จาก คอลัมน์ ริมธาร
รินใจ

rimtarn

หากตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ไม่ถูกเครื่องบินพุ่งชนจนถล่มทลายเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว แฟนหนังสไปเดอร์แมนจะต้องได้เห็นพระเอกของพวกเขาปีนป่ายตึกแฝดหรือเหินโจนฝ่าอากาศระหว่างตึกอย่างน่าหวาดเสียว แต่ฉากดังกล่าวถูกตัดไปหลังจากเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑

มีน้อยคนที่รู้ว่าเมื่อ ๓๔ ปีที่แล้ว เคยมีคนจริงๆ ตัวเป็นๆ เดินฝ่าอากาศระหว่างยอดตึกแฝด ไม่ใช่เดินแค่เที่ยวเดียว แต่เดินไปมาหลายเที่ยว โดยมีเส้นลวดสลิงรองรับฝ่าเท้าของเขาเท่านั้น

ฟีลิปป์ เปอตีต์ มีความใฝ่ฝันที่จะเดินไต่ลวดระหว่างยอดตึกแฝดทันทีที่เขารู้ข่าวว่ามีการก่อสร้างตึกดังกล่าว ก่อนหน้านั้นหนุ่มฝรั่งเศสผู้นี้เคยเดินระหว่างยอดหอสูงของวิหารนอเตรอะดาม รวมทั้งเสี่ยงอันตรายเหนือสะพานอ่าวซิดนีย์มาแล้ว แต่ทั้งสองแห่งเทียบไม่ได้เลยกับตึกแฝดที่นิวยอร์กซึ่งสูงถึง ๔๐๐ เมตร

เขากับเพื่อนๆ ลักลอบเข้าไปในตึกแฝดซึ่งยังก่อสร้างไม่เสร็จดี เมื่อขึ้นไปถึงดาดฟ้าก็รอจนค่ำ จากนั้นก็ขึงลวดสลิงโดยผูกกับลูกธนูแล้วยิงข้ามตึก พอรุ่งสางเขาก็เริ่มเดิน เขามีเพียงไม้ยาวอยู่ในมือเพื่อเลี้ยงตัวให้สมดุล บนนั้นบรรยากาศสงบอย่างยิ่ง ตรงข้ามกับข้างล่างซึ่งมีคนนับพันส่งเสียงเอะอะโวยวายด้วยความงงงันเมื่อเงยหน้าเห็นสิ่งแปลกประหลาดข้างบน

ทั้งๆ ที่รู้ว่าตำรวจกำลังมา แต่เปอตีต์เดินอย่างสงบไม่วอกแวก เมื่อเดินถึงยอดตึกฝั่งตรงข้าม เขาก็เดินย้อนกลับไปทางเก่า ทำเช่นนี้ไปได้ไม่นานก็เห็นตำรวจมายืนคอยเขาอยู่ที่ปลายลวด แต่เขาก็ยังไม่เลิกเดิน พอถึงปลายลวด ตำรวจพยายามคว้าตัวเขาเอาไว้ แต่เขาก็กลับตัวกลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว แล้วเดินไปยังตึกตรงข้าม เปอตีต์เดินไปมาเช่นนี้ถึง ๘ เที่ยว อยู่กลางอากาศอย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนานถึง ๔๕ นาทีจึงยอมให้ตำรวจจับในที่สุด

เขาให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่าเขาเพียงแค่อยากเดิน ไม่ได้อยากดังหรืออยากรวย เขารู้สึกว่าตึกแฝด ” เลือก” เขา แล้วเขาก็พบว่านั่นเป็นประสบการณ์ที่สร้าง ” ความใกล้ชิดสนิทแนบระหว่างผมกับตึกแฝด”

ลองนึกภาพว่าคุณอยู่บนยอดตึกสูงเกือบครึ่งกิโลเมตรแล้วมองลงมาข้างล่าง เท่านี้หัวใจคุณก็คงเต้นแรงและรู้สึกเสียววาบจนทนมองต่อไปไม่ได้ต้องเบือนหน้าหนี แต่เปอตีต์กลับกล้าที่จะทำยิ่งกว่านั้น ซึ่งเป็นการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน พลาดเพียงนิดเดียวหมายถึงตาย

เปอตีต์บอกว่าขณะอยู่บนนั้น เขาไม่เคยคิดถึงความตายเลย ในความรับรู้ของเขา โลกทั้งโลกตอนนั้นคงมีแต่ตัวเขากับเส้นลวดเท่านั้น เขาจึงมีสมาธิแน่วแน่อยู่กับการไต่ลวด

แม้จุดหมายจะอยู่ที่ยอดตึกฝั่งตรงข้าม แต่ขณะไต่ลวด เขาไม่ได้นึกถึงยอดตึกเลยด้วยซ้ำ เขาเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ตอนอยู่กลางอากาศนั้นใจเขาจดจ่ออยู่แค่ก้าวเท้าข้างหนึ่งมาข้างหน้าเท้าอีกข้างหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้นเลย สำหรับเขา ” ชีวิตอยู่ที่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้เท่านั้น”

เป็นเพราะใจจดจ่ออยู่แค่แต่ละก้าวๆ หรือ ” ตรงนี้และเดี๋ยวนี้” เท่านั้น เขาจึงแคล้วคลาดจากอันตราย ประสบการณ์ดังกล่าวไม่เพียงเป็นประโยชน์สำหรับนักไต่ลวดเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อคิดที่สำคัญมากสำหรับทุกคนด้วย

เปอตีต์เป็นตัวอย่างของผู้ทำสิ่งยากที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ให้สำเร็จได้ด้วยการจดจ่ออยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” คือทำแต่ละก้าวให้ดีที่สุด ในการทำงานก็เช่นกัน ไม่ว่างานจะยากและใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม มันจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเราจดจ่ออยู่กับการทำแต่ละชั่วโมง แต่ละนาที และแต่ละวินาทีให้ดีที่สุด มิใช่มัวคิดถึงเป้าหมายหรือผลสำเร็จข้างหน้า ตรงกันข้ามการคิดถึงเป้าหมายที่ยังอยู่อีกไกล มีแต่จะทำให้ใจกังวลท้อแท้ พานให้อยากวางมือกลางคันด้วยซ้ำ

เวลาเดินทางไกล ถ้าใจนึกถึงจุดหมายปลายทางข้างหน้าตลอดเวลา จะรู้สึกว่าถึงช้าเหลือเกิน ปฏิกิริยาต่อมาคืออยากให้ถึงไวๆ และเมื่อไม่เป็นไปดั่งใจ ก็จะเริ่มบ่นว่าเมื่อไรจะถึงๆๆๆ ยิ่งบ่นก็ยิ่งร้อนใจ ทั้งๆ ที่ต้องการไปพักผ่อนหย่อนใจ แต่กลับทุกข์ตั้งแต่เริ่มเดินทางเสียแล้ว จะไม่ดีกว่าหรือหากพาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน นั่งอ่านหนังสือ หรือชื่นชมธรรมชาติสองข้างทางก็ได้ ยิ่งอยู่กับปัจจุบันมากเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกโปร่งเบา และรู้สึกว่าถึงเป้าหมายเร็วกว่าที่คิด

ในยามวิกฤตก็เช่นกัน แม้ข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่จะไปกังวลถึงมันทำไม ในเมื่อมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ควรทำในปัจจุบัน และเมื่อลงมือทำสิ่งใดก็ควรทุ่มเทความใส่ใจลงไปในสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ ทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ดีที่สุด เมื่อเสร็จชิ้นหนึ่งก็ต่ออีกชิ้นหนึ่ง โดยไม่กังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากผิดพลาดหรือล้มเหลว หากเปอตีต์คิดถึงร่างของตัวที่ตกกระแทกพื้นจนแหลกเหลวเพราะก้าวพลาด เขาคงก้าวพลาดจริงๆ เพราะใจไม่มีสมาธิอีกต่อไป

แต่ไม่ว่าจะมีวิกฤตรออยู่เบื้องหน้าหรือไม่ กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วเราทุกคนก็ไม่ต่างจากนักไต่ลวด เพราะชีวิตของเราอยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลา เป็นแต่จะรู้ตัวหรือไม่ แค่กดสวิตช์ไฟโดยไม่ระวังตัวก็อาจถูกไฟช็อร์ตถึงตายได้ ขับรถแต่ละวินาทีมีสิทธิ์รับเคราะห์จากอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา บางคนยืนอยู่ตรงเส้นกลางถนนเพื่อเตรียมข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง จู่ๆ ก็มีรถแล่นมาเฉี่ยวข้างหลังจนหัวฟาดพื้น หรือนอนอยู่ดีๆ หัวใจก็หยุดเต้น หมดลมโดยไม่ทันได้ร่ำลาใครทั้งนั้น

ดังนั้นการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด จึงเป็นหลักประกันอย่างเดียวในชีวิตว่า สิ่งที่ฝันใฝ่จะเป็นจริงได้ เพราะปัจจุบันคือสิ่งเดียวที่เรามีอยู่และสามารถทำอะไรได้ อดีตนั้นผ่านไปแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ส่วนอนาคตก็ยังมาไม่ถึง และจะมาถึงในลักษณะใดก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้ อย่าว่าแต่จะจัดการเลย (ภาษิตทิเบตกล่าวว่า ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะมาถึงก่อน) แน่นอนว่าการวางแผนถึงอนาคตเป็นสิ่งดี แต่เมื่อถึงเวลาลงมือทำก็ควรใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ดีที่สุด ซึ่งรวมถึงภาระหน้าที่ที่กำลังมีอยู่ด้วย

มีคนไม่น้อยใช้เวลามากมายในการตามล่าหาฝัน หมกมุ่นอยู่กับการสร้างอนาคตที่วาดหวังให้เป็นจริง แต่กลับละเลยปัจจุบัน ลืมครอบครัว ลืมสุขภาพ ลืมกายลืมใจ แล้ววันหนึ่งก็พบว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้าย ไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่วาดหวัง ถึงตอนนั้นจึงเสียใจที่ให้เวลาน้อยมากกับลูกๆ และพ่อแม่ แต่ครั้นจะขอเวลาเพิ่มเพื่ออยู่กับพวกเขาให้มากขึ้นก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะเวลาที่อยู่บนโลกนี้ใกล้จะหมดแล้ว

จดจ่อใส่ใจกับแต่ละก้าวให้ดีที่สุด ย่อมถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด แต่หากมีเหตุพลิกผันไปไม่ถึง อย่างน้อยก็ยังได้รับความสุขในปัจจุบัน เพราะทุกขณะแห่งปัจจุบันมีความสุขรอให้เราเก็บเกี่ยวเสมอ ตรงกันข้าม หากหมกมุ่นอยู่กับอนาคต หวังแต่ความสุขข้างหน้านอกจากจะพลาดความสุขในปัจจุบันแล้ว แม้แต่ความสุขข้างหน้าที่วาดหวังก็อาจไม่ได้รับเช่นเดียวกัน เพราะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

สามสิบสี่ปีหลังจากประสบความสำเร็จอันงดงาม มีคนถามเปอตีต์ว่า รู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาตอบว่าเขาไม่เคยมองเลยว่าความสำเร็จครั้งนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา ” สำหรับผม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตผมคือวันนี้ ผมไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ช่วงเวลานั้นเลย”

วันนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคุณ อย่าให้อดีตไม่ว่างดงามหรือเจ็บปวดแย่งชิงคุณไปจากปัจจุบัน และอย่าทิ้งปัจจุบันไปอยู่กับอนาคต ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตก็จะงดงามเอง