ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง
หนังสือ ‘หนึ่งความฝัน’ กับการถูกฟ้องปิดปาก : ภาพ

SLAPP ในอาเซียน การฟ้องคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดปากคนทำข่าว

คำว่า SLAPP ยังไม่เป็นที่รู้จักนักในสังคมไทย แต่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อมีผู้เรียกร้องสิทธิทางด้านต่างๆ ไม่ว่าสังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม แรงงาน ประชาธิปไตย ฯลฯ ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี

สะแลปป์ หรือ สแลปป์ (อ่านว่า สะ-แลบ) S-L-A-P-P ย่อมาจาก Strategic Lawsuit Against Public Participation หมายถึง การดำเนินคดีเชิงยุุทธศาสตร์เพื่่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจในหลายประเทศ

เอกสารประกอบการรณรงค์ การดำเนินคดีเชิงยุุทธศาสตร์เพื่่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะในประเทศไทย (SLAPP) จัดทำโดยคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists – ICJ) ระบุว่า SLAPP เป็นคดีที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อระงับหรือขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสาธารณะ หรือเพื่อขัดขวางกิจกรรมที่ไม่พึงประสงค์สำหรับผู้ฟ้องคดี มักก่อให้เกิด “ภาวะชะงักงัน” ต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เสรีภาพในการสมาคม เสรีภาพในการมีส่วนร่วมทางการเมือง รวมถึงเสรีภาพขั้นพื้นฐานอื่นๆ

การฟ้องคดี SLAPP นอกจากจะสร้างสภาวะกดดันทั้งต่อตัวผู้ถูกฟ้องยังส่งผลต่อคนรอบข้างรวมถึงคนในครอบครัว

ปัจจุบันการฟ้อง SLAPP เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค รายงานเรื่อง SLAPPed but not silenced : Defending Human Rights in the fact of legal risks ของ Business and Human Rights Resource Center เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564 ระบุว่าประเทศแถบลาตินอเมริกามีอัตราส่วนการเกิด SLAPP มากที่สุด 39% ตามมาด้วยแถบเอเชียและแปซิฟิก 25% ยุโรปและเอเชียกลาง 18% อเมริกาเหนือ 9% และแอฟริกา 8.5%

อ้างอิงข้อมูลเรื่อง Strategic Lawsuits Against Public Participation : Southest Asia cases & recommendations for governments, business & civil society ของ Business & Human Rights Resource Center เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 ระหว่างปี พ.ศ.2560-2562 ทางศูนย์ได้บันทึกข้อมูล 2,155 คดี ที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั่วโลกถูกโจมตีโดยภาคธุรกิจด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย ลักพาตัว รวมถึงฟ้องร้องดำเนินคดี เฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี 284 กรณี ที่เข้าข่าย SLAPP มี 131 กรณี

ทุกวันนี้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนกำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายคลึงกัน แม้บางประเทศมีกฎหมายคุ้มครอง SLAPP แต่ก็ไม่ได้การันตีว่ากฎหมายจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และตรงไปตรงมา

โดยมีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ สมาชิกสหภาพแรงงาน กลุ่มชาวบ้าน แรงงาน ฯลฯ รวมถึงสื่อมวลชนหรือผูู้สื่อข่าวมักตกเป็นเป้าของคดี SLAPP

ขอขอบคุณ หนังสือ ‘หนึ่่งความฝัน’ กับการถููกฟ้องปิดปาก จัดทำโดยชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม, มูลนิธิศููนย์ข้อมูลชุมชน, สำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ไทยพีบีเอส และเอกสารประกอบการรณรงค์ การดำเนินคดีเชิงยุุทธศาสตร์เพื่่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะในประเทศไทย (SLAPP) จัดทำโดยคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล และเครือข่าย

ดาวน์โหลดหนังสือ ‘หนึ่งความฝัน’ กับการถูกฟ้องปิดปาก Strategic Lawsuit Against Public Participation (SLAPP) ไม่ว่าจะเป็นสื่ออิสระ สื่อพลเมือง สื่อมวลชนทั้งมีและไม่มีสังกัด เราต่างมีความฝันเดียวกัน

slapp01 2

คดีฟ้องปิดปากแสดงให้เห็นอำนาจที่ไม่สมดุลกัน”

โพชอย พี. ลาบ็อก
ศูนย์ทรัพยากรธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (Business and Human Right Resource Center)

คดีฟ้องปิดปากแสดงให้เห็นอำนาจที่ไม่สมดุลกัน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคธุรกิจซึ่งมีอำนาจมากกว่า โดยกระบวนการทางยุติธรรมถูกยืมมือมาสร้างความเสียหายต่อคนที่มีอำนาจน้อยกว่า ส่วนมากเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

การฟ้องกลั่นแกล้งทางอาญามีลักษณะ “ฟ้องหลายคดีพร้อมกัน” หรือฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาล อาจมีการใช้กฎหมายด้านความมั่นคงต่างๆ เพื่อโจมตี ทั้งนี้บุคคลที่ฟ้อง SLAPP มีทั้งภาครัฐและภาคเอกชน บุคคลที่ตกเป็นเป้าการถูกฟ้องคดีได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญในประเด็นต่างๆ ตลอดจนกลุ่มนักพัฒนาเอกชน

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎหมายคุ้มครอง เยียวยาในเรื่อง SLAPP นักปกป้องสิทธิมนุษยชนสามารถอ้างการคุ้มครองการฟ้องคดี SLAPP ที่เป็นการกดดันหรือเป็นการคุกคามได้ในกรณีที่นักสิ่งแวดล้อมทำหน้าที่ของตนเอง อย่างไรก็ตาม เรามักจะเจอปัญหาเรื่องสิทธิต่างๆ หลายประการในทางปฏิบัติ รวมทั้งเป็นการคุ้มครองเฉพาะนักปกป้องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น

ข้อค้นพบอีกประการหนึ่งก็คือการฟ้องคดีมักจะเป็นการฟ้องคดีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิง 63 จาก 90 กว่าคดีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นการฟ้องคดีต่อผู้หญิง

ทำไมจึงมีการฟ้องคดีปิดปากกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เพราะการฟ้องคดีปิดปากเหล่านี้ไม่มีกรอบกฎหมายใดใดที่ห้ามไม่ให้มีการฟ้องคดีปิดปาก หรือป้องกันไม่ให้เกิดการฟ้องคดี SLAPP

slapp02

ต้องทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีอำนาจปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกรณีการฟ้องปิดปาก”

เดียนานตา ปุตรา สุเมดี้
Aji Balikpapun Biro Banjarmasin
อินโดนีเซีย

ผมถูกตัดสินให้จำคุก 3 เดือน 12 วัน เนื่องจากนำเสนอความขัดแย้งเรื่องที่ดินในเมืองโกตาบูและกูตามายา ชุมชนท้องถิ่นได้รับผลกระทบ เขาจะเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองเผ่าดายัก คดีนี้มีการตกลงกันในคณะกรรมการสื่อมวลชน แต่ตำรวจในท้องถิ่นกาลิมันตันใต้ก็ยังดำเนินการฟ้องคดีต่อ เพราะเขาไม่รับฟังข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการวิชาชีพ

ผมคิดว่าการคุกคามสื่อมวลชนที่พูดเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นสำคัญ เราจำเป็นต้องดำเนินงานในพื้นที่ซึ่งประชาชนพยายามแย่งยึดที่ดินกลุ่มชนพื้นเมือง ผมได้รับผลกระทบหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ต้องจ่ายค่าทนายความและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการถูกฟ้องคดี การฟ้องคดีทำให้เกิดความหวาดกลัวในการเข้ามามีส่วนร่วม ถือเป็นการใช้อำนาจครอบงำทางสังคม และทำให้นักข่าวหวาดกลัวที่จะใช้สิทธิเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน

ข้อเสนอประการหนึ่งคือต้องทำให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีอำนาจปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกรณีการฟ้องปิดปากด้วย

slapp03

รัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือนักข่าวที่ถูกคุกคาม ทั้งด้านกฎหมายและและด้านการเงิน”

เอ็ดวิน ไอโย
สำนักข่าว Gold Star Daily
ฟิลิปปินส์

สื่อมวลชนจะทำหน้าที่สนับสนุนบทบาทของชุมชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร เพื่อปกป้องและแก้ไขสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่ชายฝั่งในเมืองปาราตุกันและเมืองมินดาเนา

กฎหมายฟิลิปปินส์ไม่ได้คุ้มครองการฟ้องกลั่นแกล้งเฉพาะสื่อมวลชนเท่านั้น แต่กฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของพลเมืองยังคุ้มครองสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งเป็นการคุ้มครองโดยทั่วไป นักข่าวที่รายงานประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมย่อมได้รับการคุ้มครอง

ทนายความควรให้ความคุ้มครองทางกฎหมายกับนักสื่อสารมวลชน รัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือนักข่าวที่ถูกคุกคาม ทั้งด้านกฎหมายและและด้านการเงิน

slapp04

ภาพฝันที่อยากเห็นคือการตั้งศาลสิทธิมนุษยชนที่มีผลผูกพันทางกฎหมายในระดับภูมิภาค”

อเลฆันโดร กอนซาเลซ เดวิดสัน
Mother Nature Cambodia
ประเทศกัมพูชา

กัมพูชาต้องเผชิญสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชน ความพยายามทำลายประชาธิปไตย และการทำลายสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง Mother Nature Cambodia ถูกทางการกัมพูชาตราหน้าว่าเป็นกลุ่มกบฏก่อการร้าย

เจ้าหน้าที่ของ Mother Nature Cambodia ต้องทำงานถึง 3 ด้าน คือ ด้านการเมือง ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการเป็นนักข่าว

นักกิจกรรมของ Mother Nature Cambodia ติดคุกไปแล้วถึง 3 คน โดย 2 คนแรกเป็นผู้หญิง ต้องติดคุกเพราะกำลังจะถ่ายทอดสดการเดินเท้า 2 กิโลเมตรเพื่อไปพบฮุนเซนผ่านเฟซบุ๊ค คนหนึ่งเป็นผู้เดิน อีกคนเป็นผู้ถ่ายทอดสด การถ่ายทอดยังไม่ทันได้เริ่ม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้าจับกุมและยึดสิ่งของต่างๆ ไป นักกิจกรรมอีกคนเป็นผู้ชาย ถูกจับกุมเนื่องจากถ่ายรูปการลักลอบทิ้งน้ำเสียลงในแม่น้ำโขง

นักกิจกรรมทั้ง 3 คนบอกว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราจะไม่ปรักปรำใคร เพราะสิ่งที่เราทำไม่ใช่อาชญากรรม

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักกิจกรรมหนุ่มสาวชาวกัมพูชาที่พยามเรียกร้องประชาธิปไตยและปกป้องสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐบาลฮุนเซนต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกฟ้องคดีและจะถูกจำคุก

สถานการณ์ที่นักกิจกรรม ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนกัมพูชาเผชิญมีความแตกต่างตรงที่ไม่ได้ถูกฟ้องกลั่นแกล้งโดยบริษัทเอกชน แต่เป็นการฟ้องและคุกคามโดยตรงจากรัฐบาลผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจและการใช้กฎหมายโดยไม่ชอบ

อาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อมในกัมพูชาเกิดขึ้นได้จากความยินยอมพร้อมใจ เมินเฉย และเงียบงันในหมู่ประเทศอาเซียน ยกตัวอย่างการลักลอบส่งออกไม้พยุงจากกัมพูชาเข้าสู่เวียดนาม การลักลอบขายทรายให้แก่สิงคโปร์

แม้จะมีการจับกุมคุมขังนักกิจกรรมสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการจับกุมคุมขังที่แอมเนสตี้ รัฐบาลออสเตรเลีย สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศต่างๆ พยายามเรียกร้อง แต่ประเทศในประชาคมอาเซียน ไม่มีประเทศใดเลย ไม่มีรัฐบาลประเทศไหนเลย ที่จะพูดถึงนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมในกัมพูชา การถูกจับกุมคุมขังในลักษณะเดียวกันเมื่อนักปกป้องสิ่งแวดล้อมในไทยหรืออินโดนีเซียถูกจับกุมคุมขัง รัฐบาลกัมพูชาก็เงียบเสียงเช่นเดียวกัน

ผมคิดว่าถ้าเกิดเราร่วมมือกัน เราจะสามารถเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชน มีการประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนและอาชญากรรมทางด้านสิ่งแวดล้อม และรวมตัวกันส่งเสียง ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นความฝันอันสวยงามที่พวกเราในภูมิภาคควรฝันร่วมกัน

ในอนาคตอันสั้นนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมจะถูกจับกุมคุมขังมากขึ้น ส่วนในระยะยาว เชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นถ้ากัมพูชาสามารถมีประชาธิปไตยที่แท้จริง และสามารถร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและนักกิจกรรม

ภาพฝันที่อยากเห็นคือการตั้งศาลสิทธิมนุษยชนที่มีผลผูกพันทางกฎหมายในระดับภูมิภาค

slapp05

เราถูกกล่าวหาว่าปั้นน้ำเป็นตัว ปั่นข้อมูลและรายงานข่าวเท็จ”

วายุ ธยัตมิกา
Tempo Magazine
อินโดนีเซีย

นักสื่อสารมวลชนในเกาะกาลิมันตันต้องติดคุกกว่า 3 เดือนจากการนำเสนอข่าวการทำลายสิ่งแวดล้อม แม้ว่าสภาสื่อสารมวลชนในประเทศอินโดนีเซียพยายามจัดการปัญหา และบอกว่าคดีนี้เป็นการทำงานตามปกติของนักสื่อสารมวลชนในพื้นที่ เพื่อคุ้มครองประชาชนในพื้นที่ และโดยทฤษฎีแล้วเขาไม่ควรต้องโดนดำเนินคดีจากการนำเสนอข่าว ถึงแม้สมาคมวิชาชีพและทนายความพยายามปกป้องสิทธิของนักข่าวในการนำเสนอข้อมูล แต่ตำรวจและศาลก็ยังยืนยันที่จะฟ้องคดีและลงโทษด้วยการจำคุก

การฟ้องกลั่นแกล้งหลายกรณีที่เกิดหลังปี ค.ศ.2009 ที่สำนักข่าวในอินโดนีเซียสร้างช่องทางให้แก่นักข่าวหรือประชาชนทั่วไปสามารถส่งคลิป ข้อมูล หรือว่าเอกสารที่หลุดรั่วผ่านเว็บไซต์ เช่นกรณีเปิดโปงบริษัทปาล์มน้ำมันบนเกาะสุมาตราที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและแย่งยึดที่ดินจากประชาชน เป็นเหตุให้บริษัทฟ้องแหล่งข่าวผู้ให้ข้อมูลจนถูกศาลพิพากษาจำคุกถึง 11 ปี ส่วนนักข่าวถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทซึ่งศาลแขวงพิพากษาให้บริษัทชนะคดีเมื่อปี ค.ศ.2018 แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับในปี ค.ศ.2019

เราแย้งว่าการฟ้องคดีนักข่าวจะต้องนำไปให้สภาวิชาชีพพิจารณาก่อนจะมีการฟ้องคดีอาญาและให้มีการฟ้องคดีแพ่งก่อน ควรใช้เวทีสภาวิชาชีพเป็นเวทีในการไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อขัดแย้งข้อเสียหายทางแพ่งก่อนตามกฎหมายว่าด้วยสื่อมวลชนในอินโดนีเซีย ดังนั้นศาลอุทธรณ์จึงกลับคำพิพากษาของศาลแขวงชั้นต้น คำพิพากษานี้ได้นำมาใช้เป็นบรรทัดฐานในการคุ้มครองเสรีภาพสื่อมวลชนในอินโดนีเซีย

หรือการนำเสนอข่าวเหมืองถ่านหินในสุมาตราเมื่อปี ค.ศ.2019 รัฐบาลอนุญาตให้บริษัททำเหมืองหลายแห่งเข้ามาตัดถนนผ่านพื้นที่ป่าสงวนสำหรับขนส่งถ่านหินจากเหมืองไปยังประเทศจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าในพื้นที่และเกิดการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ยังพบด้วยว่าโครงการนี้รัฐบาลให้การสนับสนุนเพราะต้องการเปิดให้สัมปทานป่าไม้ เราได้เปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทในอินโดนีเซียและบริษัทในมาเลเซียที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลและการใช้อำนาจอิทธิพลออกใบอนุญาตสัมปทาน

กรณีตัวอย่างสุดท้ายเป็นกรณีที่รัฐบาลฉวยโอกาสให้สัมปทานบริษัทปาล์มน้ำมันปลูกปาล์มในพื้นที่หลังเกิดไฟป่า ทำให้เกิดการทำลายป่าเพิ่มเติมและชุมชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ ทางบริษัทพยายามไม่ให้สำนักข่าวนำเสนอผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ให้ข้อมูลและไม่ยืนยันข้อค้นพบจากการนำเสนอข่าว ซึ่งภายหลังการเสนอข่าว หน่วยราชการและบริษัทก็ออกมากล่าวว่าตนไม่ได้รับการติดต่อจากสำนักข่าวเพื่อชี้แจง

เราถูกกล่าวหาว่าปั้นน้ำเป็นตัว ปั่นข้อมูล และรายงานข่าวเท็จ โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสชี้แจง เราเป็นสื่อที่มีอคติ มีการโจมตีการใช้ account อวตารต่างๆ เข้ามาโจมตีในเพจของพวกเราหรือมาประจานว่านักข่าวที่รายงานเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน เบอร์โทรอะไร นี่ไม่ใช่รูปแบบเดียวในการคุกคามนักข่าว ยังมีวิธีการอีกหลายรูปแบบผ่านการใช้โซเชียลมีเดียและอินเตอร์เน็ต