เรื่องและภาพ : สายพร อัสนีจันทรา

depuhona00
เด็กชายในวันปฏิวัติ
ระหว่างบันทึกภาพขบวนสวนสนามของกองกำลังในวันปฏิวัติครบรอบ 71 ปี ที่รัฐกะเหรี่ยง เด็กชายวัยไม่เกินสองขวบเดินเตาะแตะก้มมองขนมปี๊บมาขวางเลนส์กล้อง ฉันรู้สึกเห็นบางฉากที่เกิดขึ้นในรัฐกะเหรี่ยงวนไปวนมา เด็กคนนี้วันหนึ่งก็คงจะกลายเป็นทหารเหมือนขบวนสวนสนามด้านหลัง และทุกคนในขบวนสวนสนามด้านหลังก็เคยเป็นเหมือนเด็กคนนี้ ที่ไม่รู้ว่าโตขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร จะมีเวลามีความสุขกับกับขนมในมือได้อยู่อีกหรือไม่

“วันวิปโยคของชาวเมียนมา เราจะทำอะไรได้บ้าง?” ข้อความจากอาจารย์ท่านหนึ่งเด้งขึ้นเตือนบนหน้าจอ หลังมีการรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตในวันกองทัพพม่าที่พุ่งสูงเกือบถึง 200 คนต่อวัน

ฉันไม่อยากเปิดอ่านข้อความเลย ไม่ใช่ว่าอยากปิดหูปิดตาหรอกนะ แต่เป็นเพราะฉันตอบไม่ได้

ตอบไม่ได้มาพักใหญ่แล้วด้วย เพราะนี่มันคำถามเดียวกับที่ฉันถามตัวเองมานานนับสิบปี และยังไม่ทันได้ทำอะไร หน้าฟีดก็แจ้งเตือนข่าวบ้าน “เดะปูโหนะ”(Day Pu Nho) ถูกโจมตีโดยเครื่องบินและมีผู้เสียชีวิต…

ฉันรู้ได้ทันทีว่า “จิ เปอ ญอ” หรือ “หนีพม่า” กำลังเกิดขึ้นกับคนกะเหรี่ยงอีกแล้ว

นี่คือเรื่องเล่าของจอแช ญาติคนหนึ่งของฉัน

…………………….

depuhona01
“เดะปูโหนะ” ที่ฉันเห็นมาหลายสิบปี เป็นชุมชนธรรมดาเรียบง่ายที่มีบ้านเรือนเรียงขนานยาวไปกับ ปแว โหละ โกล (Pwe Loh Kloh) หรือแม่น้ำยุนซาลิน เป็นพื้นที่ระหว่างเขาสองลูก มีลำน้ำ พื้นที่นา พื้นที่ไร่ พื้นที่ป่า และชุมชน เมื่อมองจากมุมไกลจะเห็นเป็นสีเขียวไกลสุดสายตาสมกับชื่อก่อลา (Ko La) หรือ Green Land โดยพื้นราบระหว่างเขามีต้นหมากและต้นมะพร้าวเด่นมากเป็นพิเศษ
depuhona02
ปแว โหละ โกล (Pwe Loh Kloh) หรือแม่น้ำยุนซาลิน
depuhona03
เซลฟี่ในวันปีใหม่กะเหรี่ยง 2759 (26 ธันวาคม 2562)

หลังตะวันตกดิน…บึ้มมมม!!!

เย็นวันนั้นเป็นวันธรรมดาเหมือนทุกวันที่เคยผ่านมา

วันนั้นผมอยู่กับลุงแค่สองคนลุงหลาน เพราะลูก ๆ ของลุงแต่งงานมีครอบครัวไปอยู่หมู่บ้านอื่นแล้ว ส่วนภรรยาก็ตามลูกไปด้วยเพราะอยากเลี้ยงหลาน ลุงจึงกลายเป็นสาวน้อยเฝ้าบ้านประจำอยู่ที่ร้านขายของชำเล็ก ๆ ใต้ถุนบ้าน และในทุกวันก็ต้องคอยหุงหาอาหารให้หมูในคอก ไก่ในเล้า และตัวเขาเอง เมื่อผมมาอยู่ด้วยเป็นการชั่วคราวในช่วงพักฟื้นหลังเข้ารับการรักษาอาการป่วยจากหมอตำแยแถวนี้ แกจึงดูมีความสุขมากขึ้นเป็นพิเศษ

และในวันนั้นก็เป็นวันธรรมดาที่ทุกอย่างดูเหมือนวันก่อน ๆ แต่ไม่รู้อารมณ์ไหน อยู่ ๆ เราก็อยากกินมื้อพิเศษ ผมจึงจับไก่ขึ้นบ้านจัดการและหั่นเป็นชิ้นเล็ก ส่วนลุงก็ง่วนอยู่กับอะไรไม่รู้แถวเล้าหมู

ทุ่มกว่าแล้วเป็นเวลากลางคืน แต่ฟ้าไม่มืดเพราะมีแสงสว่างจากจันทร์ขึ้น 14 ค่ำ และขณะที่ผมกำลังจะตั้งหม้อปรุงเมนูพิเศษ เป็นเวลาเดียวกับที่ลุงยังอยู่ใต้ถุนบ้าน และเสียงวงสนทนารอบเตาไฟข้างบ้านยังคึกครื้น

บึ้มมมมมมมมมมมม!!! ………………..

เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ

ผมจำแทบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือผมทำอะไรลงไปบ้าง ผมมองอะไรไม่ทันเลย เห็นเพียงภาพลาง ๆ ว่าผู้คนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นกระจายไปทุกทิศทาง

สิ่งเดียวที่ผมรู้คือขาผมมันไม่นิ่ง มันใส่เกียร์หมาวิ่งขึ้นดอยแกวเปลอย่างเอาเป็นเอาตาย วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ

“แกวเปล” ดอยที่เขาว่าชันนักชันหนาเป็นที่เกรงขามของคนเดินดินแถวนี้ ตอนนี้ผมแทบไม่รู้สึกสิ่งนั้น ผมไม่ได้ใส่รองเท้าและผมไม่รู้ว่าเหยียบอะไรไปบ้าง ผมไม่รู้สึกตัวเลย เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็อยู่กลางดอยแล้ว ผมรู้สึกตัวเพราะเริ่มหายใจไม่ออก หัวใจเต้นดังตุบ ๆ ดังให้ได้ยินชัดเจน และเหมือนว่าจะหลุดออกมาเต้นด้านนอกให้ได้

ผมชะลอความเร็ว พักหายใจเข้าออกให้ยาวระบายความเหนื่อย และเพิ่งนึกได้ว่า “ลุงกูอยู่ไหน?”

ผมหันกลับไปมองข้างหลังด้านล่าง กำลังมีไฟกองใหญ่หลายจุดลุกขึ้นในพื้นที่ของเดะปูโหนะ ทั้งตามพื้นราบ และกลางดอย ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและผมไม่รู้ว่าลุงอยู่ตรงไหน กำลังวิ่ง หรือหลบอยู่ หรือลาจากผมไปแล้ว

ผมเป็นห่วงลุง แต่ผมไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบกลับไปหาแม่วัย 60 กว่าที่อยู่อีกหมู่บ้าน เมื่อตัดสินใจได้ผมก็เร่งความเร็วอีกครั้ง ระหว่างทางผมวิ่งผ่านกลุ่มเด็กนักเรียน และชาวบ้านคนอื่น ๆ ประปรายตลอดทาง แต่ผมไม่มีเวลารอเขา ผมต้องรีบกลับบ้าน…ไปรับแม่เพื่อหนีไปด้วยกัน

ไม่รู้ว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่ แต่สุดท้ายพระจันทร์ก็ส่องทางนำผมกลับมายืนข้างหมู่บ้านที่แม่ผมอยู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเงียบสงัดกว่าปกติ ไม่มีเสียงพูดคุยของผู้คนและไม่มีเสียงวิทยุจากบ้านใด

ผมค่อยๆ ย่องไปยังใต้ถุนบ้านตรงจุดที่นอนประจำของแม่ และตะโกนเบา ๆ เรียกแม่…แม่… แต่ไร้วี่แววเสียงตอบกลับ

ผมมองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ผมย่องต่อเดินขึ้นบนบ้าน และพบว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว…ทุกคนหนีไปหมดแล้ว

ผมเริ่มเร่งฝีเท้าอีกครั้ง เดินให้เบาที่สุดออกจากหมู่บ้านตรงไปยังที่นาของครอบครัวที่อยู่ทางทิศตะวันออก เมื่อถึงที่นารอบข้างยังเงียบเหมือนเดิม ทุกคนคงหนีไปหมดแล้วจริง ๆ ผมรู้สึกเหนื่อยและเหมือนจะเป็นลม คงเพราะไม่ได้กินข้าวเย็นและวิ่งหนีสุดชีวิตติดต่อกันมาหลายชั่วโมง

ผมคิดว่าถ้าอยากมีชีวิตต่อผมจะต้องพักก่อน จึงย่องไปที่คูน้ำปลายนาที่ตอนนี้น้ำแห้ง แล้วค่อย ๆ เอนตัวนอนลงขนานกับคู ใช้แขนข้างหนึ่งเป็นหมอนรองคอ สักพักก็เผลอหลับไป…

สะดุ้งตื่นอีกทีในเวลาที่ยังเป็นกลางคืน อาจเกือบเช้าแล้วแต่ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมง เช่นเดียวกับที่ผมไม่รู้ว่านาฬิกาชีวิตผมเหลืออีกกี่ชั่วโมง ผมรู้เพียงว่าอยากเจอแม่อีกครั้ง จึงโผล่หัวออกจากคูน้ำมองซ้ายขวา แล้วตรงไปยังกระท่อมนาของครอบครัวซึ่งเป็นที่เก็บข้าวสารและมียุ้งข้าว

ผมแบกข้าวสารขึ้นหลังหนึ่งถังแล้วใช้พลังที่มีอยู่ออกเดินทางอีกครั้งเพื่อไปยัง “แมหนึถ่า” (Mae Nu Hta) ซึ่งเป็นชายแดนไทย-เมียนมาที่มีสาละวินเป็นเส้นแบ่ง

ที่นั่นผมคิดว่าผมจะปลอดภัย และคาดหวังว่าแม่จะล่วงหน้าไปรอผมอยู่ที่นั่นแล้ว…

ที่นั่น ที่อีกฝั่งของสาละวิน…ผมคาดหวังแค่อยากขอความกรุณาอาศัยชั่วคราวเพื่อรักษาลมหายใจ เมื่อเหตุการณ์เบาลงผมก็จะเดินออก จะไม่อยู่ให้รำคาญใจใครเลย

ขอความเห็นใจถึงเด็ก คนแก่ คนท้อง คนป่วย และคนธรรมดาทั่วไปที่ต้องออกจากบ้านตัวเองด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวด้วย หากไม่ลำบากเกินไป ขอพื้นที่ให้เราได้หายใจสักพักนะ

……..

depuhona04
สมาคมใต้ต้นพุทรา
ฉันเดินเล่นรับแสงอุ่นยามเช้าที่สนามกลางหน้าโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนสูงสิ้นสุดที่เกรด 10 เด็กชายกลุ่มหนึ่งเกาะกลุ่มเจี๊ยวจ๊าวเงยหน้ามองบางอย่างบนต้นไม้ และเมื่อมองตามก็พบว่ามีอีกหลายคนอยู่ด้านบนนั้น แก๊งเด็กกะโปกกำลังเก็บพุททราอยู่นี่เองจ้า และเมื่อได้พูดคุยหลายคนในกลุ่มก็บอกกับฉันว่าอยากเรียนภาษาไทย อยากไปอยู่ไทย เพราะที่นั่นเจริญและไม่มีสงคราม ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง ความฝันยังอยู่หรือเปล่า

จอแชเล่าบางช่วงบางตอนของเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในวันกองทัพพม่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่หมื่อตรอ (Mu Traw) ซึ่งอยู่ในความดูแลกองพลน้อยที่ 5 ของกองกำลังปลดปล่อยแห่งชาติ รัฐกะเหรี่ยง

ใครบางคนที่อยู่ในพื้นที่เล่าว่า ก่อนหน้านี้มักมีโดรนและเครื่องบินของกองทัพพม่าบินวนมาสำรวจบ่อย ๆ และติดต่อกันนานหลายเดือน ทุกครั้งที่มาก็กลับไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง มีหลายคนคาดไว้ก่อนหน้าอยู่แล้วว่าวันที่ 27 มีนาคม กองทัพพม่าต้องทำอะไรสักอย่าง

อะไรสักอย่างที่หมายความว่าเป็นเรื่องไม่ดี “เรารู้ว่าเขาไม่เคยคิดซื่อ แต่ก็ไม่คิดว่าหัวใจเขาจะพิการขนาดนี้”

“พี่ชายคิดว่าจะมีใครช่วยเราได้ไหม จะมีสักวันไหมที่กองทัพพม่าจะเปิดใจยอมรับเรา?”

“เขาฆ่าเรามา 70 กว่าปีแล้วยังไม่มีใครสนใจเลย ขนาดคนของเขาเองเขายังฆ่าทิ้งยิ่งกว่าหมูหมา แล้วนับประสาอะไรกับกลุ่มชาติพันธุ์ เขาไม่สนใจอยู่แล้ว ไม่สนใจมานานแล้ว” ใครบางคนพูดทิ้งท้ายก่อนจะวางสายโทรศัพท์ฉัน

………………..

depuhona05
เซเว่นบนยอดดอย
มีคนเคยถามว่า “ไหนว่ากะเหรี่ยงอยู่มานาน แต่ทำไมไม่เคยสร้างอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย?” นี่คงเป็นคำตอบหนึ่งว่าไม่ใช่ว่าไม่สร้างนะ แต่บางครั้งสร้างยังไม่ทันเสร็จก็เกิดสงครามถูกทำลายซะก่อน อย่าว่าแต่ตึกราเลย แค่บ้าน โรงเรียน โรงพยาบาล และอื่น ๆ ที่สร้างจากไม้ธรรมดายังถูกเผาทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า

“เขาจ้องแต่จะทำลาย เขาไม่เคยอยากให้เราเติบโต…”
“เราอยากพัฒนา เราอยากเติบโต เราอยากกำหนดทางเดินของตัวเอง เราอยากรับฟังคำปรึกษาจากทุกคนทุกฝ่าย…” ผู้นำสำคัญคนหนึ่งเคยบอกกับผู้สื่อข่าวไว้

ก่อนวันวิปโยคจะมาถึง

“เดะปูโหนะ” ที่ฉันเห็นมาหลายสิบปี เป็นชุมชนธรรมดาเรียบง่ายที่มีบ้านเรือนเรียงขนานยาวไปกับ ปแว โหละ โกล (Pwe Loh Kloh) หรือแม่น้ำยุนซาลิน เป็นพื้นที่ระหว่างเขาสองลูก มีลำน้ำ พื้นที่นา พื้นที่ไร่ พื้นที่ป่า และชุมชน เมื่อมองจากมุมไกลจะเห็นเป็นสีเขียวไกลสุดสายตาสมกับชื่อก่อลา (Ko La) หรือ Green Land โดยพื้นราบระหว่างเขามีต้นหมากและต้นมะพร้าวเด่นมากเป็นพิเศษ

ที่นี่เป็นที่อยู่ของพลเมืองกะเหรี่ยงมากกว่าหลักพัน มีโรงเรียน โรงพยาบาล ไปจนถึงวิทยาลัยสำหรับนักศึกษา ที่แห่งนี้จึงเป็นเสมือนศูนย์กลางแห่งหนึ่งในเขตกองพลน้อยที่ 5 เป็นแหล่งรวมของเด็กและเยาวชนจากทุกทิศทางมารวมตัวกันเพื่อขวนขวายด้านการศึกษา ผู้คนที่นี่มีนับตั้งแต่ครูอาจารย์ หมอ พยาบาล เด็กนักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงชาวบ้านธรรมดาดั้งเดิม

วันธรรมดาของเดะปูโหนะที่ฉันเคยไปร่วมกินข้าวเช้าเย็น มีภาพและฉากประทับใจมากมายในหน่วยความจำของฉัน

ข่าวที่เกิดขึ้นทำให้หัวใจฉันสลาย เจ็บปวด และทรมาน ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนมองพื้นที่และชีวิตชาติพันธุ์ที่ฉันรักถูกทำร้ายอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยมโดยที่ไม่สามารถช่วยหรือทำอะไรได้

ฉันไม่สามารถรับรู้รสชาติของเมนูโปรด ไม่สามารถรับฟังความไพเราะของเสียงเพลง ไม่สามารถมองเห็นความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นและตก ฉันมองไม่เห็นความสุขในวันใหม่ที่รู้เต็มอกว่ากำลังมีคนกลุ่มหนึ่งถูกกระทำเหมือนไม่ใช่คน ฉันไม่รู้ว่าคนที่สั่งหรือลงมือทำนั้นหลับตาลงนอนได้อย่างไร แต่สำหรับฉันแค่คิดก็ขอตายซะดีกว่าหากต้องกระทำกับคนที่ไม่มีทางสู้อย่างนั้น

……………………..

depuhona06
ลุงพ่อบ้านใจกล้า
ลุงเป็นคนอารมณ์ขัน สามารถทำให้ฉันสนใจเรื่องที่เล่าได้ตลอดเวลา ลุงเป็นพ่อบ้านใจกล้าที่ทำทั้งงานในบ้านและงานนอกบ้าน ทุกเย็นเขาจะให้อาหารไก่ก่อนให้อาหารหมู สัตว์เลี้ยงทำให้ชีวิตเขามีความสุขใจมากขึ้น ไม่กังวลกับสงครามและโชคชะตาที่ไม่แน่นอนมากจนเกินไป มาวันนี้ฉันยังไม่รู้ว่าลุงอยู่ไหน รอยยิ้มของเขาจะยังอยู่หรือเปล่า ลุงยังสามารถสร้างกำลังใจและเสียงหัวเราะให้คนรอบข้างได้อยู่หรือไม่ ลุงกำลังหลบอยู่ในถ้ำ หนีข้ามประเทศ หรือหนีไปอยู่โลกอื่นแล้ว ฉันไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย

“วันวิปโยคของชาวเมียนมา เราจะทำอะไรได้บ้าง?”

“…ฉันไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าจะสื่อสารอย่างไร ฉันเพียงขอแค่อยากให้คนกลุ่มอื่นมองกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกกระทำเป็นคนคนหนึ่งเหมือนตัวเอง ที่มีความคิด มีความรู้สึก มีความฝัน เพียงแต่ไม่สามารถเลือกเกิดได้…และได้โปรดอย่าซ้ำเติมกันอีกเลย แค่นี้ก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว”

นี่คือบันทึกบางฉากบางตอนของฉันเกี่ยวกับเดะปูโหนะ ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าถูกฉีกโยนทิ้งไปไว้ที่แห่งไหนแล้วบ้าง ไม่รู้จะมีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า

แต่ภาวนาเหลือเกินให้ทุกอย่างกลับมางดงามเหมือนเดิม

(บันทึกท้าย)

I’ll stay with you ผมจะอยู่กับคุณ

depuhona07
ฉันเกลียดพม่า แต่ฉันก็ต้องให้ลูกเรียนภาษาพม่า
เธอคือแม่ที่เติบโตขึ้นในศูนย์อพยพแห่งหนึ่ง แผ่นดินแม่ของเธออยู่ที่หมื่อตรอ (ผาปูน) เธอบอกกับฉันขณะที่ให้ลูกชายทำแบบฝึกหัดที่เธอเป็นคนร่างขึ้นว่า “ความฝันของฉันมันจบแล้ว เป็นไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่ต้องดิ้นรนเพื่อปกป้องความฝันของลูก ฉันอยากให้ลูกได้เรียนหนังสือเพื่อมีความรู้และมีอนาคตที่ดี แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร… ฉันเกลียดกองทัพพม่า เพราะเขาทำให้ฉันต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่นหลงทาง ไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่เป็นของตัวเอง ฉันเกลียดพม่าแต่ก็ต้องให้ลูกเรียนภาษาพม่า เพราะไม่มีทางอื่นให้เลือกเลย”

“ทุกวันที่มาใหม่ จะมาพร้อมกับความยากลำบากและโอกาสเสมอ ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเก็บเกี่ยวโอกาสนั้น และจงเตรียมตัวเพื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ และสร้างโอกาสเพื่อหน้าที่และจุดหมายสูงสุดของเรา คืนวันจะยากลำบากแค่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป” พลเอกบอ จ่อ แฮ (Baw Kyaw Heh)

คำกล่าวของรองผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดข้างต้น เป็นการบอกและส่งสารไปยังชนชาติกะเหรี่ยงทุกคนให้ตระหนักไว้ว่าบนเส้นทางการต่อสู้ที่เดินทางมามากกว่า 70 ปีนั้น ชนชาติกะเหรี่ยงได้ก้าวผ่านความทุกข์ยาก ความลำบาก และความเลวร้ายมานับรูปแบบไม่ถ้วนแล้ว ไม่มีอะไรใหม่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้หรือสิ่งที่จะมาในวันพรุ่งนี้

ขณะที่เขียนอยู่ตอนนี้ (1 เมษายน 2564) กองทัพพม่ายังคงการโจมตีหมู่บ้านกะเหรี่ยงทางอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการประกาศออกมาว่าจะหยุดทำการยิงหนึ่งเดือนก็ตาม และที่ร้ายไปกว่านั้นยังแว่วมาอีกว่ากำลังมีการส่งทหารภาคพื้นดินมุ่งสู่พื้นที่เคเอ็นยูหลายพันนาย โมงยามนี้หลายคนกำลังถูกทำให้จากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน ความฝันและความหวังของผู้คนดับสลาย และชีวิตผู้คนในรัฐกะเหรี่ยงเข้าใกล้การถูก “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” เข้าทุกวินาที จากวันวิปโยคของชาวเมียนมา ตอนนี้พุ่งหนักไปที่วันวิปโยคของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแล้ว นอกจากหลอกตัวเองและการอธิษฐานแล้ว ฉันจะทำอะไรได้บ้าง?

เราจะทำอะไรได้บ้างในวันที่เพื่อนมนุษย์ของเราเผชิญกับวันวิปโยค คงมีหลายคำตอบ

และหนึ่งในคำตอบพื้นฐานก็คือหนีไม่พ้น “การเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ” ให้สมกับที่เป็นหนึ่งชีวิตเหมือนเธอ เหมือนฉัน เหมือนเรา

depuhona08
9 Karen Revolution Day จับปืนต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม
ขบวนสวนสนามกองเกียรติยศของกองกำลังทหารสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงในวันครบรอบ 71 ปีแห่งการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องและสร้างความเป็นธรรมให้ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในจังหวัดหมื่อตรอ ฉันเคยคิดว่าการจัดงานนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การปล่อยวางไม่เกิด วันนี้ฉันรู้แล้วว่าคิดผิดมหันต์ กองทัพพม่าไม่เคยให้ค่าคนกะเหรี่ยงเลยแม้แต่น้อย การวางอาวุธก็เป็นแค่การขึ้นเขียงรอให้เขาฆ่าเอาง่าย ๆ เช่นเดียวกับสัญญาหยุดยิงทั่วประเทศ (NCA) แท้จริงก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวง เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ต้องการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์อ่อนแรงลงเพื่อควบคุมให้อยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพพม่าได้