เรื่อง : วรรณิดา มหากาฬ
ภาพ : เนติเสฎฐี ธาตุอินจันทร์

หลังอาทิตย์ตกดิน เมื่อผ่านพ้นประตูเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยใหม่เอี่ยม หรือ MAIIAM Contemporary Art Museum สถานที่โล่งกว้างถูกปรับให้เป็นพื้นที่การแสดงสี่เหลี่ยมที่ระบุได้ไม่ชัดเจนนักว่าเป็นสี่เหลี่ยมประเภทใด ด้านหนึ่งมีผลงานศิลปะของอาจารย์ทัศนัย เศรษฐเสรี ตระหง่านรับ ฝั่งตรงข้ามมีผนังขาวคล้ายกำแพงกั้น และพื้นที่ของผู้ชมถูกแบ่งจัดอยู่ในสองฟากฝั่งที่เหลือ ที่ตรงกลางนั้น เชือกหนึ่งเส้นถูกแขวนห้อยเหนือศีรษะ ลวดลายวาววับบนพื้นจากการถูกแสงไฟสลัวสาดส่องเรียกความสนใจให้ต้องหันสายตาไปสังเกต จนพบว่าสิ่งนั้นคือเทปสีทองแดงที่ถูกแปะเรียงรายบนพื้น
ชั่วขณะของการเฝ้ารอ แสงไฟสลัวค่อยๆเปลี่ยนแปลง นาทีนั้นยังเป็นความเงียบงัน ขณะที่นักแสดงหญิงห้าคนในชุดขาวย้อมลวดลายที่ชายผ้านุ่งเดินออกมาอวดโฉมต่อผู้ชม ลักษณะการเรียงตัวหรือจัดวางตำแหน่งการเดินไม่ตายตัวนัก บางครั้งเรียงแถวตอน บางครั้งกระจายตัวออกมายืนเกาะกลุ่ม เดินไปข้างหน้าพร้อมกันทั่วพื้นที่พร้อมกับร่างกายส่วนอื่นที่ขยับไหวคล้ายการระบำ รำ ฟ้อน


ที่ต้องเรียกว่าคล้ายเพราะการเคลื่อนไหวนั้นให้ความรู้สึกก้ำกึ่ง เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่คุ้นชินเมื่อนำไปเปรียบเทียบการรับรู้ดั้งเดิมที่เคยประสบ เช่น วงแขนนักแสดงที่กำลังกรีดกรายออกราวตั้งวงฟ้อนรำแต่ชั่วขณะก็พับลง เริ่มใหม่และพับลง ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนนกที่กำลังกระพือปีกเสียมากกว่า หรือช่วงเดินแถวตอนเรียงหนึ่ง มือสองข้างจับเอว เดินด้วยการลากเท้าและยก เหมือนท่าระบำในทางตอนใต้แต่ความอ่อนช้อย เชื่องช้า รวดเร็ว แข็งแรง ของนักแสดงแต่ละคนก็ทำให้ภาพรวมของการเคลื่อนไหวนี้แปลกตา
ที่น่าสนใจคือทุกการเคลื่อนไหวในช่วงแรกนี้คล้ายมีผู้นำ ร่างกายเกาะกลุ่มเคลื่อนเป็นมวล ใช้ทิศทางเป็นตัวกำหนด เมื่อทิศการเคลื่อนที่เปลี่ยนผู้นำก็เปลี่ยนตาม สิ่งที่คล้ายการระบำ รำ ฟ้อน เมื่อครู่ก็เปลี่ยนไป ผสานความหลากหลายที่ยังดูไม่ออกว่ามีอะไรบ้างให้คาดเดาว่านักแสดงที่คงมาจากพื้นที่หลากหลายเช่นกันนั้นได้ทดลองร่วมวัฒนธรรม
เมื่อการเคลื่อนไหวตอนต้นจบลง แสงไฟถูกปรับอีกครั้ง นักแสดงสี่คนเดินออกจากเวทีมาอยู่บริเวณรอบนอก พื้นที่ซึ่งไร้เทปสีทองแดง คงไว้เพียงหนึ่งคน ข้างกันที่เพิ่งสังเกตเห็นคือโต๊ะควบคุมที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลากรูปวางอยู่บนนั้น และในจังหวะที่ร่างกายเริ่มเคลื่อนไหว เสียงดนตรีก็ดังออกจากลำโพงที่ถูกติดตั้ง ความแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อดนตรีที่เหมือนจะคุ้นหูนั้นถูกเติมบางอย่างลงไป
ความมั่นใจแรกถูกทลายลงเมื่อลองหลับตาฟังเฉพาะเสียง เป็นดนตรีพื้นบ้านที่มักได้ยินเวลาดูการแสดงอยู่บ่อยๆ แต่เสียงนั้นไม่ได้อยู่ลำพังและถูกบรรเลงตั้งแต่ต้นจนจบ กลับกันเสียงนั้นคล้ายถูกตัด-เติม บางครั้งเป็นเสียงอึกทึกครึกโครม บางครั้งเป็นเสียงคล้ายฟองสบู่ และอีกหลายครั้งยากจะเดาว่าคือเสียงอะไร
เสียงนั้นดำเนินไปพร้อมการเคลื่อนไหวร่างกายของนักแสดง ถูกเพิ่มจากหนึ่งคนมาเป็นสองคนบนเวที จบแล้วก็เดินออกและมีนักแสดงคนใหม่เวียนเข้ามา ทุกท่วงท่านั้นเป็นการระบำ รำ ฟ้อน ตามภูมิภาค เมื่อนักแสดงเปลี่ยน เสียงดนตรีพื้นบ้านและจังหวะก็เปลี่ยนตาม ความหลากหลายทางวัฒนธรรมไหลผ่านดวงตาและใบหูตลอดห้วงนาทีของการแสดง หนักบ้าง เบาบ้าง เร็วบ้าง ช้าบ้าง มีเสียงสูง ต่ำ เรียบเรื่อย เคลื่อนไหว หยุดนิ่ง
นั่นคือประสบการณ์แรกกับการแสดงชุดนี้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงภาพที่มองเห็นจากดวงตา เบื้องลึกของงานนั้นยังไม่อาจหาบทสรุปด้วยตัวเองขณะนั้นได้ คำถามมากมายผุดขึ้นต่อการแสดงนี้ เป็นความสงสัยใคร่รู้ที่เชื้อเชิญให้ได้พูดคุยกับศิลปินดูโอ้ Nguyễn + Transitory ผู้รังสรรค์ผลงานการแสดงที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นสถาปัตยกรรมทางดนตรี หรือก็คือศิลปินผู้ทำงานศิลปะ “เสียง” ผลงานส่วนมากเป็นการสำรวจศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของเสียงที่นอกไปจากการเป็นสุนทรียศาสตร์แล้วยังสามารถทำงานเชื่อมโยงกับความทรงจำเชิงลึก ภูมิปัญญา ประวัติศาสตร์ รวมไปถึงประสบการณ์ปัจจุบัน ผนวกดนตรีพื้นบ้านให้เข้ากับความร่วมสมัย ผลงานหลายชิ้นของพวกเขาเป็นงานที่คงรากวัฒนธรรมดั้งเดิมและเปิดโอกาสให้กับสิ่งใหม่ๆได้ถือกำเนิด ด้วยความเชื่อว่าอดีตเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ไม่หยุดนิ่งสามารถหลอมรวมกับปัจจุบันและประกอบร่างสร้างสิ่งใหม่ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ลดคุณค่าของกันและกัน

“ไอเดียพื้นฐานคืออยากหาความเชื่อมโยงกันของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ประโยคแรกของ Nguyễn + Transitory เมื่อได้พูดคุยถึงจุดเริ่มต้นและแนวคิดผลงาน ล่องลอยไปตามจังหวะ ณ อาคเนย์ไร้แห่งหน หรือ Drifting to the Rhythms at the Southeast of Nowhere ในผลงานชิ้นนี้พวกเขาใช้ความหลากหลายของวัฒนธรรมเป็นสารตั้งต้น ค้นหาและศึกษาการระบำ รำ ฟ้อน ในที่ต่างๆของอาคเนย์ จนได้พบ “เพียงรวี ศิริสุข” ศิลปินฟ้อนล้านนารุ่นใหม่รวมถึงเป็นหนึ่งในศิลปินที่ร่วมการแสดงชิ้นนี้ เธอคือผู้ทำงานนอกขนบที่สะท้อนตัวตนภายในและพื้นที่ให้ Nguyễn + Transitory ได้เห็นถึงการเปิดกว้างและลื่นไหลของวัฒนธรรม
“แต่เราไม่ได้อยากใช้พื้นที่เดียวในไทย พื้นที่เดียวไม่สามารถอธิบายทั้งหมดได้ แต่ละภูมิภาคของไทยไม่เหมือนกัน จึงอยากหยิบหลายๆที่มานำเสนอ”
สิ่งนี้ช่วยตอบข้อสงสัยว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากสถานที่แห่งไหนบ้าง
พวกเขาหยิบการระบำ รำ ฟ้อน ของล้านนา อีสาน และภาคใต้มารวมในการแสดง ค้นหาเสียงดนตรีพื้นบ้านและดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ นำความดั้งเดิมและความร่วมสมัยมาผสานกันให้กลมกล่อม
ความหลากหลายนี้เองที่ทำให้การแสดงชิ้นนี้มีศิลปินต่างภูมิภาค นอกจาก เพียงรวี ศิริสุข ที่ทำการเคลื่อนไหวแบบล้านนาร่วมสมัยแล้ว ยังมีศิลปินรุ่นใหม่อีกสี่คน
เกศแก้ว เอี่ยมประชา จากจังหวัดเชียงใหม่ ที่ทำการแสดงฟ้อนเจิงของล้านนา
ญาณิศา บัวสุข และ ศิริญากร ลากุล สองศิลปินจากจังหวัดขอนแก่นผู้นำนาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานมาร่วมในการแสดง
และ กุลทัศวรรณ แก้วขาว จากจังหวัดสงขลาที่ใช้การแสดงโนราห์มาสื่อสารในการแสดงชิ้นนี้
“การแสดงนี้ทำให้พวกเราได้ออกจากกรอบของตัวเอง ทุกคนได้สร้างสรรค์งานในพาร์ทของตัวเอง ให้การเคลื่อนไหวทำงานร่วมกับดนตรีพื้นบ้านและเสียงสังเคราะห์”
เพียงรวี ศิริสุข กล่าวกับเราถึงเบื้องหลังการทำงานชิ้นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาล้วนมีพื้นฐานของนาฏศิลป์พื้นบ้านตามขนบ การเคลื่อนไหวบนเวทีนี้จึงเป็นเรื่องท้าทาย
“พาร์ทของเราเลือกเสียงของฟ้อนเล็บ ที่เหลือเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ที่เลือกฟ้อนเล็บเพราะสามารถสื่อถึงล้านนาได้อย่างแข็งแรง คนรู้จักว่ามาจากภาคเหนือ แต่การเคลื่อนไหวมีทั้งฟ้อนเล็บ ไม่ใช่ฟ้อนเล็บ หรือฟ้อนเล็บที่ดัดแปลงใหม่ เช่น จังหวะขาเป็นฟ้อนเล็บแต่มือเป็นอย่างอื่น และจากการฟ้อนเล็บก็นำไปสู่การฟ้อนผี”
เธออธิบายอีกว่าการฟ้อนผีเป็นวัฒนธรรมประเพณีของชาวล้านนา เพื่อให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเข้าทรงเพื่อเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร เช่นกันกับเธอที่มองว่าการแสดงชิ้นนี้เธอเป็นสื่อกลางในมิติของผู้สร้างเสียงและสื่อสารผ่านการเคลื่อนไหว เมื่อเทียบเคียงกับกระบวนการที่ศิลปิน Nguyễn + Transitory ใช้ในการแสดงก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก
สองศิลปินดูโอ้สร้างเสียงจากเทปสีทองแดงที่ถูกแปะบนพื้นที่ทำการแสดง บนนั้นจะมีเส้นหลักและเส้นรอง เมื่อนักแสดงใช้ร่างกายสัมผัสทั้งสองเส้นพร้อมกันกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านและกำเนิดเสียงขึ้นมา
หลักการทำงานจากบทสนทนานี้ส่งผลต่อการรับชมอย่างมาก แต่ความน่าสนใจมากกว่านั้นที่ค้นพบคือการแสดงชิ้นนี้ไม่ได้เป็นการทำงานร่วมกันของศิลปินเสียงที่ออกแบบและให้นักแสดงเคลื่อนไหวตามเท่านั้น
“เรามองว่านักแสดงคือผู้สร้างดนตรี เกิดจากการตีความที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจไปเชื่อมโยงกับความทรงจำ อาจไม่ได้เป็นเสียงของคนๆนั้นจริงๆ แต่ก็เชื่อมโยงในบางมิติ”
ในมุมมองของNguyễn + Transitory ก็เช่นกัน พวกเขาไม่ใช่ผู้เลือกและรังสรรค์ดนตรีเพียงลำพัง ทั้งหมดเป็นกระบวนทำงานร่วมกับนักแสดงทั้งห้าคนที่มีส่วนในการเลือกเสียงดนตรีพื้นบ้าน นำมาจัดวางลงบนเส้นให้กำเนิดเสียง ออกแบบการเคลื่อนไหวไปตามเส้นทองแดง ร่างกายควบคุมความหนักเบา ใช้ “จังหวะ” และ “ตัวตน” ดั้งเดิม พูดคุยกับผู้รับชม
นอกไปจากนั้นศิลปินทั้งสองยังพูดถึงการแสดงชิ้นนี้ว่าเป็น “การทดลอง”
อย่างที่เคยกล่าวไปตอนต้นว่าพวกเขาใช้ความหลากหลายของวัฒนธรรมเป็นสารตั้งต้น ลำดับต่อมาจึงตั้งสมมติฐานว่าการทำงานหลากหลายมิตินั้นสามารถเป็นไปได้หรือไม่
ผลลัพธ์ที่ได้จากกระบวนการทดลองนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะคำตอบที่ค้นพบก็เป็นความหลากหลายอีกเช่นกัน
วัฒนธรรมแตกต่างบนเวที
รากเหง้าผสมรวมกับสิ่งใหม่
ดนตรีที่บรรเลงโดยเครื่องดนตรีพื้นบ้านถูกตัดเติมเข้าไปด้วยเสียงสังเคราะห์




บางช่วงตอน สิ่งเหล่านี้ผสานรวมเข้ากันและดำรงอยู่ได้ บางช่วงตอน ก็เป็นเรื่องแสนยากที่จะอยู่รวมกัน บนเวทีจึงมีทั้งจุดที่ผู้ชมจะได้เห็นความสมดุลและความแปลกแยกเคล้าคลอกันไป
แต่เนื่องด้วยผลงานชิ้นนี้ได้สื่อสารกับผู้ชมโดยตรง ในอีกแง่มุม Nguyễn + Transitory จึงมองว่าผลงานชิ้นนี้คือ “การแสดงสด” ที่ไม่ได้อยากให้มุ่งมองหาเฉพาะเนื้อเรื่อง แต่อยากให้ใช้ร่างกายและจิตใจเปิดรับการแสดงตรงหน้า ค้นหาความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น รวมถึงคาดหวังไปในอนาคตว่าศิลปะเสียงที่ได้ร่วมทำงานไปกับความหลากหลายจะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สำคัญกับคนดู และมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่อยากจะเห็นศิลปะเสียงนี้ก้าวข้ามกำแพงทางวัฒนธรรมไปได้
กลับมาค้นหาความรู้สึกที่เกิดขึ้นในมุมมองของผู้รับชม อาจเรียกได้ว่า ณ พื้นที่แห่งนั้น นอกจากการเข้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์แล้วยังถือว่าได้เข้าไปเป็นประจักพยานในการแสดงชิ้นนี้อีกด้วย
การดู ล่องลอยไปตามจังหวะ ณ อาคเนย์ไร้แห่งหน สองครั้ง คือก่อนและหลังบทสนทนากับศิลปิน ให้ความรู้สึกแปลกแตกต่าง
ในครั้งแรก เป็นความพยายามอยากตีความถึงสิ่งที่เห็นตรงหน้า ภาพการเคลื่อนไหวของร่างกายบอกเล่าอะไรหรือดนตรีเหล่านั้นสื่อถึงเรื่องไหน แต่สิ่งนั้นไม่ประสบความสำเร็จด้วยมีอีกความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นควบคู่ ความรู้สึกนั้นคล้ายถูกผลักและดึง บางช่วงตอนสามารถสัมผัสเชื่อมโยง บางช่วงตอนเหมือนถูกกั้นห่างด้วยผนังที่มองไม่เห็น
แต่การได้พูดคุยถึงเบื้องลึกของแนวคิดและกระบวนการนั้นช่วยให้การรับชมในรอบที่สองสนุกมากขึ้น เป็นการลองปล่อยให้ร่างกายและหัวใจทำงานเต็มที่อย่างแท้จริง ราวกับได้ติดตามท่วงท่าการเคลื่อนไหวของนักแสดงแต่ละคนไปยังเส้นต่างๆ แต่ละเส้นเกิดเสียงอย่างไร มีจุดไหนที่เชื่อมโยงหรือจุดไหนที่ไม่เชื่อมร้อยกัน
ท้ายที่สุดเมื่อได้ทบทวนถึงงานชิ้นนี้อีกครั้ง พบว่า ล่องลอยไปตามจังหวะ ณ อาคเนย์ไร้แห่งหน ไม่ได้เป็นเพียงงานค้นหา ค้นพบ และประกอบสร้างสิ่งใหม่ในแง่ของวัฒนธรรม แต่ลึกลงไปกว่านั้น ศิลปะเสียงได้เข้ามาเขย่าจังหวะและตัวตนที่ถูกแช่แข็ง ให้ได้รับรู้ถึงจังหวะและตัวตนอย่างถ่องแท้ เพื่อค้นหาจุดที่จะพาไปเชื่อมโยงกับรากเหง้า ปัจจุบัน และอนาคตที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งต่อไป

—
ขอขอบคุณ : COZOMIA Performing Arts Archive ในการสนับสนุนการค้นคว้าข้อมูล