มหาทักษา 52 - ปางขอฝน พระพุทธรูปประจำวันอังคารอีกปางหนึ่ง ?

ในพระนิพนธ์ “ตำนานพุทธเจดีย์สยาม” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวตอนหนึ่งเรื่องพระพุทธรูปปางต่างๆ อันกำหนดตามเทวดานพเคราะห์สำหรับบูชาเนื่องด้วยพิธีทักษา ว่า “พระอังคาร พระไสยา (ในรัชกาลที่ ๕ ทรงเปลี่ยนเป็นพระคันธารราฐ)”

จากข้อความประโยคนี้จึงดูเหมือนว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ (ผู้ทรงมีพระราชสมภพในวันอังคาร) ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยน “พระพุทธรูปประจำวันอังคาร” จากพระพุทธไสยาสน์ ไปเป็น “พระคันธารราฐ” อันเป็นพระพุทธรูปปางขอฝนแทน

เรื่องคติการสร้างพระคันธารราฐ (สะกดเป็น “คันธารราษฎร์” ก็มี) ในรัชกาลที่ ๕ นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าไว้ในพระราชนิพนธ์ “พระราชกรัณยานุสร” (๒๔๒๐) ว่าเมื่อมีดำริกันว่าจะสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา จึงต้องเลือกว่าควรสร้างเป็นพระพุทธรูปปางใด เนื่องจากในรัชกาลที่ ๓ เคยสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ จากพุทธประวัติ ตามพระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งต่อมาในรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้จารึกอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบุรพกษัตริยาธิราชเจ้าตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยามาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ไปแล้วเป็นส่วนมาก

“ครั้นมาถึงแผ่นดินปัจจุบันนี้ พระซึ่งเหลือจากปางต่าง ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างครั้งก่อนนั้น มีอยู่น้อยปาง ท่าทางก็เกะกะไปต่าง ๆ เห็นว่าพระคันธารราษฎ์ยังไม่มี จึ่งได้สร้างพระคันธารราษฎ์ขึ้นเท่าอายุในเวลานั้น”

ในเวลาต่อมา ทรงอธิบายประเด็นนี้เพิ่มเติมในพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” (๒๔๓๑) ว่า “ครั้นมาถึงในรัชกาลปัจจุบันนี้ พระที่เหลือจากทรงพระราชอุทิศถวายพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนมีอยู่สองปาง คือพระลองหนาวและพระคันธารราษฎร์ จึงได้เลือกพระคันธารราษฎร์เป็นพระชนมพรรษา” เนื่องจาก

“ท่านผู้ใหญ่ๆ ท่านก็เห็นว่า เมื่อปีฉลูเบญจศก ซึ่งข้าพเจ้าเกิดนั้น ฝนแล้งมาแต่ปีชวดจัตวาศก ครั้นถึงปีฉลูต้นปีฝนก็แล้งนัก จนข้าวก็ขึ้นราคา ข้าวในนาก็เสียมาก เวลาเมื่อประสูติข้าพเจ้า ในทันใดนั้นฝนตกมาก ตามชาลาในพระราชวังท่วมเกือบถึงเข่า เห็นกันว่าเป็นการอัศจรรย์อยู่ พระองค์เจ้าอินทนิลจึงได้ประทานข้าวเปลือกเป็นของขวัญตลอดมา และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าก็พอพระทัยรับสั่งประภาษถึงเรื่องนี้เนืองๆ รับสั่งให้ข้าพเจ้าเป็นหน้าที่สำหรับทำพิธีฝนแต่เล็กมา ท่านผู้ใหญ่จึงได้ตกลงกันให้ใช้พระคันธารราษฎร์เป็นพระชนมพรรษา”

พระพุทธรูปปางขอฝน หรือพระคันธารราฐ มีการสร้างทั้งปางประทับนั่ง และปางยืน ทว่าพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นั้น ศ.ดร. ม.ร.ว. สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ บรรยายในหนังสือ “พระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง” ว่า เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ซ้ายกวัก พระหัตถ์ขวาเป็นกิริยารับน้ำ มีจำนวนทั้งสิ้น ๕๘ องค์ ในจำนวนนี้มี ๑๕ องค์ที่ไม่มีฉัตรทองกางกั้น คือเท่าพระชนมพรรษาเมื่อยังมิได้เสวยราชย์ ส่วนอีก ๔๓ องค์ จำนวนเท่าพระชนมพรรษาตั้งแต่เสวยราชสมบัติจนเสด็จสวรรคต มีฉัตรฉลุทองปักกั้น

พระคันธารราฐ/คันธารราษฎร์ ที่รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นจึงหมายถึงพระชนมพรรษาเป็นสำคัญ และยังไม่พบข้อมูลว่ามีการเปลี่ยนแบบธรรมเนียม “พระประจำวัน” ที่ใช้ในพิธีรับพระอังคาร จากพระพุทธไสยาสน์อันมีมาแต่เดิม ให้เป็นพระคันธารราษฎร์ เพราะแม้แต่ใน “จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน” รัชกาลที่ ๕ ก็ยังกล่าวถึงการหล่อพระพุทธไสยาสน์ ควบคู่กับเทวรูปพระอังคาร เช่นในปี ๒๔๒๙

“เวลาเช้า ๔ โมงเศษ เสด็จออกพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ ทรงจุดเทียนทรงศีลแล้วทรงหล่อพระพุทธไสยาสน์และเทวรูปพระอังคารเทวบุตร ซึ่งนับตามคัมภีร์พยากรณ์ว่าจะแซกรักษาพระชนม์พรรษา แล้วทรงปฏิบัติพระสงฆ์แล้วเสด็จขึ้น”(วันพุธ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ อัฐศก จ.ศ. ๑๒๔๘/พ.ศ. ๒๔๒๙)

ดังนั้นจึงไม่อาจยืนยันได้ว่าที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงระบุใน “ตำนานพุทธเจดีย์สยาม” ว่าสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการเปลี่ยนพระพุทธรูปในพิธีทักษาสำหรับพระอังคาร จากพระพุทธไสยาสน์ เป็นพระคันธารราฐ/คันธารราษฎร์นั้น พระองค์ทรงเข้าพระทัยคลาดเคลื่อน หรือทรงอ้างอิงจากหลักฐานอื่นใดที่เรายังค้นไม่พบ ?