เรื่อง : เนตรนภา ก๋าซ้อน
ภาพ : กัปตัน จิรธรรมานุวัตร
คำถามเรื่องผ้าไหม
คุณมองเห็นผ้าไหมเป็นอะไร
ก. เครื่องนุ่งห่ม
ข. วัฒนธรรมพื้นบ้าน
ค. สินค้าฟุ่มเฟือย
ง. ผู้หญิง
หรือ จ. ถูกทุกข้อ
แต่ในที่นี้ไม่ใช่ตัวเลือก จ. แต่ทุกข้อที่กล่าวมาเป็นนิยามผ้าไหมได้ทั้งหมด ไม่ว่าคุณเลือกตอบข้อไหนก็จะได้คะแนนแน่นอน
แต่หากถามคำถามนี้กับคนบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีวัฒนธรรมเก่าแก่และเต็มไปด้วยภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ คุณอาจต้องเพิ่มตัวเลือกคำตอบให้มากขึ้น
คำตอบจากคนที่เกิดมากับผ้าไหม คำตอบจากคนที่มองเห็นคุณค่าของผ้าไหม คำตอบจาก “คนบ้านโพน” แหล่งกำเนิดผ้าไหมแพรวา
ย้อนกลับไปปี 2321 นักวิชาการเชื่อว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์จากแคว้นสิบสองจุไท เมืองแถน ประเทศเวียดนาม เดินทางเข้าสู่ดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศลาว และภายหลังย้ายถิ่นฐานมาที่ไทยกระจายอยู่แถบอีสานฝั่งซ้ายติดกับลาว ชื่อ “เผ่าภูไท” กลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่อันดับสองรองจากเผ่าไทลาว
ชาวภูไทโดดเด่นเรื่องความขยันขันแข็ง ความมัธยัสถ์ ความเข้มแข็งในการปกครอง หน้าตาผิวพรรณอันงดงาม และอัธยาศัยดี โดยความสามารถพิเศษของชาวภูไทคือ การทอผ้า
เมื่อเราได้เจอกับ วิมลรัตน์ บุตรผา หญิงวัยต้น 30 ผู้มีผิวพรรณขาวนวลดุจหยวกกล้วย หน้าตาสะสวย พ่วงตำแหน่งลูกสะใภ้เจ้าของร้านผ้าไหมเก่าแก่ ณ บ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ก็พบว่าสิ่งที่กล่าวมาไม่ผิดไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย ดีเอ็นเอทั้งหมดยังคงถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานชาวภูไทในปัจจุบัน
หญิงสาว ผ้าไหม และบ้านโพน
วิมลรัตน์ บุตรผา เป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ เธอเกิดมาพร้อมกับ “ผ้าไหมแพรวา” ผ้าท้องถิ่นที่ลูกหลานบ้านโพนเริ่มฝึกทอตั้งแต่เข้าชั้นประถมฯ ปลาย โดยเริ่มฝึกจากลายช่อปลายเชิงตรงชายผ้าทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นตัวเริ่มและตัวจบปลายผ้า มีความกว้างประมาณ 4-10 เซนติเมตร แล้วค่อย ๆ ฝึกทอบริเวณกลางผ้า จนทอจบได้ทั้งผืน
เมื่อเริ่มเข้าวัยมัธยมฯ ต้น เธอบอกกับเราพร้อมยิ้มจนตาเป็นสระอิด้วยความภูมิใจว่า ความสามารถการทอในช่วงวัยนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับเธอ โดยหากทอเสร็จหนึ่งผืนก็จะได้เงินประมาณ 200-300 บาท และนายจ้างไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ “แม่” ครูสอนทอผ้าคนแรกของเธอ เด็กบ้านโพนมีแม่เป็นครูคนแรก ถือเป็นวัฒนธรรมสืบต่อกันมาให้ผู้หญิงสอนลูกทอผ้า ทำให้ชาวภูไทมีความสามารถในการทอผ้า
วิมลรัตน์ชอบการค้าขาย เธอไม่อยากแบมือขอเงินครอบครัวใช้เพียงอย่างเดียว ระหว่างเรียนก็ขายของไปด้วย หลังเรียนจบมีงานประจำ สายเลือดความขยันขันแข็งของสาวภูไทก็ยังไหลเวียนในตัว เธอจึงขายของควบคู่ไปกับงานหลัก
ชีวิตของเธอคล้ายกับเด็กต่างจังหวัดหลายคน เรียนหนังสือจบ รับปริญญา ทำงานในเมืองหลวง และกลับมาแต่งงานสร้างครอบครัวที่บ้านเกิด เธอได้แต่งงานกับลูกชายเจ้าของร้านขายผ้าไหมแพรวาร้านแรกในบ้านโพน ด้วยความรักการค้าขาย วิมลรัตน์ในวัย 20 ต้นๆ จึงได้รับโอกาสครั้งใหญ่ให้ดูแลกิจการร้าน “บุญมากไหมไทย” ร้านขายผ้าไหมของคุณพ่อบุญมาก พ่อสามีเธอ
ประสบการณ์ด้านธุรกิจค้าขายผ้าของเธอเริ่มจากศูนย์ มีเพียงความสามารถพื้นฐานของสาวบ้านโพน คือ การทอผ้าไหมแพรวา
“เราเป็นยุคที่เปลี่ยนความคิดจากคนอายุ 70 มาเป็น 20 กว่า ซึ่งยากมากในช่วงแรก” วิมลรัตน์เล่าถึงช่วงเวลาที่เธอเข้ามารับช่วงต่อเมื่อ 10 ปีก่อน พ่อตาแม่ยายของเธอไม่เข้าใจวิธีการขายหรือเผยแพร่ผ้าไหมในรูปแบบใหม่ ๆ เธอจึงต้องพยายามอธิบายและเปลี่ยนความคิดเขาให้พัฒนาการขายเข้ากับยุคสมัย
“เราต้องใช้ความพยายาม ตอนที่เขาขายก็ดูว่าเขาพูดอะไรกับลูกค้า เล่าเรื่องผ้าไหมกับลูกค้าอย่างไร หรือปิดการขายอย่างไร” วิมลรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในช่วงแรกที่มาลองขายของกับพ่อตา เธอค่อย ๆ ซึมซับวิธีการขายและการพูดคุยกับลูกค้า จนปัจจุบันเธอได้รับความไว้วางใจให้ดูแลร้านต่อจากพ่อบุญมาก
วิมลรัตน์ยังริเริ่มปรับเปลี่ยนผ้าไหมให้เข้ากับแฟชั่นและความต้องการตลาด จึงได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดี บวกกับความน่ารักขี้เล่นในการทำคอนเทนต์ขายผ้าของเธอ ทำให้ลูกค้าในโลกออนไลน์จำนวนมากเห็นและสนใจซื้อผ้าไหมแพรวาไปใส่ตาม
“ผ้าไหมแพรวาเปรียบเสมือนรถหนึ่งคัน”
สาวผิวขาวนวลคนนี้พูดพร้อมยิ้มด้วยความปลื้มใจ เธอตั้งใจร้อยเรียงประโยคกล่าวขอบคุณผ้าไหมแพรวาให้เรารับรู้ โดยเปรียบผ้าไหมแพรวาเป็นเสมือน “รถหนึ่งคัน” การเดินทางของเธอไม่มีจุดหมายปลายทางเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด แต่รถคันนี้พาเธอเดินทางไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด และจะแล่นไต่สูงขึ้นในทุกวัน เธอพร้อมจะเผยแพร่และพัฒนาผ้าไหมแพรวาให้ดีที่สุด
การค้าขายในโลกออนไลน์ซึ่งต่างจากการขายแค่หน้าร้านในรุ่นพ่อตาของเธอเป็นสิ่งสะท้อนว่า “คนรุ่นเก่าอาจทอผ้าเก่งกว่า แต่คนรุ่นใหม่นั้นขายผ้าเก่ง”
ชายหนุ่ม ผ้าไหม และบ้านโพน
“มีคนบอกกับเราว่ามันเป็นงานผู้หญิง แต่เรามองว่ามันคืองานศิลปะ”
เสียงเล็ก ๆ จาก อังคาร ไชยมหา ชายหนุ่มตัวสูง หน้าตาคมเข้ม คนรุ่นใหม่บ้านโพน ผู้ตัดสินใจหันหลังให้กับเมืองหลวงและเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงวิกฤตโรคระบาด เมื่อต้นปี 2563
อังคารบอกกับเราว่า เขาคือชายหนุ่มคนแรก ๆ ที่เริ่มทอผ้าไหมขาย แม้จะเติบโตและเห็นผ้าไหมแพรวามาตั้งแต่จำความได้ แต่เขาไม่มีความสนใจในการทอผ้าเลย ด้วยความเป็นเด็กผู้ชายและรู้สึกว่าเป็นสิ่งใกล้ตัวจนมองข้ามไป
เมื่อเรียนจบคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ อังคารอยากสอบเข้าทำงานตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้แผนการล่ม เขาจึงเก็บของใส่กระเป๋าและเดินทางกลับบ้านเกิด
บัณฑิตจบใหม่ไขว้เขวในเส้นทางอาชีพตัวเอง ไม่รู้จะทำอะไรเมื่อกลับมาอยู่บ้าน เขาจึงหันกลับมามองสิ่งใกล้ตัวที่เคยมองข้าม นั่นคือ “การทอผ้า”
การเดินทางในสายงานทอผ้าของอังคารไม่ได้ราบรื่นตั้งแต่ต้น คนในหมู่บ้านตีกรอบว่าการทอผ้าคืองานผู้หญิง แต่เขาพยายามก้าวข้ามคำพูดเหล่านั้นโดยถือคติ “การทอผ้าคืองานศิลปะ” ชายหนุ่มขอให้แม่เขาสอนทอผ้า ด้วยพื้นเพเด็กบ้านโพน สายเลือดชาวภูไทที่ผูกพันกับการทอผ้าตั้งแต่เกิด การเริ่มเรียนในวัย 27 ปีจึงไม่ใช่ปัญหา ใช้เวลาไม่นานก็สามารถทอลายยาก ๆ ได้ เขาหลงใหลการทอผ้ามากขึ้น หลังจากได้คลุกคลีกับผ้าไหมแพรวาของดีประจำบ้านเกิด ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI (Geographical Indication)
อังคารเริ่มขายผ้าไหมที่ทอเองด้วยการเดินเร่ขายตามหมู่บ้าน แต่ขายได้ไม่ดีนัก เขาจึงเริ่มหาช่องทางขายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กควบคู่กันไป โดยโปรโมตบนเฟซบุ๊กและสอนวิธีใส่ผ้าไหมแพรวาใน TikTok ซึ่งกระแสตอบรับดี จนมีคนสนใจผ้าไหมแพรวามากขึ้น ยอดขายก็เยอะขึ้นตาม ความถนัดที่แตกต่างกันของคนสองรุ่นทำให้ผ้าไหมแพรวาเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง
คำตอบเรื่องผ้าไหม
ท้ายที่สุดคำตอบของคำนิยามผ้าไหมอาจมีมากกว่าตัวเลือก “จ. ถูกทุกข้อ” เพราะชาวภูไท บ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผ้าไหมแพรวาเป็นมากกว่าเครื่องนุ่งห่มหรือสินค้าฟุ่มเฟือย และอาจไม่ใช่สิ่งที่สงวนไว้ให้ผู้หญิงเท่านั้น
คนบ้านโพนยังคงวิถีชีวิตชาวภูไทที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้มาจนถึงปัจจุบัน อัตลักษณ์ที่เด่นชัดอย่างความขยัน อดทน และความรักในผ้าไหมแพรวา ผืนผ้าที่ทรงคุณค่าต่อคนในพื้นที่ ดีเอ็นเอเหล่านี้จะยังคงฝังลึกอยู่ในเส้นไหมทุกเส้น