เรื่องและภาพลายเส้น : หอยทากตัวนั้น

คุณผู้อ่านที่รัก

incaโลกร้อนและความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศธาตุสี่ทำให้ใครหลายคนบนโลก นึกไปถึงเรื่องปฏิทินโบราณของชาวมายันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

กล่าวขานกันว่าปฏิทินมายันเป็นปฏิทินแม่นยำและถูกต้องนัก เพราะเหตุนี้เมื่อปฏิทินมายันหยุดอยู่แค่วันที่ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๑๒ หลายคนจึงคิดว่ามันอาจเป็นวันสุดท้ายของโลก หรือเป็นวันที่แผ่นน้ำ แผ่นดิน แผ่นฟ้า เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ชนิดสุดจินตนาการ ไม่ว่าจะเป็นอะไรแน่ ทั้งหมดนั้นก็น่าจะส่งผลต่อมนุษย์ที่ยังไงก็ยังต้องอาศัยอยู่บนโลก

เราคนไทยอยู่ไกลโพ้นจากอเมริกาใต้ทั้งทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมแถมยังต้องพัวพันอยู่กับความวุ่นวายหลายมิตินัก จึงอาจมีไม่กี่คนที่ใส่ใจปฏิทินที่ว่า หรือแม้แต่จะรับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของข่าวสารที่ส่งมาจากโบราณกาลชนิดนี้

แต่นักข่าวอิสระชาวอังกฤษอย่าง นิโคลา เกรย์ดอน สงสัยเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เขาจึงพยายามหาคำตอบเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ที่มีคนทำนายกันไปต่างๆ นานา

หนึ่งในบุคคลที่นิโคลาอยากถามเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของอินเดียนเผ่าโตลเตกา-ชิชิเมกาแห่งทวีปอเมริกาใต้ นาม มาเอสโตรคล็อกอิเอลเอล (Maestro Tlakaelel มาเอสโตรหมายถึงครูหรืออาจารย์) วัย ๘๘ ปี

เมื่อปีที่แล้ว นิโคลาแล่นไปถึงแอริโซนาเพื่อขอสัมภาษณ์อย่างน้อยสองหน หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเพิ่งหายจากมะเร็งไม่นาน และเสร็จจากการเดินทางแสดงปาฐกถารอบโลก

ผู้เฒ่าผู้นี้เป็นใครกัน นักข่าวสายสิ่งแวดล้อมจากโลกที่หนึ่งถึงต้องตามหา

ชื่อเดิม ฟรานซิสโก ฆิเมเนซ ซานเชซ เกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้เม็กซิโกซิตี เมืองหลวงของประเทศโลกที่สามอย่างเม็กซิโก ในสายตระกูลที่สืบทอดประเพณีมุขปาฐะ (ที่บางคนถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริง) ปราชญ์ชนเผ่าและหมอพื้นบ้านคนนี้ไม่ได้เข้าเรียนตามระบบการศึกษาแผนใหม่ แต่เรียนรู้ภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดจากผู้เฒ่ารุ่นก่อนๆ

ปัจจุบันท่านเป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณในศาสนาของชาวเม็กซิกันพื้นเมือง เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิมและองค์กรที่ทำงานเพื่อสันติภาพหลายแห่ง เป็นนักเขียน เคยรับเชิญไปบรรยายที่เอ็มไอที ฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ร่วมกับหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงในอเมริกาเพื่อการรวมชนพื้นเมืองของทวีปอเมริกาเหนือและใต้ให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจในการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสันติภาพและการพิทักษ์รักษา “แม่โลก”

เกียรติคุณมากมายขนาดนี้ นิโคลาจึงหวังให้ท่านผู้เฒ่าตอบคำถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปลายปี ๒๐๑๒ บ้าง หรืออย่างน้อยก็บอกหน่อยว่าเขาจะต้องหนีไปอยู่ไหนดี แต่คำตอบที่ผู้เฒ่าให้ ดูจะไม่เป็นคำตอบชนิดที่เขาอยากได้นัก

“เราไม่ได้ต่างอะไรจากดวงวิญญาณ เราคือดวงวิญญาณ ฉันไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอเห็น ฉันไม่ใช่ร่างกายนี้ ฉันเป็นดวงวิญญาณภายในร่างกายนี้ ในไม่ช้าฉันจะเป็นอิสระและไปรวมตัวเองกับดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่ ฉันจะถูกปลดปล่อยจากคุก”

“ไม่มีสิ่งใดถูกทำลายไป ความตายไม่ได้มีอยู่ ทุกสิ่งคือการแปรเปลี่ยน ความตายเป็นหนทางธรรมชาติ เป็นก้าวหนึ่งก้าวเหมือนกับการเกิด เป็นบางสิ่งที่เราจำต้องยอมรับด้วยความเบิกบาน แน่นอนว่ามันเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ยากลำบาก”

“อะไรคือชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ? เราไม่เคยถามคำถามนี้เลย เราถามกันอยู่เรื่อยเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง–ว่าเราเป็นใคร เราจะไปที่ไหน แต่น้อยนักที่เราจะถามถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสปีชีส์ของเรา”

“บรรพบุรุษของเรารู้คำตอบนี้แล้วพวกเขารู้ว่ามนุษยชาติมาสู่โลกเพื่อเสาะหาความสมบูรณ์ด้วยการพัฒนาตนเอง ความสมบูรณ์นั้นจะมาถึงก็เมื่อมนุษย์มีความสามารถที่จะสร้างทุกสิ่งที่เขาคิดขึ้นในใจได้”

“เราคือขุมทรัพย์ทางพันธุกรรม ขณะปฏิสนธิเราก็นำประสบการณ์ทั้งหมดรวมกันของบรรพบุรุษมาสู่โลกนี้ เราจะส่งผ่านขุมทรัพย์นี้ต่อไปยังลูกหลานของเรา พวกเขาจะดีกว่าที่เราเป็น และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า”

“เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าเราเป็นข้อต่อหนึ่งในสายโซ่แห่งวิวัฒนาการที่จะนำไปสู่สิ่งมีชีวิตแห่งอนาคตที่ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้”

นั่นคือการสนทนาครั้งแรกของชายต่างวัย นิโคลานึกในใจว่าตัวเองกำลังนั่งฟังท่านผู้เฒ่าพูดถึงศักยภาพของมนุษย์มากกว่าหายนะของสิ่งแวดล้อม เขาจึงขอนัดหมายอีกเพื่อให้มาเอสโตรตอบคำถามเดิมให้ได้ แต่นัดครั้งถัดมาทุกอย่างก็เป็นไปเหมือนเดิม

“ฉันคิดว่านี่เป็นอนาคตของมนุษยชาติ ผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ จะตระหนักว่าเราคือพลเมืองของจักรวาล โลกใบนี้เป็นบ้านสำหรับทุกคน ไม่ใช่สำหรับคนส่วนน้อย แต่สำหรับทุกสีผิว”

“พวกเขาจะตระหนักว่าโลกนี้เป็นแม่ของเรา ไม่ใช่เฉพาะในด้านกายภาพ หรือในด้านความรู้สึก หรืออารมณ์เท่านั้น แต่เป็นในทางจิตวิญญาณและความสมบูรณ์ เรามีชีวิตอยู่เพื่อขอบคุณโลก เรากำลังจะไปสู่ช่วงเวลาของการตื่นรู้ ช่วงเวลาที่เราจำเป็นต้องตระหนักถึงชะตากรรมของตัวเองในฐานะที่เป็นสปีชีส์หนึ่ง”

“เราเป็นเผ่าเดียวกันทั้งหมด-เผ่าพันธุ์มนุษยชาติ-และโลกนี้คือบ้านของเรา เราทุกคนก็เป็นชนพื้นเมืองเหมือนกันหมด เราจึงมีชะตากรรมร่วมกัน”

อีกครั้งที่นิโคลาหยอดคำถามเกี่ยวกับวิกฤตด้านนิเวศ แต่ปราชญ์ชรากลับตอบด้วยคำพูดที่ “หัวหน้าซีแอตเทิล” ตอบคนผิวขาวเมื่อพวกเขาขอให้อินเดียนแดงขายที่ดินให้

“คำพูดของหัวหน้าซีแอตเทิลเป็นดังเพลงสวดสำหรับคนของเรา ท่านพูดว่า “ขอโทษที แต่ข้าไม่เข้าใจว่าใครจะขายแผ่นดินนี้ได้ แผ่นดินไม่ได้เป็นของมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่เป็นของแผ่นดิน ใครกันจะขายเสียงพึมพำของนานาแมลง น้ำในแม่น้ำ หรือกลิ่นของไม้สนได้ โลกนี้เป็นแม่ของเรา ใครจะขายแม่ของตัวเองได้”

“พวกคุณอยู่กันอย่างทับถมในสิ่งที่คุณเรียกว่าเมือง สักวันหนึ่งคุณจะจมอยู่ในของเสียของตัวเอง”

แล้วคนอย่างพวกเราต้องทำอะไรบ้างหรือ

“ทั้งหมดที่เราจำเป็นต้องทำ” ท่านผู้เฒ่าตอบ “คือเชื่อมโยงตัวเองกับโลกอีกครั้ง กับชีวิตสัตว์ กับชีวิตพืช กับชีวิตของแร่ธาตุ และผู้คนทั้งหมดทั้ง ๔ สีผิว-ผิวแดง ผิวขาว ผิวเหลือง ผิวดำ…มันเป็นเรื่องธรรมดามาก และเราจะตระหนักว่าเราถูกสร้างขึ้นโดยผู้สร้างเดียวกัน”

“เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าขณะที่เราเดินบนโลก เราได้เดินบนเถ้ากระดูกของบิดามารดารุ่นก่อนๆ ในปฐมกาลมีแผ่นดินเกิดขึ้น แล้วมีพืช และสัตว์ซึ่งล้มตาย ทุกครั้งที่พืชและสัตว์ตายลงก็จะกลับเป็นผงธุลี จากนั้นมนุษย์ก็เริ่มเดินบนแผ่นดิน มนุษย์ได้ตายและกลับคืนสู่โลกเหมือนกัน พื้นผิวอันอุดมทับถมเจริญขึ้นเรื่อยๆ ก็จากความตายเหล่านี้เอง ดังนั้นเราจึงอาศัยอยู่บนชั้นพื้นผิวของเถ้ากระดูกบรรพบุรุษของเรา”

“โลกสร้างเราและรับเรากลับไป โลกเป็นแม่ของเราและเป็นบรรพบุรุษของเรา”

“นี้เป็นความรักสูงสุดที่ปรากฏอยู่ในทุกสิ่ง : ทางกายภาพ ทางเคมี ทางอารมณ์ ทางจิตวิญญาณ และเราทั้งหมดก็กำลังเดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน”

นิโคลายังไม่ยอมแพ้ “แล้วเรื่องวันสิ้นสุดของโลกล่ะ แล้วเรื่องคำทำนายของปี ๒๐๑๒ ล่ะ”

“อย่ากลัวไปเลย” ผู้เฒ่าเอ่ย “โลกนี้ไม่ได้กำลังจะสิ้นสุดลงหรอก แต่การเปลี่ยนครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง เรากำลังอยู่ในกระบวนการของการแปรเปลี่ยน เรากำลังจะได้เห็นความเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ และเมื่อดวงอาทิตย์ดับลง ปฏิทินก็จะสิ้นสุด”

. . .

เมื่อโลกร้อนและความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศธาตุสี่ปรากฏให้เห็นถี่ขึ้น ผู้คนพยายามหาคำตอบ-ไม่เพียงแต่จากวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าคำตอบของท่านผู้เฒ่าจะเป็นที่พอใจของนิโคลาและคุณผู้อ่านหรือไม่ โลกร้อนจะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายจริงหรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก ๔ ปีข้างหน้า แต่คำของผู้เฒ่าที่เราก็เพิ่งรู้จักชื่อคนนี้ ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าคิดน่าเข้าใจ

เพราะคำพูดที่ดวงตาไม่อาจเห็นได้นี้ อาจกลายเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็ได้