เรากำลังมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของโลก
กว่า 260 ปีนับแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มนุษย์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก ก่อความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศจนเกิด “ภาวะโลกร้อน”หรือ “ภาวะโลกรวน” ส่งผลให้ทั่วโลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติและหายนะที่จะเพิ่มทบทวีคูณในศตวรรษที่ 21
หลายประเทศทั้งภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ และภาคประชาคม จึงประกาศจุดยืนเพื่อสร้างความร่วมมือในการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050-2060
เอสซีจีจึงตั้งเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิลดลง 20% ภายในปี ค.ศ. 2030 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050 สอดคล้องกับเป้าหมายของนานาประเทศ เพราะการกู้วิกฤตใหญ่ ต้องอาศัยเอกภาพของความร่วมมือ
นี่คือเป้าหมายสำคัญในประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ ที่ทุกคนต้องช่วยกัน
Climate Change Crisis
- วิกฤตคลื่นความร้อน (Heat Wave) ไฟป่า และภัยแล้ง
อุณหภูมิความร้อนสุดขีดจะคร่าชีวิตผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดไฟป่าใหญ่ที่ทำลายทั้งพื้นที่ป่า ชีวิตสัตว์ และอาคารบ้านเรือน แหล่งน้ำต่างๆ เหือดแห้งส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างน้อย 1.5 พันล้านคน
- น้ำทะเลท่วมเมืองชายฝั่ง และน้ำท่วมใหญ่
บ้านเมืองตามชายฝั่งทะเลอย่างกรุงเทพมหานคร จะถูกชายฝั่งทะเลกลืนกิน ประเทศเกาะกลางทะเล เช่น ฟิจิ อาจจมหายไปในมหาสมุทร ส่วนพายุใหญ่ฉับพลันจะทำให้เกิดอุทกภัยใหญ่บ่อยครั้งขึ้นและมีผู้ได้รับผลกระทบหลายสิบล้านคน
- ก้าวแรกของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
ทะเลกรดจัดทำให้ห่วงโซ่อาหารในทะเลล่มสลาย มนุษย์สูญสิ้นแหล่งอาหารสำคัญ ระบบนิเวศบนบกพังทลาย กลายเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึงต่อสังคมมนุษย์ในทุกพื้นที่
Net Zero Around the World
1. Save Energy
เอสซีจี ปรับปรุงและเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้ Smart Factory ซึ่งใช้ AI และระบบออโตเมชันมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้คุ้มค่า นอกจากนี้ยังได้พัฒนานวัตกรรมด้าน Smart Building และใช้เทคโนโลยีดิจิทัล BIM และ Drone ช่วยการออกแบบอาคารก่อนก่อสร้าง เพื่อช่วยลดพลังงานและทรัพยากรในการก่อสร้างของลูกค้าอีกด้วย
Coca-Cola ใช้ระบบบริหารจัดการทั้งแสงสว่างและระบบปรับอากาศ ประหยัดพลังงานได้มากกว่า 35%
Samsung ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานทั่วทั้งองค์กร
2. Green Energy
- เอสซีจี ขยายการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนบก บนหลังคา และบ่อน้ำในโรงงานซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ใช้พลังทดแทน เช่น การผลิตไฟฟ้าจากความร้อนเหลือทิ้งในกระบวนการผลิต (WHG) และเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อทดแทนการใช้ถ่านหิน โดยนำเศษผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นเม็ดเชื้อเพลิงชีวมวล (Energy Pellet) และขยะชุมชนเป็นเชื้อเพลิงแข็งทดแทน (RDF) นอกจากนี้ยังใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถบรรทุกหินปูนขนาด 60 ตัน ชนิดไฟฟ้า (EV Mining Truck) เพื่อใช้ในเหมืองปูนซีเมนต์รายแรกของไทย และรถโม่พลังงานไฟฟ้า (EV Mixer Truck) สำหรับขนส่งคอนกรีต
- กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก มุ่งลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดอย่างลม แสงอาทิตย์ คลื่น และชีวภาพ
- ออสเตรเลีย ตั้งเป้าหมายเป็นประเทศผู้ส่งออกไฮโดรเจนชั้นนำของโลกภายในปี 2030 ด้วยเทคโนโลยีพลังงาน Green Hydrogen
- Apple ใช้พลังงานหมุนเวียนภายในบริษัท 100%
- Google ใช้พลังงานลม แสงอาทิตย์ และก๊าซชีวภาพ มากกว่า 70%
3. Reduce Carbon Footprint
- เอสซีจี พัฒนานวัตกรรมด้านสินค้า บริการและโซลูชันที่ผ่านการรับรองด้วยฉลาก SCG Green Choice ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน เช่น ปูนซีเมนต์รักษ์โลกที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ 50 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปูน 1 ตัน นวัตกรรม Solar Roof Solutions ที่ช่วยบ้านประหยัดงาน ฯลฯ และจัดทำโครงการPile Waste Solution ร่วมกับกลุ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง (CECI) นำเศษเสาเข็มคอนกรีตมาแปรรูปเป็นวัสดุก่อสร้างตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดการใช้ทรัพยากรและขยะของเสียไปพร้อมกัน
- สหภาพยุโรป ประกาศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี ค.ศ. 2030 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050
- Starbucks หยุดใช้แก้วพลาสติกและถ้วยกระดาษภายในปี 2025
- NIKE ใช้วัสดุรีไซเคิลเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ 78%
4. Carbon Capture
- เอสซีจี ดำเนินการฟื้นฟูเหมืองหินปูนด้วยการปลูกพันธุ์ไม้พื้นถิ่นและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งปลูกป่าและฟื้นฟูธรรมชาติอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ทั้งบริเวณรอบโรงงานซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและพื้นที่อื่นๆ โดยสร้างความร่วมมือกับชุมชนและภาครัฐ ทั้งป่าบก ป่าชายเลน และหญ้าทะเล เพื่อขยายพื้นที่แหล่งดูดซับคาร์บอน รวมทั้งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยกักเก็บคาร์บอนให้เกิดขึ้นในอนาคต
- Shell สร้าง Carbon Capture and Storage ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- GreenTrees พัฒนาธุรกิจปลูกป่าเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนอย่างยั่งยืน