ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง
ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ : ภาพ

เมื่อวันที่ 5 และ 6 สิงหาคม 2568 สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 3 (ค.3) โครงการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมอ่าวอ่าง อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง และโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกเเหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
โครงการก่อสร้างท่าเรือทั้งสองแห่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ชุดโครงการขนาดมหึมามูลค่าการลงทุนประมาณ 1 ล้านล้านบาทที่เรียกสั้น ๆ ว่าโครงการ “แลนด์บริดจ์” ปรับเปลี่ยนพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดระนอง จังหวัดชุมพร และแนวเชื่อมต่อสองจังหวัดให้กลายเป็นเขตอุตสาหกรรม ท่าเรือน้ำลึก เส้นทางขนส่งสินค้า โดยมีร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันโครงการ
โดยแนวคิดเรื่องระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ SEC (Southern Economic Corridor) เป็นแนวคิดสืบเนื่องมาจากเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการเร่งรัดให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด ปรากฏผ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ช่วง พ.ศ. 2561 – 2580

โครงการแลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร ถูกตั้งคำถามจากผู้ที่อาศัยในที่ตั้งโครงการมาตลอด ก่อนถึงเวที ค.3 ภาคประชาสังคม เครือค่ายประชาชน อาทิ กลุ่มประมงพาณิชย์ กลุ่มประมงพื้นบ้าน กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพ ผู้ประกอบการโรงแรม เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ นักวิชาการทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น ฯลฯ ได้แสดงความคิดเห็นคัดค้าน เรียกร้องให้ประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน โดยมีเหตุผลสำคัญคือ กระบวนการรับฟังความคิดเห็นและรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ไม่ชัดเจน ปรากฏข้อมูลที่ผิดพลาด รวมทั้งไม่ครอบคลุมประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ
ส่วนหนึ่งของกิจกรรมรณรงค์ คือ การเดินเท้าคัดค้านแลนด์บริดจ์ของทม สินสุวรรณ หรือ ม๊ะทม อายุ 66 ปี จากบ้านของเธอที่แหลมอ่าวอ่าง ริมชายฝั่งอันดามันที่จะกลายเป็นจุดก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง พื้นที่โดยรอบจะถูกพัฒนาเป็นคลังสินค้า ไปยังสถานที่จัดเวที ค.3 คือ โรงแรมเฮอริเทจแกรนด์ คอนเวนชั่น ในตัวเมือง รวมระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร




“ที่ตั้งโครงการอยู่ใจกลางอ่าวอ่าง ทับดอนตาแผ้วที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้านมาหลายชั่วอายุคน ม๊ะไม่รู้จะพึ่งใคร บอกกล่าวหลุมศพของโต๊ะหยีสิมบนเกาะสนกลางอ่าวอ่าง เป็นที่เคารพของชาวบ้านให้ช่วยดูแลลูกหลาน”
ดอนตาแพ้วเป็นขุมทรัพย์กลางอ่าวระนอง เป็นดอนทรายปนโคลนที่มีเศษซากปะการัง ตั้งอยู่หลังเกาะพยามกับเกาะทรายเเดง หาดทรายดำ ไล่ลงมาทางใต้จนถึงเเหลมอ่าวอ่าง มีความลึกท้องน้ำประมาณ 4-6 เมตร
ด้วยความที่เป็นดอนขนาดใหญ่ อยู่ด้านหลังเกาะ จึงเหมาะต่อการเจริญเติบโตของสัตว์ทะเล ชาวประมงพื้นบ้านจากบ้านหาดทรายดำบอกว่าดอนตาแพ้วเป็นแหล่งที่กุ้งเเช่บ๊วยชุกชุมที่สุด กุ้งมักจะขึ้นเป็นเเพ ทำให้ได้กุ้งจำนวนมาก ส่วนชาวประมงพื้นบ้านจากท่าเรือบ้านม่วงกลวงเล่าว่าช่วงหน้าปูม้าจะขับเรือมาวางอวนปูที่นี่ โดยมักจะมีหอยลูกหมากติดมาด้วย
ขณะที่ชาวมอเเกนจากเกาะพยาม เกาะช้าง ก็มาจับสัตว์น้ำด้วยการดำลงไปฟังเสียงปลาใต้น้ำตามภูมิปัญญาดั้งเดิม





ในช่วงหนึ่งของการเดินรณรงค์ ดารารัตน์ ชิดเอื้อ ตัวแทนเครือข่ายรักษ์ระนอง อ่านแถลงการณ์ซึ่งตอนหนึ่งระบุว่า เครือข่ายรักษ์ระนองเป็นประชาชนในพื้นที่ มีทั้งชาวประมงพื้นบ้าน ชาวเลมอแกน คนไทยพลัดถิ่น ชาวสวนผลไม้ เรายืนยันมาตลอดว่านโยบายของรัฐบาลกำลังสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างประชาชนในพื้นที่กับนักลงทุนต่างชาติให้มีช่วงว่างห่างออกไปยิ่งขึ้น



เบญจวรรณ ทับทิมทอง อดีตครู ข้าราชการเกษียณ ตัวแทนเครือข่ายรักษ์พะโต๊ะจากฟากฝั่งอ่าวไทย กล่าวถึงสาเหตุที่ออกมาร่วมเรียกร้องให้ผู้ผลักดันโครงการคำนึงถึงผลกระทบ เพราะเห็นว่าถ้าทะเลถูกถมจะกระทบผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ชีวิตสัตว์ทะเล
“การที่ชาวบ้านต้องอ่านอีเอชไอเอ จำนวนหนึ่งพันสามร้อยกว่าหน้าภายในระยะเวลา 15 วัน มันเป็นไปไม่ได้เลย ในรายงานมีภาษาอังกฤษและศัพท์เทคนิคเยอะ ยากที่จะทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ การจัดเวที ค.3 เป็นเพียงพิธีกรรมที่ทำให้มันครบตามข้อบังคับ ไม่ได้ต้องการฟังเสียงกังวลของชาวบ้านอย่างแท้จริง
“เท่าที่พอจะอ่านได้ในระยะเวลาที่จำกัด ก็พบข้อมูลที่ผิดพลาดจำนวนมาก รายงานเป็นรายงานแบบกว้าง ๆ จุดจอดเรือไม่ชัดเจน รายงานสัตว์ทะเลไม่มีความหลากหลาย ไม่พูดถึงสัตว์น้ำในพื้นที่ เช่น เต่า พะยูน นี่คือความไม่ชอบมาพากลของรายงานที่ทำเพื่อให้ผ่าน ทำเพื่อส่งรัฐบาล ให้เห็นชอบ และผ่านไปเฉย ๆ”