เรื่อง : ปาลิดา วีระวัฒน์
ภาพ : อภิสิทธิ์ ปานวิเศษ

“มันมากี่คน”
“สองคน”
“ใช่ไอ้ปุ๊ ไอ้ดำรึเปล่า”
บทสนทนาเปิดเรื่องจากภาพยนตร์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง ดังกระหึ่มขึ้นจากชุดเครื่องเสียงครบครันที่ขนาบอยู่ข้างจอหนังกลางแปลงขนาด 20 เมตร บนจอปรากฏภาพ ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี หรือ ที่ใครๆ ก็เรียกกันว่าพี่ติ๊กในวัย 20 ปี ที่โกนหัวจนเกลี้ยง ด้วยรับบทเป็น “แดง ไบเล่ย์” นักเลงหัวไม้ที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตามคำขอร้องของแม่บังเกิดเกล้า
พื้นที่ด้านหน้าจอถูกจับจองด้วยผู้ชมจนแน่นขนัด บ้างนั่งบนเสื่อที่เตรียมมาเองจากบ้าน บ้างยืมเสื่อจากที่เจ้าของงานเตรียมไว้ ฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่เมื่อเย็นพัดผ่านไปแล้ว เหลือไว้เพียงอากาศเย็นชื้นที่ช่วยให้คนเฒ่าคนแก่ วัยรุ่นหนุ่มสาว และลูกเด็กเล็กแดงที่กำลังดูหนังอยู่กลางแจ้งนั่งกันได้อย่างสบายๆ ไม่รู้สึกร้อนจนเกินไป
ร้านค้าขายถั่วต้ม อ้อยควั่น ข้าวเกรียบว่าว ลูกชิ้นทอดและอื่นๆ อีกมากมายตั้งอยู่รอบคนดูทั้งสี่ทิศ ประชาชนบางส่วนที่ยังไม่ได้จับจองพื้นที่ดูหนังเป็นหลักแหล่งจึงเดินวนเวียนอยู่ไม่ไกลร้านเหล่านี้ ใครถูกใจอยากทานสิ่งไหนก็เลือกซื้อสิ่งนั้นได้ตามอัธยาศัย
อาจเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับใครหลายคนหากต้องบอกว่าบรรยากาศเช่นนี้ ไม่ใช่การย้อนเวลากลับหลายสิบปีไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไฟฟ้าและความเจริญยังบุกป่าฝ่าดงไปไม่ถึง แต่เป็นปี 2565 ณ ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ที่หนังกลางแปลงถูกนำมาฉายพร้อมๆ กับที่มีผู้ชมตั้งใจเดินทางมาดูกันอย่างคับคั่ง
อย่างไรก็ตาม สำหรับ นิมิตร สัตยากุล หรือ “พี่ตุ๊ก” เจ้าของหน่วยหนังกลางแปลง “ขุนแผนภาพยนตร์” และผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมหนังกลางแปลงไทยนั้น เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่น่ายินดี เพราะเขามีความเชื่ออย่างสุดหัวใจมาตั้งแต่ต้นว่า
“หนังกลางแปลงไม่มีวันตาย”



การฉายภาพยนตร์เกิดขึ้นครั้งแรกในสยามช่วงปลายรัชกาลที่ 5 โดยชายชาวตะวันตกนามว่า เอส จี มาร์คอฟสกี (S.G. Marchovsky) ต่อมาเมื่อการดูภาพยนตร์ได้รับความนิยมมากขึ้น จึงเริ่มนำหนังมาฉายในพื้นที่โล่งแจ้งเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนดูได้มากขึ้น
นับจากวันนั้น หนังกลางแปลงมีชีวิตและโลดแล่นอยู่คู่สังคมไทย เป็นเวลาร่วมร้อยปี
ถึงกระนั้น จากคำบอกเล่าของพี่ตุ๊ก ผู้เติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจหนังกลางแปลง และคลุกคลีกับวงการฉายหนังมาตั้งแต่เด็ก ทั้งตัวเขาเองและหนังกลางแปลงต่างผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามาก เริ่มต้นจากการเป็นหนังขายยาไปตามพื้นที่ชนบท จนต้องพัฒนาปรับตัวมาเรื่อยๆ เพื่อตามให้ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและค่านิยมการชมภาพยนตร์ของสังคม
“ในยุคเริ่มต้นตั้งแต่พี่จำความได้เนี่ย หนังกลางแปลงมันไม่เหมือนในยุคปัจจุบัน สมัยก่อนคนในต่างจังหวัดและพื้นที่ทุรกันดารที่อยากจะดูหนังแต่ละเรื่องจะดูได้ตามหน่วยหนังขายยา ซึ่งหน่วยหนังขายยาก็จะใช้วิธีเร่ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ แล้วก็ฉาย เพื่อเอายาอย่างเช่นยาหม่องไปประชาสัมพันธ์ แล้วก็พอฉายได้สักสองม้วนหรือครึ่งเรื่องก็จะหยุดเพื่อขายผลิตภัณฑ์ก่อน”
พี่ตุ๊กเริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นของหนังกลางแปลงว่าพัฒนามาจากการเป็นหนังขายยา ซึ่งในยุคนี้ หนังกลางแปลงจะใช้เครื่องฉายหนังระบบฟิล์ม โดยแสงของเครื่องฉายหนังจะมีจุดกำเนิดมาจากเตาถ่านหรือหลอดไฟซีนอนซึ่งฉายผ่านฟิล์มในแต่ละเฟรมที่ขยับไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว
ภาพยนตร์ไทยชื่อดังอย่าง มนต์รักทรานซิสเตอร์ ของผู้กำกับเป็นเอก รัตนเรือง ที่สร้างจากหนังสือของ วัฒน์ วรรลยางกูร ได้หยิบยกบรรยากาศการฉายหนังกลางแปลงในรูปแบบของหนังขายยามาถ่ายทอดไว้อย่างละเอียดในตอน “นักพากย์ปากหวาน”
“ท่านพ่อแม่พี่น้องที่มีอาการดังต่อไปนี้นะครับ กินเท่าไหร่ไม่ยอมอิ่ม พาให้ยิ้มไม่ออก กินเช้ายันเย็น กินเย็นยันเช้า … อย่างนี้เรียกว่าเป็นพยาธิครับ ซื้อยามั้ยครับ ซื้อยาแถมผมนะ ในคืนวันพรุ่งนี้เรายังได้นำหนังกลางแปลงมาฉายให้พ่อแม่พี่น้องได้ชมฟรีๆ ครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย ความสุขของท่านคือบริการของผมครับ …”
เป็นเสียงจากโทรโข่งของตัวละครหนุ่มขายยาผู้ควบตำแหน่งนักพากย์ประจำการฉายหนังกลางแปลงที่ล่องเรือเข้ามาเร่ขายยาและฉายหนังในหมู่บ้านของสะเดา นางเอกของเรื่อง เมื่อทั้งสองส่อแววชอบพอกันจากการพบหน้า เขาก็ชักชวนให้สะเดาไปดูหนังกลางแปลงที่วัดในตอนกลางคืน



ถึงเวลางาน หนังฉายให้เห็นภาพคนกำลังควบคุมเครื่องฉายหนังแบบฟิล์ม ถัดไปไม่ไกลทางด้านขวาของเครื่องฉายหนัง คือ นักพากย์หนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังสลับเสียงเปลี่ยนบทไปตามตัวละครทั้งชายหญิงในหนังบนจอผ้า ในมือมีไม้ขนาดไม่ยาวนักไว้สำหรับเคาะกะลามะพร้าวขนาดน้อยใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าสำหรับทำเสียงเอฟเฟกต์เพิ่มอรรถรสให้กับหนัง
ฉากนี้เผยให้เห็นความสุขและเสียงหัวเราะจากคนดูที่อบอวลอยู่ในงานฉายหนังกลางแปลง และพร้อมกันนั้นยังแสดงบทบาทของหนังกลางแปลงในฐานะสื่อกลางในการมาพบปะหรือเกี้ยวพาราสีกันของคนในพื้นที่ ทั้งหมดคือมนต์เสน่ห์ของการฉายหนังกลางแปลงที่ทำให้ผู้คนในอดีตหลงใหลมานักต่อนัก
เมื่อหนังขายยาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ก็เริ่มมีผู้สนใจเป็นเจ้าของหน่วยหนังกลางแปลงเพื่อไปให้ความสุขกับประชาชนโดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นการปิดวิกล้อมผ้า โดยทางบริษัทจะเอาฟิล์มหนังที่ฉายในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ มาฉายในต่างจังหวัด แล้วล้อมผ้าที่รอบหน้าจอและบริเวณงานก่อนจะเก็บเงินคนดูที่ทางเข้า หน่วยหนังเหล่านี้จะตระเวนไปตามหมู่บ้าน เรียกกันว่า หนังเร่
กระทั่งหนังเร่ได้รับความนิยมมากขึ้น ธุรกิจหนังกลางแปลงก็เฟื่องฟูพร้อมๆ กับที่เปลี่ยนรูปแบบการให้บริการไปจากเดิม
“พอการไปล้อมผ้าปิดวิกได้รับความนิยม ก็เริ่มมีคนมีสตางค์ คนรวยที่ต้องการจะจัดงานวัด จัดงานบุญ ไปเหมาหนังที่มาล้อมผ้าปิดวิกมาฉายให้ดูฟรีที่บ้านเลย เป็นต้นกำเนิดของการไปฉายหนังรับงาน แล้วหนังปิดวิกล้อมผ้าก็ค่อย ๆ น้อยลงไป ส่วนหน่วยหนังต่างๆ ก็ต้องพัฒนาหน่วยเพื่อให้มีคนมาว่าจ้างไปฉายตามงาน”
ในยุคนั้น ถือเป็นจุดเฟื่องฟูมากของหนังกลางแปลง หน่วยหนังของพี่ตุ๊กเติบโตเต็มที่ ในหนึ่งปีรับงานแทบไม่หวาดไม่ไหว โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่มีเทศกาลสงกรานต์ ทางบริษัทฉายหนังไปไม่ต่ำกว่า 140 งาน บางวันตระเวนฉายถึงสิบจอในหนึ่งคืน
ถึงกระนั้น เมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างโทรทัศน์ วีซีดี และดีวีดีมาถึง การเติบโตของธุรกิจหนังกลางแปลงก็เริ่มหยุดชะงักลง
“หนังกลางแปลงเริ่มเข้าสู่ขาลงก็ยุคที่ความเจริญเข้ามา สิ่งที่เข้ามาทดแทนหนังกางแปลงเริ่มต้นจากทีวีก่อน โดยเฉพาะละครหลังข่าว ช่องดังอย่างน้อยสองช่อง เมื่อละครหลังข่าวเรื่องไหนได้รับความนิยมมาก ๆ หนังวันนั้นจะไม่ค่อยมีคนไปดูเพราะคนติดละคร”
นอกจากนี้ การเข้ามาของวีซีดีและดีวีดียังมาเปิดช่องทางใหม่ให้คนดูหนังได้ง่ายๆ ในบ้าน หนังเรื่องไหนได้รับความนิยมมาก คนก็ต้องการดูให้เร็วที่สุดจนทำให้ความสำคัญของการดูหนังลดน้อยลง งานจ้างจากเจ้าภาพก็น้อยลงไปตาม
จากคำบอกเล่าของพี่ตุ๊ก จุดวิกฤตจริงๆ ของวงการหนังกลางแปลงมาถึงเมื่อเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนผ่านจากฟิล์มมาเป็นดิจิทัล ซึ่งหมายถึงจะต้องเปลี่ยนระบบการฉายหนังกลางแปลงทั้งหมด โดยเครื่องฉายดิจิทัลที่ใช้กันในโรงภาพยนตร์ ในเวลานั้นราคาราว 4-5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงมากสำหรับธุรกิจหนังกลางแปลงที่กำลังอยู่ในช่วงซบเซา
เป็นเหตุให้หลายต่อหลายคนมองว่า หนังกลางแปลงคงเดินมาได้เพียงเท่านี้
อย่างไรก็ดี ยังมีหนึ่งคนที่ไม่ยอมแพ้
“คุณพ่อฝังหัวมาตลอดว่าต้องประคับประคองไม่ให้หนังกลางแปลงล่มสลาย ทำยังไงก็ได้ ต่อให้เราเจริญรุ่งเรืองหรือมีธุรกิจอะไรที่ใหญ่โตกว่าหนังกลางแปลง ก็ห้ามทิ้งหนังกลางแปลงเด็ดขาด”
พี่ตุ๊กกล่าวถึงสาเหตุที่ไม่เคยคิดหันหน้าหนีจากหนังกลางแปลงด้วยเสียงหนักแน่น
ณ เวลานั้นที่ทั้งโลกกำลังเริ่มเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว เขามองว่าหนังกลางแปลงต้องเปลี่ยนตามให้ทัน จึงไปศึกษาข้อมูลดูงานจากต่างประเทศ และนำมาผนวกเข้ากับความรู้เดิมของตน
“เรารู้ว่าถ้าไม่คิดทำอะไรสักอย่างหนังกลางแปลงจะต้องพังในอีก 5 ปีข้างหน้า เราก็มาคิดว่า เอ๊ะเขาฉายยังไง ก็ไปได้ไอเดียว่าในประเทศอังกฤษเขามีการฉายหนังแบบ outdoor cinema เหมือนกัน ไปศึกษา แล้วมาคิดค้นผนวกกับภูมิปัญญาที่เราเป็นคนฉายมาตั้งแต่อายุห้าขวบ จนเอามาฉายดูเองที่บ้านก่อนว่าระบบนี้มันใช้ได้รึเปล่า จนพ่อพี่ตุ๊กเองที่มีประสบการณ์มากกว่าเราดูเราฉายในบ้านมาเป็นปี ก็บอกเราว่ามันใช้ได้ มึงเชื่อกู เอาออกไปฉายเลย”
คืนแรกที่นำระบบดิจิทัลออกฉาย พี่ตุ๊กเล่าว่าคนดูให้การตอบรับเป็นอย่างดี คนทั้งอำเภอต่างพากันมาดู เมื่อหนังจบ เจ้าภาพและผู้ชมต่างประทับใจ ยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้ตามๆ กัน ด้วยเสียงและภาพที่ฉายจากระบบดิจิทัลที่ใช้เครื่องฉายโพรเจกเตอร์จะคมชัดกว่าระบบฟิล์มแบบเก่ามาก จากนั้นจึงเริ่มนำระบบดิจิทัลมาออกฉาย ผู้คนก็หันมาจ้างหนังกลางแปลงระบบใหม่กัน หน่วยหนังอื่นๆ จึงเริ่มปรับตัวตามแล้วก้าวผ่านวิกฤตครั้งสำคัญกันมาได้
ทว่า การปรับตัวนี้ยังไม่ใช่ก้าวสุดท้ายที่จะพาหนังกลางแปลงไปถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้สำเร็จ
ปัจจุบัน หนังกลางแปลงกลับมาเผชิญหน้ากับความท้าทายอีกครั้งเมื่อการดูหนังมีอินเทอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้อง ระบบสตรีมมิ่งรวมถึงเว็บไซต์ต่างๆ ทำให้การดูหนังอยู่ห่างไปเพียงแค่ปลายนิ้ว หนังกลางแปลงดูเหมือนจะเลือนหายไปจากสังคมไทย โดยเฉพาะในสังคมเมืองอย่างกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตามงาน “กรุงเทพฯ กลางแปลง” ที่จัดขึ้นโดยกรุงเทพมหานครฯ เป็นโอกาสให้หนังกลางแปลงได้พิสูจน์คำพูดของพี่ตุ๊ก
“พี่เชื่อเสมอว่าหนังกลางแปลงไม่มีวันตาย แต่เพียงพวกเรากำลังหาช่องทางที่จะอยู่ได้ในยุคปัจจุบัน”


7 กรกฎาคม 2565 คือ วันเปิดประเดิมสังเวียนที่เป็นโอกาสให้หนังกลางแปลงได้มาปล่อยหมัดเพื่อมัดใจคนดูอีกครั้งที่งานกรุงเทพฯ กลางแปลง
ท้องฟ้าเวลา 5 โมงเย็นปกคลุมด้วยมวลเมฆสีหม่นมอม แต่ด้วยมีประชาชนมากมายที่ให้ความสนใจกับการหวนสู่กรุงครั้งนี้ของการฉายหนังกลางแปลง ที่งานจึงมีคนมาปูเสื่อนั่งรออยู่กลางลานจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้แทรกตัวเข้าไปจับจองที่นั่งได้อีก
หนึ่งในคนจำนวนมากที่นั่งอยู่คือป้าตุ๊ก เธอเดินทางมาดูหนังเรื่อง 2499อันธพาลครองเมือง ที่งานนี้ถึงแม้ว่าจะเคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อนแล้ว โดยบอกว่าอยากมาย้อนอดีตเก่าๆ และใช้เวลาร่วมกับคนรู้ใจ
“ถึงดูแล้วก็อยากดูอีก มันคนละบรรยากาศกัน อันนี้ได้ดูกับคนรู้ใจหมดเลยนะ นั่งใกล้กันก็ยังแบ่งของกิน มันเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นซึ่งประเทศไทยเราไม่มีแบบนี้มานานแล้ว แม้กระทั่งคนโคราชที่ป้าตุ๊กคุยด้วยยังมาวันนี้เพื่อจะมาดูหนังกลางแปลงเลย”
ลุงวิชัยเองก็เช่นเดียวกัน ลุงเดินทางมาจากบ้านแถวประตูน้ำเพราะได้ยินมาว่าที่ลานคนเมืองจะมีการฉายหนังกลางแปลง จึงอยากมาดูบรรยากาศว่าเป็นอย่างไร แตกต่างจากสมัยก่อนอย่างไรบ้าง ด้วยเรียกได้ว่า “สมัยก่อนมีหนังกลางแปลงที่ไหนลุงไปที่นั่น”
“ความรู้สึกของการดูหนังกลางแปลงสมัยก่อนเนี่ย พอดูหนังเสร็จเราก็คุยกับเพื่อนฝูงว่า เห้ย มึงดูเรื่องนั้นเป็นไง สนุกมั้ย แล้วก็เล่าสู่กันฟัง ได้มีความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ สื่อสัมพันธ์กันดีกว่าสมัยนี้เยอะเลย” ลุงวิชัยเล่าถึงความประทับใจของตนเองต่อหนังกลางแปลง
สิ่งที่ป้าตุ๊กและลุงวิชัยเห็นตรงกันนั้น พี่ตุ๊กได้อธิบายไว้ว่า
“เป็นเพราะมนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวในโลกนี้ได้ ช่วงเวลาที่เราดูในโทรศัพท์ ดูกับจอทีวี วันหนึ่งมันก็เบื่อ พอถึงวันนั้นทุกคนก็จะแสวงหาความเป็นสังคม การได้ดูหนังร่วมกัน โดยเฉพาะกลิ่นอายและมนต์เสน่ห์ของหนังกลางแปลงไม่ใช่แค่การดูหนังอย่างเดียว เราได้ไปเจอสังคมใหม่ บางคนได้พบรักที่จอหนังกลางแปลงเลย ตรงนี้เป็นสังคมที่การดูในอินเทอร์เน็ตทำไม่ได้ เราได้เจอร้านค้า เจอคนฉายหนัง ได้เห็นว่าคนดูที่นั่งดูอยู่ข้างๆ เราเวลาหนังสนุกแววตาของเค้าเป็นอย่างไร”
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนดูคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนังกลางแปลงมีมนต์คาถามัดใจผู้ชมแตกต่างไปจากช่องทางการดูหนังอื่นๆ แต่สำหรับพี่ตุ๊กแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคนฉายกับคนดูก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้อาชีพฉายหนังกลางแปลงที่ดูเหมือนธรรมดา เป็นสิ่งพิเศษขึ้นมา
“คนที่ทำอาชีพหนังกลางแปลงทุกคนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เบื้องต้นไม่ได้ทำเพราะอยากได้เงิน แต่ทุกคนทำด้วยความรัก ทำไมถึงต้องรัก เพราะหนังกลางแปลงให้ความสุขกับเจ้าของหน่วย หนังสนุกคนดูหัวเราะ หนังเศร้าคนดูร้องไห้ คนฉายเราก็มีความสุขกับคนดูไปด้วย แววตาคนดูเขาจะมีความสุข และเวลาดูหนังจบ คนเขาจะปรบมือเลย แล้วเขาจะไปซื้อลูกชิ้นซื้อน้ำมาให้คนฉาย ตรงนี้เป็นสังคมที่หาที่ไหนไม่ได้นอกจากหนังกลางแปลง”


หลังหนังจบ พี่ตุ๊กจะคอยเดินถามร้านค้าต่างๆ ว่าวันนี้ขายได้อย่างไรบ้าง หากร้านค้าขายไม่ดีคนมาดูน้อยก็จะรู้สึกเศร้าไปกับร้านค้า แต่หากขายดีขายหมดก็จะมีความสุขไปด้วย เพราะงานหนังกลางแปลงก็นับว่ามีส่วนช่วยในการสร้างรายได้ให้พ่อค้าแม่ค้าไปจุนเจือครอบครัว
เป็นไปได้ว่า ดัชนีวัดค่าความสำเร็จในการฉายหนังของพี่ตุ๊กอยู่ที่ปริมาณความสุขที่เขาได้สร้างให้กับทั้งผู้ชมและคนค้าขายที่มาเข้าร่วมงาน แม้อาจวัดค่าเป็นตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ แต่สัมผัสได้จากรอยยิ้มที่มุมปากของผู้คนตรงหน้า
นาฬิกาบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม หนัง 2499 อันธพาลครองเมือง จบลงด้วยประโยคสุดท้ายของ “เปี๊ยก” วิสุทธิ์กษัตริย์ เสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นจากผู้ชมที่เพิ่งหลุดจากมนต์สะกดของหนังกลับสู่โลกความจริง ก่อนจะเริ่มทยอยลุกจากลานกันเพื่อเดินทางกลับบ้าน
อดสงสัยไม่ได้ว่าการฉายหนังครั้งนี้ได้สร้างความสุขให้แก่ผู้คนมากน้อยเพียงใดกัน
อ้างอิง:
ผจงรักษ์ ซำเจริญ. (29 มิถุนายน 2565). หนังกลางแปลง มหรสพยามค่ำคืน. ศิลปวัฒนธรรม. https://www.silpa-mag.com/history/article_19046