เรื่อง : บุราณี เวียงสิมมา

kit chen01

อากาศภายนอกในเวลาเที่ยงวันเริ่มคล้ายทะเลทรายเข้าไปทุกที แต่เมื่อปิดประตูกระจกสนิท ความร้อนระอุเหล่านั้นก็ไม่สามารถผ่านเข้ามารบกวนคนนอนหลับได้แต่อย่างใด เครื่องปรับอากาศปรับอุณหภูมิไว้ไม่ถึงกับเย็นฉ่ำหากกำลังสบาย ผ้าผืนบางกำลังเหมาะคลุมไว้ถึงอก เท้าทั้งคู่ที่สวมถุงเท้าข้อสั้นลายการ์ตูนสีส้มโผล่พ้นการห่มคลุม

ฉันยืนชิดร่างที่นอนทอดกายบนเตียงอยู่ครู่ใหญ่แล้ว มองดูการหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าอยู่ในภาวะหลับลึก ไม่พบกันเพียงสัปดาห์รอยริ้วและเรือนร่างที่เล็กลงผิดหูผิดตานั้น บอกฉันว่าความเปราะบางของวัยชรากำลังกลืนกินเจ้าของเรือนกายไปทุกขณะ

“อื้ออออออ” เสียงเล็กๆ ครางยาวๆ ในลำคอบอกถึงความปีติ เมื่อเปิดเปลือกตาแล้วพบว่าคนที่ปลุกเป็นหลานสาว

ครู่เดียวเท่านั้นความรู้สึกผิดปล่อยหมัดฮุกใส่ฉันโดยไม่ยอมให้ทันตั้งตัว “ทำไมฉันถึงไม่กลับบ้านให้มันบ่อยกว่านี้นะ” น้ำตารื้นขึ้นมา ฉันกะพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่มัน ทั้งความรู้สึกผิดและน้ำตา

เหมือนผู้คนส่วนใหญ่ในมหานครแห่งนี้ การจราจรติดขัดถึงขั้นวิกฤต มนุษย์กรุงเทพฯ ต่างจำยอมใช้เวลาสองในสามของวันอยู่บนท้องถนนเพียงเพื่อเดินทางไปและกลับจากทำงาน ฉันเองเป็นหนึ่งในคนจำนวนมากเหล่านั้นที่เลือกเก็บเสื้อผ้ายัดลงกระเป๋าล้อลาก ออกจากบ้านมาอาศัยอยู่ใกล้ที่ทำงานในวันธรรมดา เพื่อทุเลาปัญหาภาวะเครียดจากการเดินทาง

พื้นที่ที่เพียงพอต่อการอาศัย แต่ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ หากสะดวกดายเพราะเดินเท้าไปหรือกลับในเวลาเพียงธูปหมดดอกเท่านั้น ทว่าก็แลกด้วยราคาค่าเช่าที่สูงลิ่ว แต่นับว่าคุ้มกันกับเวลาที่ได้คืนมาในแต่ละวัน

เมื่อท้ายสัปดาห์มาถึง ฉันจึงปรารถนาอย่างรุนแรงที่จะได้กลับบ้าน บ้านที่ฉันเรียกติดปากว่าอาณาจักร

บ้านหลังใหญ่นั้นเหมาะสมกับจำนวนผู้อยู่อาศัย เนื้อที่ 1 ไร่ในเขตทหารย่านชานเมือง สนามหญ้ากว้างหน้าบ้านมีที่เหลือหลายให้ไม้ดอกไม้ประดับอวดความงามกันสลอน สวนหลังบ้านมีต้นมะพร้าว กล้วย มะม่วง ชมพู่ ขึ้นแออัด ช่วยให้บ้านร่มรื่น สู้กับอุณหภูมิที่นับวันจะร้อนขึ้น ร้อนขึ้น และร้อนขึ้น

การปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปตลอดวันโดยไร้กฎเกณฑ์ของเงื่อนเวลาแบบนั้น น่าจะเป็นยอดปรารถนาของใครต่อใครอีกหลายคน

“ไปกินข้าวกัน” พร้อมคำชวนนั้น ประตูห้องนอนเปิดผางออกมาจนสุดบานพับ ฉันซึ่งนั่งเมาขี้ตาอยู่ที่ห้องรับแขก พลางฟังเสียงโฆษกจากโทรทัศน์สักช่องที่เปิดทิ้งไว้รายงานข่าว เบือนหน้าไปมองเจ้าของเสียง

แม้ยังงัวเงียอยู่มาก แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าฉันก็ช่างชัดเจน ท่ายืนจังก้าอย่างคนที่รู้ซึ้งถึงอำนาจของตน แม้ต้องประคองตัวยืนด้วยไม้เท้าขวาซ้ายในมือ คือซูสีไทเฮาชัดๆ

ในยุคสมัยหนึ่งร้านอาหารมังสวิรัติที่มาบุญครองนอกจากขายอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์แก่ผู้นิยมกินอาหารตามความเชื่อแนวนี้ซึ่งขายดีมากแล้ว ยังเป็นครัวกลางกระจายอาหารที่ปรุงเสร็จไปตามสาขาต่างๆ ที่มีในห้างสรรพสินค้าทั่วพระนครด้วย ย่าของฉันท่านเป็นแม่ครัวเอกของร้านอาหารมังสวิรัติที่ว่า

“คุณจำลองตอนนั้นเขาเป็นผู้ว่าฯ เขาโทรศัพท์มาขอปู่เธอด้วยตัวเองเลยนะ ให้ฉันไปทำงานให้” มหากาพย์นี้ฉันได้ยินได้ฟังมาแต่เล็กตั้งแต่ปู่ยังอยู่ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังได้ฟังอยู่เช่นเดิม สำคัญคือตั้งแต่วันนั้นยันวันนี้รายละเอียดไม่มีคลาดเคลื่อนแม้สักน้อย

kit chen02

ตลอดการร่วมโต๊ะเสวยกับซูสีไทเฮา มีเรื่องเล่าสารพันซึ่งส่วนใหญ่คือความสามารถในฐานะประมุขเรือนที่ต้องบริหารจัดการกับปัญหาสารพันของสามี ของลูก และของฉัน

“เธอมันกินยาก อยู่ยากกว่าใคร นิดๆ หน่อยๆ ก็เสาะท้อง ป่วยไข้ ฉันนี่ต้องทำอาหารแยกสำรับไว้ให้คนเดียวเลย ระวังเท่าระวังก็ยังไม่วายจะต้องหอบกันไปหาหมออยู่นั่นแล้ว”

มหากาพย์เหล่านี้ฉันจำขึ้นใจด้วยฟังมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อฟังอย่างตั้งใจ อย่างเอาหัวใจใส่ ถึงคนเล่าจะกินไปเล่าไป ฉันก็เห็นประกายระยิบระยับ วับวาว สุกใส ของหมู่ดาวมากมายในดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นได้อย่างเด่นชัด

“ฉันอายุ 95 แล้วนะปีนี้ ปู่เธออายุสั้น 77 ปีเท่านั้นเอง ฉันนี่สิอายุยืนกว่าใคร ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมนานนักหนา”

แม้จะยังคงช่วยเหลือตนเองได้ดีมาก เมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกัน เดินเหินใกล้ๆ ได้เองโดยมีไม้เท้าซ้ายขวาช่วยค้ำยัน อาบน้ำอาบท่าได้เอง ข้าวปลาถึงจะหุงหากินเองไม่ได้ แต่เหล่าป้าๆ ก็จัดเตรียมไว้ให้ย่าจัดการกินเอง ล้างเองได้

ย่าสบายใจในภาวะเช่นนั้น ภาวะที่ไม่ต้องพึ่งพิงผู้ใด

แม้ไม่มีโรคภัยตามสมัยนิยม อย่างเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรืออื่นใด แต่สังขารก็ค่อยๆ เสื่อมลงตามอายุขัย

เช้าตรู่วันอังคารเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ป้าเตรียมอาหารไว้ให้ย่าออกไปตักบาตร เช้านั้นย่าพลาด ล้มขณะลุกจากเตียงนอน ผลคือกระดูกสะโพกหัก ระหว่างรอการผ่าตัดหมอใช้ลูกเหล็กยึดปลายเท้าไว้เพื่อลดความเจ็บปวดจากกระดูกที่เกยกัน

ย่าต้องผ่าตัดไปสามแผล เล็กใหญ่ปนกัน เพื่อใส่เหล็กดามกระดูกสะโพกที่หักให้คืนรูป ครั้นหมออนุญาตให้คนป่วยกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ ก็กำชับให้หมั่นทำกายภาพบำบัด หมั่นลุกนั่ง หมอเข้าใจดีว่าโอกาสที่ย่าจะฟื้นตัวเพื่อกลับมาเดินได้มีน้อยมากด้วยวัยซึ่งใกล้ศตวรรษแล้ว แต่หากพวกเราละเลย ตามใจคนป่วยเพราะทุกครั้งที่ชวนลุกชวนขยับตัวจะเห็นคนป่วยโอดโอยด้วยความเจ็บปวด…

“แบบนั้นคุณย่าจะเป็นผู้ป่วยติดเตียงแน่ๆ”

เป็นครึ่งปีที่พวกเรา อันหมายถึงป้าๆ และฉัน ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อให้ย่าลุกขึ้นมาฝึกเดิน อุปกรณ์มากมายถูกติดตั้งเพื่อความสะดวก ทั้งในการกินอยู่หลับนอนและทำกายภาพบำบัด แต่เจ้าตัวขาดแรงจูงใจที่จะเอาชนะความเจ็บปวดจากการหัดเดินนั้น ซูสีไทเฮาของฉันจึงต้องยอมรับสภาพผู้ป่วยติดเตียงและการสูญสิ้นความสามารถที่จะไม่พึ่งพาใคร แม้ไม่ยินดีเลย

ความป่วยไข้มันช่างเอาแต่ใจ ไร้เมตตา ไม่ให้เวลา และไม่ให้โอกาสเราได้เลือก

“เมื่อไหร่ฉันจะตายเสียทีก็ไม่รู้ อยู่ไปก็เป็นภาระ” ย่าเอ่ยปาก แม้ไม่มีใครทำให้ต้องเจ็บช้ำจากทั้งน้ำคำและกิริยาท่าทาง สามป้าเองก็ผลัดเวรมาปรนนิบัติดูแลผู้เป็นแม่ด้วยความเต็มใจ ส่วนฉันหากไม่เหน็ดเหนื่อยจากภาระงานเกินไป ก็กลับบ้านบ่อยกว่าเคย เราต่างผ่อนแรงกันเพื่อไม่ให้คนพยาบาลเกิดภาวะเครียด สำคัญกว่าใดๆ คือพยายามให้ย่าเครียดน้อยที่สุด

ซูสีไทเฮาก็คือซูสีไทเฮา แม้จะรับรู้ถึงความรักความห่วงใยจากพวกเรา แต่ย่าก็เกลียดการที่ต้องตกอยู่ในภาวะพึ่งพิง ประโยคดังกล่าวจึงกลายเป็นคำพูดติดปาก ซึ่งฉันไม่อยากได้ยินจากย่าเลย

kit chen03

“ป่ะ ลุก ไปกินข้าวกัน” ฉันสอดแขนเข้าไปรองไหล่ พยุงย่าให้ลุกขึ้นนั่ง จัดหมอนหลายใบหนุนหลัง แล้วจัดท่าให้ย่านั่งสบายที่สุด

“เอ้อ…ทุลักทุเลเสียจริง ขอโทษนะที่ทำให้ลำบากกันไปหมด”

อีกแล้ว…ความรู้สึกผิดบ้านี่มันปล่อยหมัดฮุกฉันอีกแล้ว หากยังคงปล่อยให้มันจู่โจมแบบนี้เรื่อยไป ฉันคงยืนได้ไม่ครบยกเป็นแน่

ตลอดชีวิตการเป็นหลานสาวคนเดียวที่ชิดใกล้จนได้สถานะลูกสาวคนเล็กมาอย่างตั้งใจ ฉันตระหนักดีว่าคำปลอบโยนไม่เคยใช้ได้กับซูสีไทเฮา

ประสบการณ์ชีวิตของคน ความทุกข์ของคน มันมีเหตุผลของการเกิดขึ้นที่ซับซ้อน เราต้องเคารพความทุกข์ของกันและกันให้มากกว่านี้ อย่ารีบโดดงับเข้าไปปลอบประโลมความทุกข์ของใคร แม้ในนามของความปราถนาดี

เพราะความปรารถนาดีที่ปราศจากความเข้าใจ ก็เป็นได้เพียงความปรารถนาดี

ฉันวางสำรับลงบนโต๊ะพับที่กางคร่อมหน้าตักผู้เป็นย่า จากนั้นลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้า หยิบจานข้าวตนเองมา ตักน้ำพริกกะปิราดลงไปบนมะระต้มที่มีกระดูกอ่อนวางทับอีกชั้น ห่อด้วยผักกาดแก้วแล้วส่งเข้าปากทั้งคำ ก่อนชวนคุยถึงที่มาของน้ำพริกกะปิที่ย่าโปรดปรานนักหนา

“รสชาติดี กะปิดี ตำกระเทียมเข้ากันดีกับกะปิจนไม่มีกลิ่นเลยนะ น้ำตาล น้ำปลา มะนาว ปรุงเข้ากันพอดี ใช้ได้” ย่าเอ่ยปากเมื่อตักข้าว ไข่ต้ม น้ำพริกกะปิ เข้าปากคำแรก

ฉันส่งยิ้มให้คำวิจารณ์นั้น ช่างต่างกันกับเด็กหญิงหน้าง้ำที่ทำหน้าที่ commis chef ให้ย่าเมื่อ 15 ปีที่แล้ว

kit chen04

“มันจะมาหอมมาเหิมอะไรกันล่ะ มีแต่คนขี้เกียจเท่านั้นละที่คิดอย่างนั้น” ย่าท้วงเมื่อหลานสาวอ้างว่าที่ปอกกระเทียมไทยกลีบเล็กโดยเหลือเปลือกติดกลีบไว้ประปรายก็เพราะจะทำให้กระเทียมมีกลิ่นหอมมากขึ้น

“โฮ้ย!!! มันมีหนทางเดียวหรือไงล่ะคะ ที่จะพิสูจน์ว่าเราเป็นคนขยันน่ะ” แม้จะหน้าหงิกหน้างอด้วยคนเป็นย่ารู้ทัน แต่ขณะกระปอดกระแปดกับคำทักท้วงนั้น เด็กหญิงก็ยอมลอกเปลือกกระเทียมแต่ละกลีบออกให้เกลี้ยงเกลา

“มันไม่ต้องพิสูจน์อะไรหรอก ขี้เกียจก็บอกว่าขี้เกียจ จะทำจะไม่ทำอะไรก็บอกตรงๆ อย่าหาข้ออ้าง”

ฉันชอบคำอธิบายของย่า เพราะมันทำให้เลือกได้ว่าจะขี้เกียจ หรือจะทำสิ่งใดๆ ให้ดีตามที่แม่ครัวใหญ่บัญชา และแม้ไม่ต้องพิสูจน์อะไรตามคำของย่า แต่ในเวลาต่อมาทักษะการปรุงน้ำพริกกะปิของฉันก็ถึงขั้น sous chef ได้อย่างภาคภูมิ

“ยำส้มโอนี่รสชาติดีทีเดียวนะ เธอก็ช่างไปสรรหา ของแบบนี้สมัยนี้คนเขาไม่กินกันแล้ว”

ฉันรามือจากจานข้าวตนเอง ยิ้มให้ท่าทางที่ย่าใช้มือเหี่ยวย่นของตนหยิบจับเข้าปากทีละน้อย ค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กิน

ในยุคสมัยที่ไม่ใช่ของแม่ครัวเอกอีกต่อไป ความหลากหลายของอาหาร ความง่ายดายในการเข้าถึงทุกสิ่งอย่างแม้ไกลคนละขอบโลก ด้วยเทคโนโลยีซึ่งไหลบ่ารุนแรงจนแทบไม่แยแสว่าได้ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลังหรือเปล่า เพราะมันสื่อสารเพียงว่า ไม่สำคัญว่าเราจะนึกคิดกับมันเช่นไร การอยู่กับมันให้ได้ต่างหากที่เป็นสาระ

อาหาร - คิด...เช่น

แม้เทคโนโลยีอาจทำให้เราใกล้กัน เห็นหน้าพูดคุยได้ทุกวัน แต่สำหรับฉันมันไม่พอ

กับผู้คนแวดล้อมในชีวิต การได้สบตาในระยะประชิด การได้จับต้องสัมผัสใกล้คือปรารถนาที่เทคโนโลยีไม่อาจให้ได้

“หนูพาไปกินที่ร้านเอาไหมคะ เผื่อย่าอยากลองเมนูใหม่ๆ แต่หนูไม่เข็นรถเข็นให้นะ อยากไปต้องพยายามเดินเองให้ได้ ซูสีไทเฮาคนไหนเขานั่งรถเข็นเข้าร้านอาหารกัน”

เสียงหัวเราะเบาๆ แต่เบิกบานนักเช่นนี้ ตายิบหยี คลี่ริมฝีปากยิ้มกว้างเช่นนี้ ยิ่งเมื่อเปิดตาอีกครั้งยามเสียงหัวเราะจางลง หมู่ดาวน้อยใหญ่ในดวงตาขุ่นมัวที่ทอดมองมาที่ฉันด้วยความพอใจยิ่งทอประกายสดใส

ชีวิตมีเวลาจำกัดนัก หากยังผัดวันประกันพรุ่ง ความรู้สึกผิดอาจเป็นหายนะที่มีอยู่จริง

ในทุกความรัก เราควรได้สัมผัส ได้โอบกอดจนพอใจ สุดใจ ก่อนความตายเดินทางมาถึง.