ปัน หลั่งน้ำสังข์ : เรื่อง
ณัฐรัตน์ ธรรมวงค์ : ภาพ

นักแก้ไขการพูด ผู้รักษา (มากกว่า) คำพูด
เด็กที่มารับการรักษาด้านภาษาและการพูด เล่นอยู่กับนักศึกษาภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย ขั้นตอนหนึ่งในการสร้างความไว้ใจก่อนดำเนินการฝึกพูด

คำพูด…พูดที่ดี…เปี่ยน…ชีวิดคน…มีสำนวน…สำนวนไทย…มากมาย…พะ…พะยายาม…บอก…ทั้ง…พูดดี…เป็นสี…แก่ปาก…หรือ…ปากเป็นเอก…เลก…เลก…เป็นโท…แต่…แต่ไม่ใช่…ทุกคน…ทำ…เรื่องนี้…ได้…ง่าย

ติดอ่าง พูดไม่ชัด พัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้า เสียงผิดปรกติ พูดโดยไร้กล่องเสียง ภาวะเสียการสื่อความหรืออะเฟเซีย กลุ่มอาการเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่ทำให้ผู้สื่อความนับแสนทั่วประเทศทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่สามารถเผยความรู้สึกนึกคิดภายในที่แท้จริงได้ครบถ้วน เกิดอาการสูญเสียความมั่นใจ อึดอัด ไม่กล้าปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และพลาดโอกาสมหาศาลในการเรียนรู้พัฒนาศักยภาพของตนเอง

แต่พวกเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แท้จริงแล้วโลกใบนี้ยังมีอีกหนึ่งวิชาชีพที่ยินดีตั้งใจรับฟังและคอยอยู่เคียงข้างพวกเขา เคียงคู่ไปกับแพทย์ผู้รักษาโรค

วิชาชีพนั้นคือนักแก้ไขการพูด (Speech-Language Pathologist)

“งานของเราคือทำให้พวกเขาเชื่อในคำพูดตัวเอง และทำให้เขารู้ว่ามีเพื่อนคอยรับฟังอยู่” ไลโอเนล ล็อก ผู้ปฏิบัติหน้าที่คล้ายนักแก้ไขการพูด นิยามภารกิจของตัวเองขณะฝึกพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ที่ทุกข์ทรมานจากอาการติดอ่าง ให้พูดสุนทรพจน์ได้ในภาพยนตร์เรื่อง The King’s Speech ที่อิงจากโครงเรื่องจริง

ในประเทศไทย ปัจจุบันมีนักแก้ไขการพูดที่ทำหน้าที่เช่นนั้นเป็นชีวิต บำบัดรักษาความบกพร่องทางการพูดและภาษา ให้ผู้คนประกาศก้องเสียงข้างในออกมาสู่โลกภายนอกอย่างไม่ไร้ความหมาย ราว 200 คน กระจายตัวอยู่ตามโรงพยาบาลและคลินิก โดยมีสถาบันที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาบุคลากรวิชาชีพนี้คือ ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล (RACD โดย RA ย่อมาจากโรงพยาบาลรามาธิบดี และ CD ย่อมาจาก Communication Disorders)

RACD เปิดสอนระดับปริญญาโทด้านนี้เป็นแห่งแรกในไทย เมื่อxu 2519 และเปิดสอนระดับปริญญาตรีเป็นแห่งเดียวในประเทศ พัฒนาทั้งนักแก้ไขการพูดและนักแก้ไขการได้ยินสู่สังคมมา 17 รุ่น ตั้งแต่ปี 2547 รวมถึงเปิดให้บริการการรักษาแก่ประชาชน

ทั้งหมดนี้ปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารของ ดร.นิตยา เกษมโกสินทร์ หัวหน้าภาควิชา ผู้เปิดประตูพาเราเดินผ่านผู้มารับการรักษา ทั้งเด็กวัยซนที่วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน และผู้ใหญ่วัยชราบนวีลแชร์ เข้าสู่ “ห้องฝึกพูด” ที่เงียบสงบด้วยความยินดี

ภายในห้องเรียบๆ มีกระจกใสและไมโครโฟนติดตั้ง นิตยาเล่าประสบการณ์และสะท้อนชีวิตของวิชาชีพที่หลายคนสงสัยว่าทำอะไรบ้าง ซึ่งเธอพูดได้อย่างเต็มปากว่า “เป็นงานที่มีความหมายและได้เรียนรู้ตลอดเวลา”

อาจเพราะนี่เป็นงานที่ไม่ผิดสัญญาใคร ได้รักษาคำพูดคนอื่น ด้วยทั้งชีวิตการทำงานของตัวเอง

proofread02
ห้องฝึกพูดสีสันสดใส โดดเด่นและแปลกตาด้วยไมโครโฟนที่ติดกับกระจกสะท้อน

ก่อนจะพูดได้ว่าเป็นนักแก้ไขการพูด

“นักแก้ไขการพูดไม่ได้ดูแค่เรื่องพูดได้ พูดไม่ได้” นิตยาเผยสิ่งที่คนมักเข้าใจไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับวิชาชีพนี้

เพราะก่อนที่มนุษย์สักคนจะเอื้อนเอ่ยเสียงออกมาเป็นภาษาสังคมอย่างมีความหมาย เบื้องหลังมีกระบวนการซับซ้อนมากมายซ่อนอยู่

“หน้าที่ของเราคือมองลึกเข้าไปถึงระดับการรับรู้และเข้าใจภาษา (receptive) และการแสดงออกทั้งด้านอารมณ์และความคิด (expressive) ดูว่าผู้ป่วยมีสิ่งที่บกพร่องอย่างไร การประมวลผลและพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมเหมาะกับวัยไหม การสั่งการร่างกาย แววตา ท่าทางและน้ำเสียงเป็นไปตามปรกติหรือเปล่า”

ด้วยความรับผิดชอบที่มากกว่าการรักษาคำพูด ทำให้ก่อนใครจะก้าวเข้ามาในวิชาชีพ ต้องผ่านการเคี่ยวกรำที่เข้มข้นอย่างการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 4 ปีทางด้านนี้โดยตรง หรือเรียนด้านที่เกี่ยวข้อง เช่นกายภาพบำบัดหรือจิตวิทยา แล้วศึกษาต่อระดับปริญญาโท พร้อมสอบใบประกอบโรคศิลปะเมื่อสำเร็จการศึกษา

ยุ้ย-ณิชาภัทร จงจิตต์ นักแก้ไขการพูดประจำสถาบันราชานุกูลและลูกศิษย์รุ่น 13 อาสากางหลักสูตรปริญญาตรีที่เธอร่ำเรียนมาให้เราเห็นว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรบ้างก่อนพร้อมทำงาน

เริ่มตั้งแต่วิชากายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา และระบบประสาทของกลไกการพูดและการได้ยิน เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างและการทำงานของระบบที่อยู่เบื้องหลังการได้ยินและการพูด เช่น หู ฟัน ขากรรไกร เพดานแข็งและอ่อน กล้ามเนื้อต่างๆ ซึ่งล้วนสัมพันธ์กัน
มีเรียนเรื่องโรคหู คอ จมูก เพื่อสามารถทำงานร่วมกับแพทย์ที่วินิจฉัยหรือทำการผ่าตัดผู้ป่วยที่เป็นโรค เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ หรือไร้กล่องเสียงจากการผ่าตัดมะเร็ง

ไปจนถึงการเรียนภาษาศาสตร์ พื้นฐานทางเสียง และวิธีประเมิน ฝึกฟื้นฟูความบกพร่องทางด้านภาษาและการพูด ลงลึกไปเข้าใจกลุ่มคนที่มีโอกาสมีอาการเหล่านี้สูง เช่น กลุ่มเด็กออทิสติกและบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disorder) ผู้ใหญ่ที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนเสียหาย

ปิดท้ายด้วยการลงสนาม ฝึกปฏิบัติกับผู้ป่วยตัวจริงเสียงจริงเป็นปี จนชำนาญและให้คำปรึกษาเป็น

“เป็นวิชาชีพที่ต้องละเอียดและรอบรู้มาก แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ คงเชี่ยวชาญขึ้น อย่างอาจารย์นิตยา หลับตาฟังผู้ป่วยพูดเล็กน้อยก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นอะไร ต้องแก้อย่างไร” ยุ้ยเล่าถึงอาจารย์ของเธอที่ดูแลผู้ป่วยมานับไม่ถ้วน

พูดพร้อมกันอย่างเข้าใจ

สมาคมการพูด ภาษาและโสตสัมผัสวิทยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (ASHA) แบ่งประเภทความผิดปรกติของการสื่อความหมายที่เกี่ยวกับการพูดไว้สี่ประเภทหลัก

หนึ่ง การพูด (speech) แบ่งย่อยเป็นพูดไม่ชัด เสียงผิดปรกติ และจังหวะการพูดผิดปรกติ

สอง ภาษา (language) เช่น พัฒนาการทางภาษาล่าช้า ทักษะการเข้าใจภาษาบกพร่อง

สาม การได้ยิน เช่นประสาทหูพิการ ทำให้ไม่ได้ยินบางเสียงของผู้อื่น เกิดอาการเช่น พูดขึ้นจมูก มีพัฒนาการทางภาษาล่าช้าตามมา และสี่ การประมวลเสียงจากระบบประสาทส่วนกลาง

ที่ RACD พวกเขาเปิดรับรักษาอาการทุกประเภท นักแก้ไขการพูดจึงต้องพร้อมประเมินและวางแผนการรักษารูปแบบต่างๆ ในระยะยาวอยู่เสมอ ทำให้การทำงานไม่มีวันใดเหมือนกันเลย

เช่น นิตยาเพิ่งรักษาเด็กประสาทหูพิการที่พูดไม่ชัด ออกเสียง /พ/ เป็น /อ/ ทำให้พูดคำว่า “พ่อ” เป็น “อ้อ” อาจดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่เด็กเล็กมักจะถูกล้อเลียนจากเพื่อน จึงต้องฝึกให้เด็กรู้จักปิดปากและควบคุมลมให้ออกเสียง /พ/ ถูกต้องในขณะพูดอย่างสม่ำเสมอ

หรือก่อนหน้านี้มีชายวัยเกษียณมาพบด้วยอาการเสียงผิดปรกติ พูดเสียงแหลมคล้ายผู้หญิง ทั้งที่เคยมีเสียงทุ้มมาก่อน นิตยาจึงฝึกให้เขาหาระดับเสียงที่เหมาะสม จนพูดออกเสียงทุ้มได้อย่างมั่นใจในชีวิตประจำวัน

และอีกหนึ่งกลุ่มบุคคลที่นักแก้ไขการพูดทำงานด้วยอยู่บ่อยครั้งร่วมกับจิตแพทย์และกุมารแพทย์คือกลุ่มคนที่มีอาการออทิสติกและบกพร่องทางการเรียนรู้ ที่แม้ร่างกายจะเติบโตแล้ว ภายในอาจยังเป็นเด็กอยู่
ในกรณีนี้นักแก้ไขการพูดจะเล่นตามความสนใจของเด็กก่อน เมื่อเด็กรู้สึกรักและไว้ใจจึงค่อยสอนและพัฒนาการสื่อเพื่อแสดงความต้องการและความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้น จนเขาใช้ชีวิตยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองในสังคม

แต่ไม่ว่ากรณีใด สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือการฟังและพยายามเข้าอกเข้าใจ (empathy)

“บางคนเป็นผู้ใหญ่ที่เคยพูดได้ปรกติ ทำงานใหญ่โต มาวันนี้ทำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ และอาจมีปัญหาสภาวะจิตใจที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว เราต้องหาวิธีช่วยให้เขามีกำลังใจ อยากฝึกไปกับเรา” นิตยาเน้นย้ำ

โดยก่อนจะฝึกใครให้ได้ผลจริง นักแก้ไขการพูดยังต้องฝึกฝนทำความเข้าใจตัวเองไปพร้อมกัน

“เวลาจะฝึกผู้ป่วย เราต้องฝึกตัวเองให้เข้าใจท่าที่เหมาะสมกับเขาก่อน ดูว่าตรงไหนยากสำหรับเขา สังเกตพฤติกรรม ฟังเสียงที่ไม่ได้เปล่งออกมา กลับมาลองเองและไปสอนใหม่ แต่ละคนเลยเหมือนเป็นครูให้กับเราด้วย” นิตยาเล่ากระบวนการและสาธิตให้เราดู
จุดนี้อาจถือเป็นรางวัลสูงสุดของนักแก้ไขการพูด ที่ได้สร้างสัมพันธ์กับมนุษย์อีกคนหนึ่งผ่านการฝึกฝนสิ่งเดียวกัน ก้าวเดินและเติบโตข้ามผ่านปัญหาร่วมกัน

proofread04
กิจกรรมสำคัญคือการชวนเด็กเล่นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักแก้ไขการพูดกับเด็ก ช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย ขณะเดียวกันนักแก้ไขการพูดก็ได้สังเกตและประเมินพฤติกรรมของเด็ก

พูดในฐานะคนใกล้ชิด

30-45 นาที คือเวลามาตรฐานของการฝึกพูดแต่ละครั้งในห้องแห่งนี้ ซึ่งมีความหมาย แต่ไม่นาน

นักแก้ไขการพูดจึงต้องส่งต่อภารกิจและฝากความหวังไว้ที่อีกหนึ่งบุคคลสำคัญ

“การคุยกับคนใกล้ชิดสำคัญมาก เพราะผู้ป่วยอยู่กับเราสั้นๆ แต่เขาอยู่กับที่บ้านทุกวัน” นักแก้ไขการพูดแทบทุกคนที่เราคุยด้วยพูดเช่นนี้

หากคนใกล้ชิดไม่ช่วยฝึกอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี ผู้ป่วยจะพัฒนาได้ล่าช้าและส่งผลอื่นๆ ตามมา
เช่น เด็กอายุเกิน 2 ขวบไปแล้วยังไม่พูด เพราะไม่ได้รับการกระตุ้นให้สื่อสารความรู้สึกข้างในด้วยภาษา ขาดการปฏิสัมพันธ์หรือสลับบทบาทในการเล่น บางรายอายุ 15 ปีแล้ว แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ และไม่รู้จักว่าการรักใครสักคนเป็นอย่างไร เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เมื่อครอบครัวไม่ค่อยมีเวลาให้กัน หรือยังไม่รู้ว่าจะช่วยลูกเรียนรู้อย่างไร

ผู้ปกครองหรือครอบครัวจึงควรให้เวลา เรียนรู้ และสวมบทเป็นนักแก้ไขการพูดฝึกหัดไปพร้อมกันด้วย

“หลายคนพร้อมทำเพื่อลูก แต่อาจมองไม่เห็นหนทาง ไม่รู้ว่าแบบไหนที่เรียกว่า “เล่น” หรือ “ฟัง” เราก็ต้องแสดงให้ดูว่าเล่นคือแบบนี้ และคิดเผื่อว่าครอบครัวที่มีพื้นฐานทางสังคมแต่ละแบบ เขาจะกลับไปฝึกผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เป็นเหมือนโค้ชที่ทำงานร่วมกัน” นิตยาเสริม
ภายใต้ข้อกำจัดของแต่ละชีวิต นักแก้ไขการพูดต้องหาทางเลือกที่เหมาะสม และคอยติดตามผลกับผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด 

proofread05
นักแก้ไขการพูดกำลังฝึกให้เด็กผู้มารับการรักษาลองออกเสียงผ่านการพูดเป็นประโยค

พูดถึงอนาคตของเรา

3 : 1,000,000 คน

ตัวเลขนี้คืออัตราส่วนจำนวนนักแก้ไขการพูดต่อประชากรชาวไทยทั้งหมด แม้จะมีการเปิดสอนปริญญาโทเพิ่มที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว แต่ยังถือว่าขาดแคลน จึงเป็นภารกิจสำคัญของนิตยาและ RACD ในการผลักดันสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพต่อไป
นอกจากนี้ ในฐานะหัวหน้าภาควิชา นิตยายังต้องกำหนดวิสัยทัศน์และขับเคลื่อนภาพเหล่านั้นให้เกิดขึ้น

ในเชิงวิชาการ นักแก้ไขการพูดยังสามารถผลิตงานวิจัยที่มีคุณประโยชน์ร่วมกับวิชาชีพอื่นได้อีกมาก เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันประเมินเบาหวานจากเสียงพูดโดยไม่ต้องเจาะเลือด ร่วมกับแพทย์อายุรศาสตร์ หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เรื่องการรักษาความผิดปรกติทางภาษาให้กลายเป็นโครงการในโรงเรียนทั่วประเทศ

ส่วนในเชิงการบริหารงานก็ยังมีเรื่องให้ทำอีกมาก เช่นการพัฒนาให้ภาควิชาก้าวขึ้นเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านความผิดปรกติทางการสื่อความหมายของภูมิภาคอาเซียน

ทั้งหมดนี้ไม่ง่าย แต่ต้องทำ เพราะสำคัญ

“ช่วงนี้ต้องลงแรงเยอะ แต่เป็นธรรมชาติที่เราจะหยุดนิ่งไม่ได้ การศึกษามาควบคู่กับงานวิจัย งานวิจัยมาพร้อมกับการบริการ ต้องผลักดันไปพร้อมกัน ด้วยความร่วมมือของทุกคน” นิตยายิ้ม

proofread06
นอกห้องฝึกพูดติดกระจกมองเห็นด้านเดียว เป็นพื้นที่สังเกตการณ์สำหรับบุคลากรและผู้ปกครองสามารถมองดูผู้เข้ารับการรักษาจากข้างนอก ซึ่งต้องปิดไฟให้มืดเพื่อไม่ให้เกิดแสงรบกวนผู้รับการรักษา

พูดย้อนอดีต

ต้นไม้ที่เจริญเติบโตมักมีเมล็ดพันธุ์และรากที่แข็งแรง พร้อมได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี

สำหรับ RACD นิตยา และนักแก้ไขการพูดอีกหลายคน บุคคลที่ทำหน้าที่เช่นนั้นคือ ครูต้นแบบอย่าง รศ.ดร.รจนา ทรรทรานนท์ ผู้จบการศึกษาทางด้านแก้ไขการพูดเป็นคนแรกของประเทศ จากมหาวิทยาลัยเทมเปิล ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้ริเริ่มหลักสูตรความผิดปกติของการสื่อความหมาย ร่วมกับ .เกียรติคุณนพ.พูนพิศ อมาตยกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านแก้ไขการได้ยิน

“อาจารย์เป็นตัวอย่างของผู้ให้ที่มีความเมตตา” นิตยาเล่าความประทับใจ “อาจารย์ไม่ได้ดูแลลูกศิษย์แค่ด้านวิชาการ แต่ดูไปถึงการใช้ชีวิต ทุกวันนี้อาจารย์ก็ยังคงยินดีช่วยเหลือ เหมือนการให้สัมภาษณ์ในวันนี้”

“เราอยากให้สังคมเห็นความสำคัญของการสื่อความหมายระหว่างมนุษย์ได้อย่างชัดเจนและเข้าใจกัน” รจนาในวัย 78 ปี ต้อนรับเราเข้าสู่บ้านของเธออย่างเป็นกันเอง และเล่าย้อนถึงความคิดในวันเริ่มก่อร่างสร้างฐานของวิชาชีพในไทย

รจนาเป็นบัณฑิตครุศาสตร์ที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อ เคยเผชิญโจทย์ที่ท้าทายอย่างการฝึกคนต่างชาติที่เป็นออทิสติกให้พูดได้ชัดถ้อยชัดคำโดยแทบไม่มีเครื่องมือช่วย ก่อนนำประสบการณ์กลับมาจัดตั้งคลินิกในโรงพยาบาลรามาธิบดี ปี 2514 และเปิดหลักสูตรปริญญาโทในอีก 5 ปีต่อมา โดยมีนักศึกษารุ่นแรก 6 คน

สิ่งสำคัญที่รจนาทำวันนั้นคือการเปิดเส้นทางวิชาชีพให้เป็นที่รู้จัก

“ช่วงแรกน้อยคนที่จะรู้จักวิชาชีพนี้ เราทำกันอยู่สองคน ทั้งรักษาผู้ป่วย เลกเชอร์นักศึกษา แต่โชคดีที่ตอนนั้นมีคนเก่งๆ เริ่มกลับจากการเรียนต่อ พอเขารู้ว่าเราทำเรื่องนี้อยู่ก็เข้าหาเราและเต็มใจมาช่วยสอน เลยเป็นไปได้” รจนาเล่าด้วยความถ่อมตัว ในวันนั้นมีทั้งโสต ศอ นาสิกแพทย์ ศัลยแพทย์ ทันตแพทย์ รวมถึงนักการศึกษาพิเศษ และนักภาษาศาสตร์ ระดมกำลังกันในภารกิจนี้
แม้ไม่ได้เป็นแพทย์ แต่รจนาก็ได้รับการยอมรับและสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้คนในโรงพยาบาล และได้ไปสอนนักศึกษาแพทย์สถาบันอื่นด้วย เพราะต่างเล็งเห็นว่าเป็นอีกหนึ่งวิชาสำคัญ

การสร้างสายสัมพันธ์ในวันนั้น ส่งผลดีต่อการทำงานของนักแก้ไขการพูดในโรงพยาบาลถึงทุกวันนี้

ระหว่างทาง แม้มีอุปสรรคหลายอย่าง เช่นขาดแคลนบุคลากรประจำหน่วยงาน กว่าจะหาอาจารย์ประจำคนที่ 3 ได้ต้องใช้เวลาถึง 12 ปี แต่รจนาก็สามารถวางรากฐานวิชาชีพให้แข็งแรง ก่อนเกษียณในปี 2537

“อาจารย์รู้สึกอย่างไรกับภาควิชาและภาพรวมของวิชาชีพในตอนนี้” เราถามถึงความรู้สึกของผู้ริเริ่ม

“เคยคุยกับอาจารย์พูนพิศเรื่องนี้ อาจารย์ก็บอกว่าสบายใจแล้ว เพราะคนที่รับช่วงงานต่อมีแต่คนที่ดีและเข้มแข็ง อาจารย์เคยพูดไว้ด้วยว่า ตอนนี้นอนตายตาหลับแล้ว” อาจารย์ผู้มองภาควิชาอยู่ห่างๆ ตอบพร้อมรอยยิ้ม

proofread07
นักศึกษารายงานผลการสังเกตการณ์คนไข้ให้อาจารย์ผู้ดูแล

พูดทิ้งท้าย

“เมื่อเราดูแลผู้ป่วยให้พูดชัด พูดคำแรก อยู่ในสังคมและสื่อกับคนอื่นได้ มันเป็นความภาคภูมิใจ มีพ่อที่เคยมาหาเราด้วยความไม่คาดหวังว่าลูกที่เป็นออทิสติกจะไปได้ถึงไหน แต่วันนี้เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยได้อย่างดี” รจนาเล่าถึงช่วงเวลาประทับใจในวิชาชีพ ผู้ป่วยของเธอในวันนั้นต่างเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ของสังคมแล้ว

อาจด้วยเหตุผลนี้ เธอจึงสามารถพูดอย่างเต็มปากในงานวันเกษียณของตัวเองว่า “ไม่มีวันไหนที่ไม่อยากมาทำงาน” และบอกกับเราว่า “ที่ผ่านมา ไม่เคยสงสัยเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่”

“ไม่เคยตั้งคำถามกับงานนี้เหมือนกัน” นิตยาเอ่ยแบบเดียวกันกับอาจารย์ของเธอ “คำถามที่มีมักจะเป็น ทำไมผู้ป่วยคนนี้ถึงยังไม่ดีขึ้น แล้วต้องทำอย่างไรถึงช่วยเขาได้มากกว่า”

ในวันที่ยังมีเด็กและผู้ใหญ่อีกมากประสบปัญหาด้านการสื่อความหมาย ขาดคนเข้าใจ ไม่สามารถพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุด นักแก้ไขการพูดแบบรจนา นิตยา และอีก 200 กว่าคนทั่วประเทศ อาจเป็นความหวังสำคัญสำหรับพวกเขา

“งานนี้ทำให้เราพบว่า มนุษย์ทุกคนมีโอกาสการเรียนรู้และพร้อมจะสื่อความรู้สึกข้างใน ถ้าเราทำถูกวิธี ทำให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง เขาจะอยากก้าวต่อไปเรื่อยๆ และคนเหล่านี้จะเป็นอนาคตของสังคม” 

proofread08
หน่วยตรวจความผิดปกติของการสื่อความหมาย ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 อาคาร 4 ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

ผู้ประสงค์รับการปรึกษาและรักษาด้านการสื่อความหมาย ทั้งด้านการพูดและการได้ยิน 

ติดต่อสอบถามภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ที่อาคาร 4 ชั้น 4 เลขที่ 270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 (Google Maps:https://goo.gl/maps/ENNv7tWjyXqn2XiN9)

เปิดให้บริการในวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 08.00-16.30 น. และคลินิกพิเศษเปิดให้บริการในวันอังคาร 16.30-19.00 น. และวันเสาร์ 08.30-16.30 น.

เว็บไซต์: https://med.mahidol.ac.th/commdis/th

เฟซบุ๊ก: https://www.facebook.com/ramacommdis

หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ : 0-2201-1476 หรือ 0-2201-1448
หรือค้นหานักแก้ไขความผิดปกติของการสื่อความหมาย (ทั้งการได้ยินและการพูด) ใกล้พื้นที่ของคุณได้ที่ :https://www3.ra.mahidol.ac.th/alumni_services/

ผู้สนใจสมัครเรียนทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ติดตามข้อมูลและกำหนดการได้ ที่ https://graduate.mahidol.ac.th/thai/ และ ที่ https://med.mahidol.ac.th/commdis/th


— – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

ขอขอบคุณ

  • ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล (RACD)
  • รศ.ดร. รจนา ทรรทรานนท์ ผู้วางรากฐาน RACD และวิชาชีพนักแก้ไขการพูดในประเทศไทย
  • ดร. นิตยา เกษมโกสินทร์ หัวหน้า RACD คนปัจจุบัน
  • พิชญ์อาภา เดชเกตุ นักแก้ไขการพูด RACD และบัณฑิต RACD รุ่น 4
  • ณิชาภัทร จงจิตต์ นักแก้ไขการพูด สถาบันราชานุกูล และบัณฑิต RACD รุ่น 13
  • ณัฐนิช โกศินานนท์ นักศึกษา RACD
  • ศุภกิจ พัฒนพิฑูรย์

แหล่งข้อมูลประกอบการเขียน

  • สุมาลี ดีจงกิจ. ความผิดปกติของการสื่อความหมาย. 2550
  • คู่มือนักศึกษา 2563 หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาผิดปกติของการสื่อความหมาย (https://www.rama.mahidol.ac.th/commdis/sites/default/files/public/pdf/handbook%202563.pdf)
  • รายการ Rama Square ช่วงปากสวย-โสตใส ช่อง RAMA Channel (https://www.youtube.com/channel/UCabQKuyjJaOAfnQ4xeVtKUQ
  • เว็บไซต์ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล (https://med.mahidol.ac.th/commdis/th)