เรื่อง : ยุทธการ ศรีเขียวพงษ์
ภาพ : ธนากร เพื่อนรักษ์
ซากกระดองและก้ามปูม้านึ่งกองพูนจานที่รายล้อมด้วยเมนูอาหารทะเล ในถาดใบใหญ่และถ้วยใบโตหลากสีสัน มีทั้งทอดมัน เคยชุบแป้งทอด หอยแมลงภู่ ปูม้า และซุปปู เคียงข้างด้วยน้ำจิ้มสีสดที่เห็นแล้วชวนน้ำลายไหล
เที่ยงวันที่กระเพาะอาหารกำลังร้องเรียกเต็มที่จนส่งเสียงเล็ดลอดมานอกร่างกาย เป็นสาเหตุให้ผมและคนอื่นๆ นั่งล้อมสำรับอาหารแล้วตั้งหน้าตั้งตากินอาหารอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ยุรา ทรงศิลป์ ภรรยาของ สงกรานต์ ทรงศิลป์ หัวหน้ากลุ่มประมงเรือรบประแสร์และเจ้าของบ้าน นั่งลงข้างผมพร้อมกับหยิบปูม้าตัวใหญ่ขึ้นมาลงมือแกะเอาเนื้อออกจากก้ามปูอย่างคล่องแคล่วว่องไว จนผมที่นั่งมองต้องหันกลับมาพยายามหักก้ามปูในมืออย่างทุลักทุเล แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่แม้กระทั่งทำให้ก้ามปูมีรอยขีดข่วน
ยุราเห็นดังนั้นจึงเรียกให้ผมดูเธอสาธิตวิธีการแกะเนื้อปูออกจากก้าม เธอใช้ปลายช้อนโต๊ะกะเทาะลงที่ส่วนค่อนปลายของก้าม เมื่อกะเทาะจนเปลือกเกิดรอยร้าวแล้วจึงใช้มือหักตรงส่วนนั้น จากนั้นก็ใช้ปลายช้อนผ่าเปลือกออกแล้วหยิบเนื้อปูยื่นให้ผม ผมรับเนื้อปูมาแล้วกินโดยไม่จิ้มกับอะไร คำว่าแตกต่างผุดขึ้นทันทีที่เคี้ยวแล้วรู้สึกถึงความแน่นของเนื้อปูกับรสหวานที่มาพร้อมความชุ่มช่ำ
สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้กับการแกะก้ามปู หันมาพึ่งพาเธอแทน
อาหารทะเลที่กำลังกินกันอยู่นี้ความจริงเพิ่งผ่านการใช้ชีวิตในบริเวณปากน้ำประแสร์มาได้ไม่นาน



อาหาร ทะเล
หมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน ผมกับคนอื่นๆ กำลังนั่งบนเรือเครื่องหางยาวที่ค่อยๆ แล่นผ่านใต้สะพานข้ามแม่น้ำประแสร์ที่ถ้ามองดูคล้ายประตูโค้งบานใหญ่สู่ดินแดนแห่งความหวังของทั้งชาวประมงพื้นบ้านและพาณิชย์
เมื่อเรือแล่นออกจากปากแม่น้ำประแสร์จนหันกลับไปเห็นชายฝั่งเล็กลง เราจึงได้เห็นสงกรานต์บนเรือแบบเดียวกันจอดอยู่กลางทะเล
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามสายที่สาดส่อง สงกรานต์ตั้งหน้าตั้งตาสาวอวนปูที่วางไว้แต่เมื่อคืนขึ้นมา ซึ่งปกติชาวประมงพื้นบ้านจะวางอวนปูกันตั้งแต่กลางคืนและเก็บกู้ขึ้นมายามสาย ปูม้าสดๆ หงายท้องดิ้นพร่านบนพื้นเรือหลังจากหล่นจากอวนที่เขาสาวขึ้นมา มันพยายามตะเกียกตะกายพลิกตัวเองขึ้นมาเพื่อให้มีชีวิตรอด
ระหว่างที่อวนถูกสาวขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็ได้เห็นสิ่งไม่เข้าพวกติดอวนขึ้นมาด้วย สงกรานต์ใช้สองนิ้วจับมันแล้วยกขึ้นมาดูพร้อมบอกกับเราว่าคือ แมงกระพรุนเสือ และเตือนด้วยว่าอย่าจับเพราะมีพิษ หลังสิ้นคำอธิบายเขาก็โยนมันกลับสู่ท้องทะเล หลังจากนั้นก็ลงมือสาวอวนปูขึ้นมาจนหมด
ใช้เวลาอยู่กลางทะเลไม่นานก็เลี้ยวเรือมุ่งหน้ากลับสู่ปากแม่น้ำประแสร์ ขากลับแวะจอดตรงเสาใต้สะพานที่มีชาวบ้านลอยตัวเกาะเสาสะพานอยู่ เขาดำลงไปใต้น้ำไม่นานก็โผล่ขึ้นมาแล้วโยนหอยแมลงภู่ไปรวมกับกองเพื่อนหอยบนเรือ ปกติหอยแมลงภู่จะลอยมาติดอยู่ตามเสาสะพานจึงเป็นอีกช่องทางหารายได้ของชาวบ้านที่นี้
เรือแล่นต่อไปที่เรือนแพริมฝั่งแม่น้ำตรงข้ามกับฝั่งชุมชน ใกล้ๆ นั้นเราได้เห็นชาวบ้านเจ้าของเรือนแพกำลังยกยอเคยขึ้นมาให้ดู เคยตัวเป็นๆ จำนวนมากกระโดดไปมาทันทีเมื่ออวนยกโผล่พ้นน้ำ ปกติเคยมักเดินแถวอยู่ริมฝั่งแม่น้ำและชอบหลบอยู่ในที่มืด บ้านของชาวบ้านปากน้ำประแสร์ส่วนมากก็มียกเคยอยู่ข้างหลังบ้าน บางบ้านก็ยกเคยขึ้นมาไว้บริโภคเอง บางบ้านก็เอามาตากเพื่อทำกะปิเคยซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของปากน้ำประแสร์
สมศักดิ์ ไกรแก้ว คนขับเรือเล่าให้ฟังว่านอกจากการยกยอเคย ยังมีการรุนเคยตอนกลางคืน เขาจะออกราวตีสาม
“ใช้ไฟฉาย วิ่งกับเรือนะ เอาไฟสีแดงฉาย เคยจะกระโดดติดเครื่องเดินหน้า คันรุนจะอยู่หัวเรือ ก็รุนไปเรื่อย มันก็จะกระโดดเรื่อย ส่องไฟให้เขา ให้เรารู้ว่าเคยกระโดดไหม ถ้าว่าเคยไม่มีโดดเราต้องเลี้ยวกลับมาที่เดิม มันเป็นเคยประจำพื้นที่ มีหน้านี้ไปถึงเดือนตุลา เวลา 3 เดือนทุกปี”
กลับสู่บ้านของสงกรานต์ เคยจากการยกยอเมื่อตอนเช้าถูกชุบแป้งทอดเป็นแพสีเหลืองทองอร่าม หอยในกองบนเรือก็ผ่านการนึ่งจนมาอยู่ในมือของผม
สัมผัสของหอยเมื่อยามเคี้ยวนั้นทั้งเหนียวและแน่นแถมหวานอร่อย ต่างจากหอยที่ซื้อตามตลาดที่ทั้งยุ่ยและจืดชืด ขณะที่ผมกำลังหยิบหอยตัวต่อไป คนอื่นๆ ก็ยังคงขมักเขม่นกับการแกะปูม้าไปเรื่อยจนซากปูกองล้นพ้นจานข้าว
“ถ้ามีกั้ง จะให้หลานไปทำยำ เมื่อก่อนยำขาย เชื่อไหม หลานอยู่ ป.5 ตัวก็ไม่ใหญ่ไม่สูง พอเห็นก๋งได้กั้งมาปุ๊ป เอาไปตำน้ำพริกเกลือแล้วใช้ตะไกรตัดเลย แล้วก็เอาไปแช่น้ำแข็งปะเดี๋ยว พอนั้นทำพริกเกลือผักชี แล้วก็เอามาราด ทำเองหมดเลย”
ยุราเล่าถึงหลานไปแกะก้ามปูในมือของตัวเองไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม ผมถามว่า “แถวนี้มีกั้งด้วยหรือ”
“มีน้อย ก่อนหน้านี้เราทำอวนรุนจะได้เยอะ แต่หลังๆ นี้อวนรุนทำไม่ได้” สงกรานต์อธิบาย
“ทุกคนชอบอาหารแบบนี้ ถ้าว่ามีหมู ผัดกะเพราหมู แกงหมู และมีกั้ง กุ้งหอยปูปลา พวกนี้จะหมดก่อน หมูนี้เก็บกลับไปได้เลย ไม่มีใครกินไม่มีใครแตะ”
เมนูอาหารทะเลที่มีหลากหลายจนสามารถเลือกกินได้อย่างตามใจชอบผ่านการบอกเล่าของสงกรานต์และยุรานั้นสะท้อนภาพความอุดมสมบูรณ์ของชุมชนปากน้ำประแสร์ที่การประมงรุ่งเรืองจนสามารถพลิกชีวิตของคนในชุมชน
ประมงคือหัวใจของชุมชนปากน้ำประแสร์ที่ถ้าวันใดวันหนึ่งหยุดเต้นไปแล้วละก็ คงจะเกิดผลกระทบใหญ่หลวงตามมาอย่างแน่นอน



น้ำมัน น้ำตา
ยามบ่ายของวันถัดมา แสงแดดสีทองอร่ามจากฟากฟ้าที่เคยสาดส่องลงมาที่ชุมชนปากน้ำประแสร์ หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือไว้เพียงเมฆฝนดำทมิฬยึดครองทั่วทั้งท้องฟ้าไว้ ยิ่งเข็มนาฬิกาวิ่งเข้าใกล้หกโมงเย็นมากเท่าไหร่ แสงสว่างก็ยิ่งอ่อนลงมากเท่านั้น
เมื่อไม่เห็นเม็ดฝนโปรยลงมา ผมจึงคุยกับ สมศักดิ์ ไกรแก้ว ชาวประมงพื้นบ้านวัย 56 ปีต่อ ตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ที่โต๊ะม้าหินหน้าประตูบ้านของสมศักดิ์ เป็นบ้านปูนชั้นเดียวที่ทาผนังด้วยสีเขียวอ่อนตัดกับชุดกีฬาสีดำที่เขาสวมใส่
ผมเกริ่นขึ้นมา “พูดถึงน้ำมัน”
ยังไม่ทันที่จะได้ถามคำถาม สมศักดิ์ก็พูดตัดบททันควันราวกับเป็นกลไกอัตโนมัติ
“มันหดหู่ พูดไปก็กินใจตัวเองเปล่าๆ ที่ฉีดสารไปนี้ถามจริงว่ามันร้อนไหมลงไปในน้ำ ถึงว่าปะการังตายฟอกขาวหมด เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะสารพวกนี้หรือ แล้วปูปลาจะอยู่ได้ไง ถามว่าโลกร้อนไหม น้ำร้อนไหม ก็ร้อนจากพวกเขานี้แหละ คนมักง่ายยิ่งกว่าเราคือตัวพวกเขาเอง เขาปล่อยคาร์บอนออกมาเท่าไหร่วันวันหนึ่ง ให้เราสูดดมหายใจกัน”
โลกร้อนขึ้น ทะเลเป็นแหล่งดูดซับความร้อนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้ในปริมาณมาก ทำให้เกิดคลื่นความร้อนขนาดใหญ่ในทะเลเป็นระยะเวลายาวนาน น้ำทะเลร้อนขึ้นถึงขนาดที่ผู้คนในวันพักผ่อนชายทะเลยังรู้สึกได้ นับประสาอะไรกับปลาที่จะหลีกหนีหายไปจากถิ่นฐานที่เคยอาศัย อีกทั้งน้ำที่ร้อนยังทำให้ปะกะรังเกิดการฟอกขาว แหล่งพึ่งพิงของสัตว์น้ำอย่างปะการังตายไป จำนวนปลาจึงลดลง สภาพอากาศแปรปรวนนับเป็นอุปสรรคสำคัญของชาวประมงพื้นบ้านแล้ว ยังถูกตอกย้ำซ้ำเติมหลังการรั่วไหลของน้ำมันอีก กลายเป็นจุดหักเหที่ทำให้ประมงพื้นบ้านของปากน้ำประแสร์ก้าวเข้าสู่ความเสื่อมถอย
“เขาฉีดสารเต็มท้องทะเลเลยเข้ามาอ่าวนี้”
ผมถามว่าลุงทำอยู่อะไรอยู่ถึงได้เห็น
“วางอวนปูนี่แหละ วิ่งเรือนี้เป็นทางเลย โอย อะไรยาวยืดยาด ใครปล่อยน้ำมูกน้ำมันในคลองหรือเปล่า ก็ไม่มี แล้วไปกลางทะเลไปถึงเกาะมัน อู้หู้เป็นพันกว้าง มันมาตามน้ำ พอหน้านี้ เดือนได้ราว 2 ปี คาร์บอนมันขึ้น ชายเรือดำมืด ก้อนน้ำมันอ๊ะ น้ำมันดิบอ๊ะ มันลอยตัวแล้วมันแตกไง”



เม็ดฝนค่อยๆ หยดลงมาทีละเม็ดคล้อยตามไปกับน้ำที่คลออยู่ในดวงตาของสมศักดิ์ ผมนิ่งเงียบปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิด น้ำในดวงตาถึงแม้จะไม่ไหลลงมาแต่เม็ดฝนบนฟ้าก็ได้ทำหน้าที่สะท้อนความรู้สึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“มันเศร้า ชีวิต เราเนี่ยเศร้ามาก อนาคตต่อไปจะเดินแบบไหน นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะดีขึ้นหรือเลวลง อยู่กันที่ทรัพยากรอย่างเดียว เราจะไม่เรียกร้องอะไรจากเขาเลย ขอให้มีทรัพยากรกลับคืนมา เราไม่ต้องการของของอะไรจากเขา ครั้นเขามีงบให้เรามาฟื้นฟูทำโน้นทำนี่ ล้านนึงอ๊ะ สงกรานต์หัวหน้ากลุ่มไม่เอา เอามาเหนื่อย เขาเป็นผู้ก่อเหตุทำให้น้ำมันรั่ว เราต้องมานั่งเก็บกวาดให้เขา มันไม่ใช่ เขาต้องทำเองสิ เขามีเงิน ไม่ใช่เรา
“มันจบแล้วตอนนี้ นับจากพรุ่งนี้ไปอีกกี่ปีกว่าจะมีของฟื้นฟูกลับมา มันจะได้อะไร มีแต่ลง”
สมศักดิ์หยิบยาเส้นขึ้นมาจุดดูด ก่อนหน้านั้นเขาบอกกับผมว่า “ไปทะเลคนเดียวมันเหงา อยู่กลางทะเลอย่างงี้ไม่รู้จะพูดคุยอะไรกับใคร พูดกับน้ำกับลมก็พูดไม่ได้ ให้ยาเส้นเป็นเพื่อน”
ผมเห็นควันยาเส้นเปลี่ยนไปทันทีหลังจากคุยกันเรื่องของน้ำมัน ภาพควันจากยาเส้นซ้อนทับกับภาพควันที่พวยพุ่งออกมาหลังจากเปิดฝาหม้อนึ่งหอยแมลงภู่กับปูม้าเมื่อวาน พร้อมกับคำพูดของสงกราต์ในวันแรกที่เจอกันที่ท่าเรือ
เขาถามว่า “ทรัพยากร เช่น ปลา ปู หอย ใครอยากจะเข้ามาในเมื่อท้องทะเลมีคราบน้ำมันแบบนั้น”
ก่อนจากลา สมศักดิ์ถามถึงเมนูอาหารที่กินเมื่อวาน ผมเปิดรูปที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์ให้ดู
“อ๋อ หอยแมลงภู่ ทอดมัน ซุปปู เคยทอด แล้วต่อไปจะมีไหม จะได้มีกินไหม”
กาลเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำพูดของสมศักดิ์ มันคือการตอบคำถามสุดท้ายที่ผมคิดว่าจะถามหลังจากเปิดรูป ราวกับว่าลุงอ่านใจผมได้
“ดูแล้วกันอีกสักสี่ห้าปีจะมีกินไหม”
….
ปูม้าหงายท้องดิ้นพร่านบนพื้นเรือหลังจากหล่นลงมาจากอวนที่สาวขึ้นมา
มันพยายามตะเกียกตะกายพลิกตัวเองขึ้นมาเพื่อจะให้มีชีวิตรอดบนเรือลำนี้