
ตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 10 จนถึงบ่ายของวันที่ 11 กรกฎาคม ชาวค่ายสารคดีทั้งครูค่ายน้องค่ายออกเดินทางแยกย้ายกันไปทั่วสังขละบุรี เพื่อตามหาเสียงของผู้คนในพื้นที่ รวบรวมเสียงของความหลากหลาย
บางกลุ่มยังคงอยู่ในหมู่บ้านกองม่องทะเพื่อบันทึกวิถีชีวิตในหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางป่าเขา ทั้งการทอผ้า การจักสาน ไปจนถึงการบูรณาการประเพณีวัฒนธรรมแบบชนเผ่าไปกับการเรียนรู้สมัยใหม่ในโรงเรียน ก่อนจะเดินทางสู่เมืองสังขละบุรีเก่าด้วยเรือหางยาวเพื่อตามรอยความทรงจำของหมู่บ้านกะเหรี่ยงดั้งเดิมก่อนจะจมน้ำไปเพราะการสร้างเขื่อน
น้องค่ายอีกกลุ่มเดินเท้าสำรวจชีวิตคนมอญในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องใหญ่ๆ อย่างการหลบลี้ภัยสงครามจากประเทศบ้านเกิดหรือการเข้าสู่กระบวนการรับรองสัญชาติ ไปจนถึงเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างการปรับตัวเข้าหาการท่องเที่ยวของเด็กๆ ที่สะพานมอญ การเปลี่ยนประเพณีให้การเป็นสินค้าเพื่อเลี้ยงชีพของร้านรวงต่างๆ ควบคู่ไปกับความพยายามรักษาศิลปะดั้งเดิมของตนเอง ทั้งการแสดงดนตรีปีพาทย์ และเรื่องเล่านิทานต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ในใบลาน
น้องค่ายกลุ่มสุดท้ายสนใจบันทึกเสียงของชาวมุสลิมในสังขละบุรี คนส่วนน้อยของพื้นที่ คนชายขอบในเมืองชายขอบอีกทีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นชาวมุสลิมจากอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ พม่า หรือจากประเทศไทยเอง แต่ชาวมุสลิมกลุ่มนี้ยังผูกผันกันแนบแน่นกลมเกลียวด้วยวิถีของศาสนา และยังคงบอกเล่าเรื่องราวของตนเองอยู่ทุกวันๆ ผ่านมื้ออาหาร
“พอได้มาสัมผัสจริงๆ ความหลากหลายมันมีมากกว่าที่เคยอ่านมาจากในหนังสือหรืออินเทอร์เน็ต ทั้งภาษา การแต่งกาย อาหารการกิน ถ้าไม่ได้มาคุยกับพวกเขาเราจะไม่รู้เลยว่าความเป็นอยู่มันหลากหลายมากกว่าที่ค้นมาขนาดไหน” น้องค่ายแลกเปลี่ยนหลังจากลงพื้นที่
“มาที่นี่ เราได้เห็นว่าความหลากหลายอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องกลืนกันไปทั้งหมด มีคนมอญ คนกะเหรี่ยงกินโรตีโอ่งของชาวมุสลิมเป็นเรื่องปกติ ชาวมุสลิมก็เปิดร้านขายของพม่าได้ ทุกคนไม่ได้ลดทอนคุณค่าตัวเองลง แต่โอบรับกัน เหมือนได้เรียนรู้ว่าความหลากหลายคือการเอาความแตกต่างมาประกอบโยงกันครับ”
“ตลอดสองวันนี้มีโมเมนต์เล็กๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของเขา ได้ไปนอนที่บ้านกับชาวบ้าน ได้นั่งกินข้าววัดด้วยกันหลังพิธีทำบุญใหญ่ เด็กๆ ที่เราเจอกันวันนี้ วันรุ่งขึ้นเจอกันที่สะพานมอญเขาก็จำเราได้ ทักทายเรา เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ”
“รู้สึกว่าสองวันนี้ได้ฝึกสังเกตโลกรอบตัวมากขึ้นครับ ได้ฝึกเฝ้ามองคนที่ไปเจอมากขึ้น มันทำให้ผมย้อนคิดไปถึงบ้านตัวเองที่ก็มีความเป็นพหุวัฒนธรรมเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างในรายละเอียด เราเลยเหมือนได้ย้อนคิดทบทวนว่าที่สังขละบุรีนี่ต่างกับบ้านเรายังไงบ้าง ได้ทำความเข้าใจบ้านของตัวเองมากขึ้นครับ”
“การมาลงพื้นที่สังขละบุรีครั้งนี้สิ่งที่ได้มากกว่าความรู้ในสมองคือความรู้สึกในหัวใจค่ะ เราพอรู้ว่าคนมอญได้สัญชาติยากมาก กว่าจะได้บางคนต้องรอเป็นสิบปี แต่มารอบนี้ได้สัมผัสความตื้นตันของเขาจริงๆ ตอนที่เขาเล่า ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียงของเขา มันกระแทกเข้ามาที่ใจเราแล้วมันทำให้ความรู้แบนๆ ในหัวเรามันมีหลายมิติมากขึ้น เป็นความรู้สึกที่ประทับใจมาก ความรู้สึกนี้จะทำให้หนูจำเรื่องราวสองวันนี้ไปตลอดชีวิตเลยค่ะ”
ขอบคุณสังขละบุรีที่ช่วยให้ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเพื่อนมนุษย์
ขอบคุณจากใจจริงสำหรับการเป็นพื้นที่เรียนรู้ และความทรงจำที่สวยงาม






























สนับสนุนโดย
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
- มูลนิธิเล็กประไพวิริยะพันธุ์
- วิริยะประกันภัย
- กลุ่มธุรกิจ TCP
- Nikon
- TheDigital STM
- Hollyland Thailand
- Zhiyun Thailand
- Miliboo Thailand
- Sirui Thailand
- Sigma Thailand
- Srishti Digilife Thailand