เรื่องและภาพ : ลิตา ศรีพัฒนาสกุล

บาร์นี่ ขอใช้ปีนี้…รักเธอให้ดีที่สุด

อยากให้ทุกคนมีโอกาสรู้จัก “บาร์นี่”

บาร์นี่คือแมวพันธุ์ Scottish Fold หูพับ สีขาวล้วน หน้ากลมและแบน จนมองดูเหมือนดั้งจมูกแทบจะเว้าเข้าไปในกะโหลกเสียด้วยซ้ำ

เราเจอกันครั้งแรกวันที่ 30 มิถุนายน 2556 ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่นัด “ดูตัวแมว” ของฟาร์มที่หาข้อมูลได้จากอินเทอร์เน็ต

การเจอกันวันนั้นขอเรียกว่าเป็น “รักแรกพบ”

ตอนเจ้าของฟาร์มอุ้มบาร์นี่ออกจากกรง แล้วส่งให้เรา บาร์นี่อยู่นิ่ง ไม่ร้อง ไม่ข่วน ไม่กลัว ได้แต่มองไปรอบๆ อย่างสงสัย และดูเหมือนกำลังคิดในใจว่า “นี่หรือดาวโลก?”

บาร์นี่ดูเหมือนเป็นแมวที่มาจากต่างดาวจริงๆ เพราะไม่ว่าหน้าตา ท่าทางหรือนิสัย ไม่มีความเป็นแมวนัก และจากประสบการณ์ที่เคยไปดูแมวมาหลายตัว ไม่มีใครเหมือนบาร์นี่เลย บางตัวหยุกหยิกไม่อยู่นิ่ง บางตัวกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าออกมาเจอหน้า ส่วนบางตัวกางเล็บข่วนคนแปลกหน้าทันที

แต่บาร์นี่นิ่ง เงียบ และงง อยู่ในอ้อมแขนเป็นนานสองนาน

bestyear02

หลังจากส่งบาร์นี่คืนให้เจ้าของฟาร์มและขับรถออกมาจากปั๊มน้ำมัน เรารู้อยู่แก่ใจว่า ไม่จำเป็นต้องตามไปดูตัวแมวจากฟาร์มอื่นๆ อีก แต่ก็ต้องชะงักลังเลใจ เมื่อได้รับโทรศัพท์จากแม่ที่โวยวายเสียงดัง พร้อมออกคำสั่งหนักแน่นว่า “ห้ามซื้อแมวเข้าบ้านเด็ดขาด!” เพราะสำหรับแม่การมีสัตว์เลี้ยงสักตัวถือเป็นการสร้างภาระโดยไม่จำเป็น

พอกลับถึงบ้านเรารีบเอารูปบาร์นี่ที่เพิ่งถ่ายมาสดๆ ร้อนๆ ให้แม่ดู เพียงได้เห็นหน้าบาร์นี่ แม่เริ่มตะโกนอีกครั้งว่า “โทรหาเค้าแล้วรีบวางมัดจำเดี๋ยวนี้! มัวทำอะไรอยู่?”…ภาระนี้คงเป็นเรื่องจำเป็นแล้วสินะ

บาร์นี่จึงเป็นแมวตัวแรกในชีวิตของเราและทุกคนรอบตัว เพราะก่อนหน้านี้ครอบครัวเราเลี้ยงแต่สุนัขมาตลอด แต่ก็ไม่มีใครมีปัญหากับการรับบาร์นี่เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว แม้แต่ญาติที่เกลียดและกลัวแมว ยังกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า บาร์นี่คือข้อยกเว้น

bestyear04
bestyear05

เพราะบาร์นี่ไม่ทำลายข้าวของ

ไม่ข่วนโซฟา

ไม่ปีนป่าย

ไม่ขึ้นที่สูง

ไม่กางเล็บออกมา

ไม่เรื่องมากเรื่องที่อยู่ที่กิน

ไม่กลัวคนแปลกหน้า

ไม่กลบฉี่

ไม่กลบอึ

ไม่มีความเป็นแมวอย่างที่ใครต่อใครว่าจริงๆ

จากวันที่บาร์นี่เข้ามาในชีวิตเราจนถึงวันนี้ก็ 7 ปีกว่าแล้ว ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาบาร์นี่ให้ความสุขกับคนมากมาย โดยเฉพาะเราและสามี ซึ่งมีบาร์นี่เป็นเสมือนลูกชาย ที่ขยันสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ครอบครัวเล็กๆ นี้อยู่เป็นประจำ

เรามองอนาคตกับแมวต่างดาวตัวนี้ไว้อีกอย่างน้อย 10 ปี เพราะเขาว่ากันว่าแมวอยู่ได้นานเกือบ 20 ปี

แต่เช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ทุกอย่างก็ล่มไม่เป็นท่า

วันนั้นเราต้องไปทำงานที่บุรีรัมย์ 1 วัน โดยต้องไปขึ้นเครื่องตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้บินกลับกรุงเทพฯในช่วงเย็นของวันเดียวกัน

เวลาประมาณ 10 โมง ขณะเรากำลังตั้งใจทำงาน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอเห็นเป็นเบอร์สามี ก็คาดว่าน่าจะโทรฯ มาถามสารทุกข์สุกดิบตามประสา แต่พอกดรับสายกลับได้ยินเสียงตึงเครียดและร้อนรนผิดปรกติ

“เธอ บาร์นี่เป็นอะไรไม่รู้ หอบ หายใจเร็ว ไปนอนอยู่หน้าบ้าน อาการดูไม่ดี เรากำลังพาไปโรงพยาบาล น่าจะฉุกเฉิน”

คนที่ไม่รู้จักบาร์นี่มาก่อนอาจคิดว่าแค่แมวหอบ จะตกใจอะไร เขาไปวิ่งเล่นหรือเปล่า?…แต่คนที่อยู่กับบาร์นี่มาหลายปีอย่างเรา รู้ดีว่าบาร์นี่ไม่วิ่งเล่น เขาเป็นแมวขี้เกียจสันหลังยาว จะยอมขยับเมื่อคุ้มค่าต่อการเสียพลังงานเท่านั้น

เราฟังทีแรกก็รู้ว่าไม่ปรกติที่เขาหอบ แต่ไม่ได้กังวลใจนัก เพราะดูเป็นอาการไม่น่ากลัวเท่าไร แต่ความเครียดในน้ำเสียงของสามีซึ่งเป็นสัตวแพทย์ที่แผ่จากกรุงเทพฯ มาไกลถึง บรีรัมย์ทำให้เราน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัวเมื่อกดวางสาย…นี่คงไม่ธรรมดาสินะ

เราร้อนรนไม่เป็นอันทำงาน คอยโทรฯ ถามอาการแทบจะทุก 10 นาที เมื่อถึงโรงพยาบาล บาร์นี่ก็ได้รับการเอกซเรย์ปอด และคุณหมอพบว่าน้ำท่วมปอด เป็นสาเหตุให้หอบและหายใจเร็ว เมื่อตรวจเช็กอย่างละเอียด สุดท้ายก็ทราบสาเหตุว่ามาจากโรคหัวใจ แต่พอบ่ายๆ บาร์นี่ตอบสนองกับยาและหยุดหอบ จนเริ่มกลับมานิ่งๆ ตามสไตล์บาร์นี่อีกครั้ง

พอได้ยินอย่างนั้น เราจึงเผลอเบาใจอย่างไร้เดียงสา เพราะนอกจากจะหยุดหอบแล้ว เราเคยเห็นตัวอย่างโรคหัวใจในคนที่เป็นกันมากมาย และสามารถดูแลประคองอาการจนอยู่ได้อีกหลายปี เราจึงบินกลับกรุงเทพฯ ในบ่ายวันเดียวกันด้วยความร่าเริง ตั้งใจว่าเย็นๆ จะไปกินข้าวกับสามีก่อนไปเยี่ยมบาร์นี่ที่โรงพยาบาล

ระหว่างกินข้าวเย็น บรรยากาศกลับอึมครึมชอบกล คุณสามีสัตวแพทย์ทั้งเครียด ทั้งซึม แต่เราก็ไม่ทันเอะใจ เพราะเขามักกังวลกับเรื่องของลูกชายสุดที่รักเป็นประจำอยู่แล้ว

จนเมื่อขึ้นรถมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล สามีจึง อธิบายให้ฟังว่าโรคหัวใจในแมวคืออะไร เขาใช้เวลายืดยาวเล่าสาเหตุ อาการ และรายละเอียดต่างๆ มากมาย ซึ่งเราไม่ค่อยเข้าใจคำศัพท์ทางการแพทย์หรือกลไกร่างกายใดๆ เท่าไร แถมเผลอใจลอยแอบมองวิว คิดเรื่อยเปื่อยไปบ้าง

แต่ความโหดร้ายที่ดึงสติเรากลับมาได้ คือเมื่อสามีสรุปสั้นๆ ปิดท้ายว่า

บาร์นี่เหลือเวลาบนดาวโลกดวงนี้อีกไม่เกิน 1 ปี

พอได้ยินอย่างนั้น เราเริ่มตั้งคำถามมากมายในหัว

ทำไมต้องเป็นบาร์นี่?

ทำไมถึงไม่มีทางรักษา?

และที่สำคัญคือ ทำไมถึงเหลือเวลาน้อยเพียงนี้?

bestyear06

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เราใช้เวลาตั้งสติพักใหญ่ มองไม่ออกเลยว่าข้อดีของเรื่องนี้คืออะไร และจะผ่านมันไปได้อย่างไร

แต่พอเราเห็นแววตาของเจ้าแมวตัวขาวที่ยังเต็มไปด้วยความสุขใจเมื่อได้ออกจากโรงพยาบาลและกลับบ้านอีกครั้ง เราก็ฉุกคิดได้ว่า ช่วงที่บาร์นี่ยังมีลมหายใจและสุขกายสบายใจ เราจะเสียเวลาที่ดีเหล่านี้มานั่งโวยวาย ฟูมฟายไป ก็ไม่สามารถซื้อเวลาออกไปได้แม้แต่นาทีเดียว

เราจึงตั้งใจแน่วแน่ว่า ต้องทำเวลา 1 ปีที่เหลือนี้ให้มีความสุขที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อชดเชยให้กับ 10 ปีที่จะต้องเสียไป

และถึงแม้จะแอบเสียใจจนน้ำตาไหลหลายครั้ง…แต่เราจะไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป

ที่จริงแล้วมีหลายอย่างที่เราอาจละเลย เพราะชะล่าใจว่ายังมีเวลาเหลือมากมาย ซึ่งเป็นนิสัยเสียของคนเราแท้ๆ ที่ต้องอาศัยโรคร้ายมาโทรฯ ปลุก ว่าได้เวลาแล้วที่ต้องตื่น ต้องทำอะไรก็ตามเท่าที่จะทำได้…ก่อนจะสายเกินไป

bestyear07

ตลอดเวลาเกือบ 2 เดือนหลังจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เรายอมให้บาร์นี่มานอนด้วยกันในห้องนอน เพื่อมีเวลาอยู่ด้วยกันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ทั้งๆ ที่มันทำให้เรานอนหลับไม่สนิท เพราะจมูกบี้ๆ บาร์นี่จึงนอนกรนตลอดคืน

เรายอมไม่ขี้เกียจที่จะเกาคอให้ทุกครั้งที่บาร์นี่มาขอ แถมยังอุ้มมากอด มาหอมบ่อยขึ้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะทำให้เราคันตาและคัดจมูกเพราะแพ้ขนแมว

และเราขยันบอกรักบาร์นี่ทุกวัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าบาร์นี่ไม่เข้าใจว่าแปลว่าอะไร

เราเลือกที่จะทำให้เวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดนี้มีความสุขมากที่สุด เพราะเมื่อถึงวันที่ต้องเสียใจ อย่างน้อยเราก็จะไม่เสียดาย

ว่าทำไมถึงไม่รัก…ให้ดีกว่านี้