของพ่อค้าแม่ค้าที่เดาว่าอายุคงราว ๆ ๒๐-๒๔ ปี

ฉันเดินสังเกตอยู่พักหนึ่ง หนุ่มสาวเหล่านั้นเต็มไปด้วยประกายความฝัน สนุกสนานกับการประกอบธุรกิจเล็ก ๆ ตรงหน้า ท่าทางของพวกเขาดูทะมัดทะแมง พูดคุยต่อรองราคากับลูกค้าและทอนเงินได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวราวกับมืออาชีพ และดูจะภูมิใจกับธุรกิจที่สร้างรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่เห็นว่าการขายของริมฟุตบาทเป็นเรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด

หลายแผงวางสินค้าแบบง่าย ๆ ที่ใช้เวลาว่างประดิษฐ์ขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นสายสร้อยข้อมือ-ข้อเท้า โปสการ์ด ภาพถ่ายที่เจ้าตัวถ่ายเองขายเอง รวมไปถึงเสื้อยืดและเครื่องประดับทำมือ หลายคนหน้าตาดี รูปร่างดี ไม่แพ้สาว ๆ พริตตี้ โคโยตี้ ที่ฉันได้รู้จัก หรือนี่คือทางเลือกที่สาว ๆ เหล่านั้นไม่ได้เลือก…

อาจเพราะสังคมปัจจุบันเน้นการบริโภคที่ฉาบฉวย ฟุ่มเฟือย และฟุ้งเฟ้อ วัยรุ่นหลายคนหลงใหลไปกับสภาพแวดล้อมเช่นนั้น จนลืมนำเอาคุณค่า ศักยภาพ และความสามารถที่มีอยู่ในตัวเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์

“เงินอาจเป็นสิ่งที่เราทุกผู้ทุกคนอยากได้ แต่วิธีใดเล่า…ที่เราจะได้มันมา”