รสฝาดของใบชาผู่เอ๋อ รสหวานชุ่มคอของรากชะเอมเทศ กลิ่นหอมของดอกเก๊กฮวย รวมกันอยู่ในน้ำชานาม “ก๊กโป่ว” เครื่องดื่มเอกลักษณ์ของอำเภอเบตง จังหวัดยะลา
ติ่มซำมื้อเช้าที่อำเภอสุดแดนใต้จะไม่สมบูรณ์เลยถ้าไม่ได้ดื่มชาก๊กโป่วปิดท้าย ให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย
ไม่ได้สืบประวัติว่าใครเป็นคนต้นคิด
ไม่รู้ว่าในอดีตชาสีออกแดงนี้เคยถูกชงเพื่อดื่มระหว่างการพูดคุยเจรจาสันติภาพของคนในป่ากับคนนอกป่าหรือไม่

นึกถึงเรื่องของ สาทิศ กุมาร (Satish Kumar) นักคิดนักรณรงค์เพื่อสันติภาพชาวอินเดียที่เคยเล่าถึง “ชาสันติภาพ”
สมัยวัยรุ่น สาทิศ กุมาร เป็นศิษย์ของวิโนพา ภาเว (Vinoba Bhave) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “คุรุแห่งชาติของอินเดีย” และเป็นผู้สืบทอดของมหาตมะคานธี ในช่วง ค.ศ. ๑๙๕๑-๑๙๗๑ วิโนพาต้องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งเขาเห็นว่าหนึ่งในสาเหตุคือชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีที่ทำกิน ขณะที่คนรวยหยิบมือหนึ่งถือครองที่ดินไว้มากมาย
วิโนพาผู้ไม่ครอบครองสิ่งใด แม้แต่บ้าน จึงเดินเท้าเปล่ากว่า ๑.๖ แสนกิโลเมตร จากเหนือจดใต้ จากตะวันออกถึงตะวันตก ไปทั่วทุกแห่งในอินเดีย เพื่อขอบริจาคที่ดินจากคนรวยมาให้คนจน
เขาบอกว่า “ใครจะเป็นเจ้าของที่ดินได้อย่างไร มันเป็นของธรรมชาติ คุณเป็นเจ้าของอากาศหรือ ? มีใครเป็นเจ้าของน้ำ ? แสงแดดเป็นของใครคนใดไหม ? เราไม่อาจอ้างตัวเป็นเจ้าของปัจจัยพื้นฐานของชีวิต ถ้าเราไม่แบ่งปันที่ดินให้คนจน เราจะรอให้เกิดการปฏิวัติที่รุนแรงหรือ ? ไม่ดีกว่าหรือถ้าเราจะเปลี่ยนแปลงด้วยหนทางที่สมเหตุสมผลและมีสันติ”
แนวทางของวิโนพาคือขอเข้าพบพูดคุยกับเจ้าของที่ดินแต่ละคนอย่างสันติ เพื่อให้คนเหล่านั้นคิดว่าคนจนเป็นลูกอีกคนหนึ่งในครอบครัวที่เขาจะยินดีแบ่งมรดกให้ได้ตามสัดส่วน เพื่อความสุขร่วมกันของทุกคน ทั้งผู้ให้และผู้รับ
ที่สำคัญคือเมื่อทุกคนตาย ไม่มีใครเอาที่ดินไปกับตัวเองได้ และวิโนพาไม่ได้ขอสิ่งใดเพื่อตัวเขาเอง
ในที่สุดการเดินเท้าเปล่าของวิโนพาก็ได้รับที่ดินบริจาคมาทั้งหมดถึง ๑๐ ล้านไร่
สาทิศซึ่งร่วมเดินเท้าเปล่าไปกับคุรุทางจิตวิญญาณ เกิดแรงบันดาลใจให้เดินเท้าเปล่าอีกเมื่อโลกตึงเครียดจากสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาค่ายเสรีนิยมกับโซเวียตค่ายคอมมิวนิสต์ และฮึ่ม ๆ ว่าอาจจะมีใครสั่งกดปุ่มระเบิดนิวเคลียร์
สาทิศไปขอความเห็นจากวิโนพาถึงการเดินเท้าเปล่าจากอินเดียข้ามทวีปไปรัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐ-อเมริกา เพื่อขอพบท่านผู้นำของทุกประเทศ ให้ยุติการมีอาวุธนิวเคลียร์
วิโนพาบอกสาทิศว่า “เธอต้องเป็นมังสวิรัติและไม่มีเงินสักแดงในกระเป๋า เพราะสงครามเกิดจากความกลัว และสันติภาพเกิดจากความเชื่อใจ เธอต้องฝึกเป็นผู้มีสันติภาพที่แท้จริง เริ่มจากการสร้างความเชื่อใจ เชื่อใจคนอื่น เชื่อใจในวิถีของจักรวาล และมีความเชื่อใจในหัวใจ ถ้าไม่มีเงินสักแดงเดียว เธอจะต้องขอพึ่งคนอื่น และนั่นจะเป็นจุดเริ่มของบทสนทนาที่นำไปสู่สันติภาพ”
สาทิศประสบความสำเร็จกับการพบปะผู้คนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมตามวิถีที่คุรุแนะนำ ที่โรงงานแห่งหนึ่งในแถบทะเลดำ หลังจากสาวโรงงานได้ฟังเรื่องราวการเดินทางของเขา ก็เกิดแรงบันดาลใจมอบถุงชาของเธอให้เขานำไปให้ผู้นำของแต่ละประเทศ และให้บอกท่านผู้นำด้วยว่า “นี่ไม่ใช่ชาธรรมดา แต่เป็นชาสันติภาพ (peace tea) ถ้าคุณเกิดบ้าอยากกดปุ่มนิวเคลียร์ ก็ขอให้คุณยั้งมือไว้และนั่งลงดื่มชานี้ก่อน เพราะมันจะช่วยให้คุณคิดถึงผู้คนและสัตว์มากมายที่คุณกำลังจะฆ่าตายหมด”
มีครั้งหนึ่งเขาถูกจับขังคุก เพราะขัดขืนเจ้าหน้าที่เรื่องถือป้ายขอเข้าพบผู้นำประเทศ แต่สาทิศก็นำสารและชาไปมอบถึงผู้นำทุกประเทศได้ในที่สุด ไม่มีใครรับปากใด ๆ บางคนบอกเขาว่า “มันคือการเมือง พ่อหนุ่ม มันคือการเมือง”
หลังจากเดินไปราว ๑.๓ หมื่นกิโลเมตร ๑๕ ประเทศ สาทิศค้นพบว่า มนุษย์กำลังทำสงครามกับธรรมชาติ ตัดไม้ทำลายป่า ทำประมงเกินขีดจำกัด ทำให้อากาศและดินเป็นพิษ ปล่อยคาร์บอนสร้างภาวะโลกร้อน เป็นจุดเปลี่ยนให้เขานอกจากจะเป็นนักรณรงค์เพื่อสันติภาพแล้วยังเป็นนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคนหนึ่งของโลกด้วย
นิตยสาร สารคดี ฉบับนี้ขึ้นปีที่ ๓๗ คิดเป็น ๑๓,๑๔๐ วัน ที่อยู่กับคนอ่าน
ส่วนทีมงาน สารคดี จะเดินทางไปแล้วกี่กิโลเมตร ไม่ได้นับไว้
จิบชาสักจอก ก่อนเดินทางกันต่อ
ขอบคุณผู้อ่านที่เดินทางมาด้วยกันและไปต่อไป…ขอสันติภาพจงมีแด่ทุกคน
สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ
บรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี
suwatasa@gmail.com
ภาพจาก : FT.com