ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง
ประเวช ตันตราภิรมย์ : ภาพ
การสูญเสียพื้นที่ป่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ส่วนหนึ่งเพราะผืนป่าถูกเปลี่ยนสภาพเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยวรับรองการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร ระบบนิเวศป่าไม้ พืช สัตว์ สายน้ำ เสื่อมโทรม มีปริมาณลดลงหรือสูญหายไป
การตกอยู่ในวังวนของระบบผลิตอาหารและสินค้าเกษตรที่ทำลายระบบนิเวศผลักให้เกิดการรุกรานป่ามากขึ้น ทำให้ดินเสื่อมโทรม หน้าดินพังทลาย สารเคมีถูกนำมาใช้เพิ่มผลผลิต เร่งเผาเศษวัสดุทางการเกษตร อาทิ ซังข้าวโพด ฟางข้าว นำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เกิดไฟป่าและฝุ่น PM2.5 กระทบพื้นที่ต้นน้ำและลุกลามถึงปลายน้ำอย่างเขตเมือง
การปลูกต้นไม้หลากหลายชนิดช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจน ให้ร่มเงา บรรเทาความร้อน ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ไม้ยืนต้นในพื้นที่เกษตรช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน ฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมจากการปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว โดยมุ่งเน้นพรรณไม้ท้องถิ่นที่มีความหลากหลาย
แต่การปลูกต้นไม้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ทุกวันนี้มีกลุ่มเกษตรกรหาทางฟื้นฟูระบบนิเวศต้นน้ำและสร้างระบบการผลิตอาหารเพื่อสู้กับภาวะโลกรวน ผ่านแนวทาง เกษตรกรรมเพื่อการฟื้นฟู (Regenerative agriculture) ที่เน้นการพลิกฟื้นคุณภาพดิน เสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อระบบนิเวศที่สมดุล ด้วยการปลูกพืชหมุนเวียนร่วมกับต้นไม้ และอีกหนึ่งหัวใจคือการเลี้ยงสัตว์และแมลงแบบผสมผสาน อาทิ ชันโรง แมลงตัวเล็กที่ช่วยผสมเกสร แพะ สัตว์ที่ช่วยบำรุงดิน มูลเป็นปุ๋ยอินทรีย์ กินพืชได้หลายชนิดรวมถึงซังข้าวโพดและฟางข้าว
“การฟื้นฟูป่าไม่ใช่แค่เราปลูกต้นไม้แล้วแก้ไขปัญหาโลกรวนได้ ยังต้องปรับปรุงหลาย ๆ ด้าน” วรางคณา รัตนรัตน์ ผู้อํานวยการศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า หรือ รีคอฟ (RECOFTC) กล่าวในเวทีเสวนา “การฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าไม้ด้วยเกษตรกรรมเพื่อการฟื้นฟู (Regenerative agriculture)”
“ป่าของเราหายไปในเวลาประมาณ 20 ปี ส่วนหนึ่งเพราะเราเปลี่ยนพื้นที่ป่าเดิมให้กลายเป็นพื้นที่เกษตร ป่าเป็นแหล่งอาหารของเรา เกษตรกรเป็นคนท้องถิ่นที่ผลิตอาหารให้เรา เพียงแต่อาหารเหล่านั้นผลิตออกมาโดยระบบที่ไม่ยั่งยืนนัก ส่งผลกลับมาคือเรากำลังประสบวิกฤติทางธรรมชาติ เจอภัยพิบัติ จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูอยู่ที่ไหน ก็ต้องกลับไปที่สาเหตุ คือการทำงานร่วมกับเกษตรกรที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตร ให้เขาฟื้นฟู สร้างระบบการผลิตที่ยั่งยืน มาคุยกันว่ารูปแบบนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร ทำได้จริงหรือเปล่า โดยเฉพาะมันอยู่รอดไหมในทางเศรษฐกิจ แล้วคนเมืองหรือผู้บริโภคจะมีส่วนร่วมกับการฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าไม้ได้อย่างไร ภายใต้สถานการณ์โลกรวนที่เป็นอยู่นี้”
หมายเหตุ : เรียบเรียงจากเวทีเสวนา “การฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าไม้ด้วยเกษตรกรรมเพื่อการฟื้นฟู (Regenerative agriculture)” ส่วนหนึ่งของกิจกรรม “เมื่อคนท้องถิ่น คือกุญแจสู้โลกรวน” วันที่ 29 กันยายน 2568 ในช่วงสัปดาห์ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศกรุงเทพฯ (Bangkok Climate Action Week : BKKCAW) ณ อาคารพิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ

“ไม่ได้มองว่าป่าเข้ามาทำลายพื้นที่กินหญ้าของวัวแต่เป็นการแบ่งโซนเพื่อเพิ่มผลผลิต”
เจนนิเฟอร์ อินเนส-เทเลอร์
เจ้าของเพจน้องเจนทำฟาร์ม และเจ้าของอุดรออร์แกนิคฟาร์ม
ทำเกษตรฟื้นฟูมา 7 ปี พยายามไม่ใช้สารเคมี เน้นดูแลรักษาดินเป็นหลัก ผลผลิตจากพื้นที่ที่ใช้สารเคมี เทียบกับพื้นที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและปลูกแบบไม่ใช้สารเคมีแล้ว พื้นที่มีความหลากหลายจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพกว่ามาก เป็นบทเรียนที่ตอบโจทย์เรื่องวนเกษตร การปลูกป่าเสริมเข้าไปช่วยระบบนิเวศได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมี
การทำแบบแรก ผลผลิตเรียงเป็นแถวสวยงาม แต่แมลงกินกันเป็นบุฟเฟ่ต์ เสียหายเยอะมาก เป็นประสบการณ์ที่เราเรียนรู้จากการทำเกษตรที่อีสานที่มีความแห้งแล้งสูง
สิ่งที่ฟาร์มของเจนทำคือวนเกษตร มีการเลี้ยงวัวควบคู่ปลูกป่า ที่จริงแล้วความสำคัญไม่ใช่แค่ป่าอย่างเดียว แต่เป็นที่พักพิงของสัตว์ วัวจะเข้าไปคลอดลูกริมป่า ไม่เข้าไปในป่าเสียทีเดียวนะ แล้วทุกสัปดาห์วัวจะเข้าไปในป่า ไปกินสมุนไพร ไม่เคยเห็นเขากินต้นข่อยเลยก็เห็น เพื่อปรับสมดุลในลำไส้ เพื่อรักษาสุขภาพ ทำให้การทำการเกษตรของเราลดใช้ยา ที่สำคัญวัวของเราสุขภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ
เราไม่ได้มองว่าป่าเข้ามาทำลายพื้นที่กินหญ้าของวัว แต่เป็นการแบ่งโซนเพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มสิ่งที่ได้คุณภาพมากกว่า เพื่อลด รักษา โฟกัสสุขภาพที่ตามมา ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากขึ้น
สังเกตได้ชัดถ้ามีป่ากับมีหญ้าอยู่ด้วยกัน วัวกินหญ้าในแปลงโล่ง ๆ เสร็จจะย้ายมาบริเวณต้นไม้ในป่าเพื่อมาย่อยในช่วงบ่าย จะเห็นพฤติกรรมนี้ได้ชัด อยู่คู่กันมานาน อยากส่งเสริมว่าสิ่งนี้สามารถกระตุ้นการฟื้นฟูได้เป็นอย่างดี
สวนเราเมื่อก่อนเป็นพื้นที่มันสำปะหลัง ดินเป็นทราย ใช้เวลาฟื้นฟูด้วยการเลี้ยงวัวและปลูกป่าควบคู่กันไป เป็นการฟื้นฟูที่เร็วมาก เห็นผลชัดเจนว่าเมื่อเรานำสัตว์มาใช้ในเชิงการเกษตร มันทำให้ระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้เร็ว
เมื่อก่อนเรามักจะมองเกษตรเป็นเชิงเดี่ยว ทุกอย่างมีสูตรตายตัวหมด ต้องเป็นไปตามแพตเทิร์น ปลูกแบบนี้ได้ผลผลิตแบบนี้ แต่เมื่อผ่านไปเป็นปี หลายคนรู้เลยว่าผลผลิตมันตก แรก ๆ ทำได้ สิบปีแรกพอได้ สิบปีหลังไม่มีใครพูดถึงแล้ว ธรรมชาติเสื่อมโทรมไปเยอะ ทั้งที่ผ่านมาแค่ไม่กี่เจเนอเรชั่นเอง ยี่สิบปีที่แล้วการเกษตรทั่วประเทศไทยแทบจะไม่มีการใช้สารเคมีเลย ขับรถกลับบ้านแมลงบินชนเต็มกระจก สมัยนี้ไม่มีแล้ว ยาฆ่าแมลงแพร่หลายมาก แต่ในขณะเดียวกัน การเกษตรทำให้เรารู้ว่าเราพยายามควบคุมธรรมชาติ เราไม่ได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ มันทำให้เกิดวิกฤติทุกอย่างที่เจอวันนี้ ทำให้เราถอยหลังกลับมาคิดว่าเราจะร่วมมือกับธรรมชาติได้อย่างไร ธรรมชาติทำงานอย่างไร ธรรมชาติมีป่าทุกที่ มีชีวภาพทุกที่ มีการปิดหน้าดิน เราพยายามให้การเกษตรของเราลดการรบกวนดิน นี่เป็นใจความหลักที่เกษตรฟื้นฟูพยายามนึกถึงว่าเราจะดูแลดินได้อย่างไร

“อย่าลืมว่าคนเป็นกลไกสำคัญที่อยู่ในระบบนิเวศนี้”
รศ.ดร.สาพิศ ดิลกสัมพันธ์
อาจารย์คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การทำลายป่า เปลี่ยนป่าเป็นพื้นที่เกษตรไม่ได้เกิดเฉพาะประเทศเรา เกิดในทุก ๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศเขตร้อนที่มีคนยากจน เดือดร้อน ต้องการที่ดิน ตรงนี้เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ
ในมุมการเปลี่ยนแปลงป่าไม้ในประเทศเรา ในอดีตทำลายป่าเยอะมากจริง ๆ แต่ช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าภาครัฐ หรือแม้แต่กลุ่มเกษตรกรก็ปรับเปลี่ยน สถานการณ์เริ่มดีขึ้นในหลายส่วน แต่ก็มีการเปิดพื้นที่ใหม่ ๆ ในหลายส่วนเช่นกัน
อย่างทางจังหวัดน่าน อาจารย์มองว่าเป็นขาขึ้น กำลังปลุกกระแสการอนุรักษ์ การปรับเปลี่ยน ขณะเดียวกันตามพื้นที่ชายแดน ที่แม่ฮ่องสอนได้รับผลกระทบจากสงครามในเมียนมา มีคนเข้ามา ปี 2566 เป็นปีที่การลดลงของพื้นที่ป่ากลับขึ้นมาอีก
พื้นที่ลาดชันที่ควรมีต้นไม้ใหญ่ มีรากยึดเยอะ เราเปลี่ยนเป็นข้าวโพด รวมถึงมันสำปะหลัง เกิดการพังทลายของดิน แถวจังหวัดตากใกล้ชายแดน พืชที่ปลูกเยอะที่สุดคือมันสำปะหลัง ในแง่ความเสียหายกับระบบนิเวศ มันสำปะหลังแย่กว่าข้าวโพดอีกในแง่ที่ต้องขุดหัวขึ้นมา ยิ่งทำให้ดินเสียหาย นี่ไม่นับเรื่องปลูกไปนาน ๆ แล้วผลผลิตลดลงที่ยังคงเป็นปัญหา
พื้นที่เกษตรหลาย ๆ พื้นที่ เช่น ที่ดิน คทช. รัฐบาลอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนก็ช่วยราษฎรให้มีที่ทำกิน แต่อาจมีเงื่อนไขในแต่ละพื้นที่ ลุ่มน้ำ 1, 2 ต้องปลูกต้นไม้มากหน่อย ขณะที่ลุ่มน้ำ 3, 4, 5 อาจจะไม่ได้มีระเบียบด้านนี้มากนัก แต่ทั้งหมดทั้งปวง ถ้าเราอยู่ในพื้นที่เป็นต้นน้ำ พื้นที่ลาดชัน การปลูกไม้ยืนต้นสำคัญ ไม่ได้บอกให้ปลูกป่านะ อยากให้พวกเราปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ เป็นไม้ป่าก็ได้ ไม้ผลยืนต้นก็ได้ ให้มันความหลากหลาย เปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยว ให้มีไม้ผลไม้ป่าในพื้นที่ จะช่วยให้ระบบนิเวศของเราคืนมา
การฟื้นฟูนิเวศ ด้วยเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู คีย์เวิร์ดมีอยู่ไม่กี่คำ อันดับแรก การจัดการที่ดิน จัดการให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ คงไม่ใช่ห้ามทุกคนที่เคยปลูกข้าวโพดว่าจะปลูกอีกไม่ได้นะ ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น เพียงแต่เราสามารถจัดการพื้นที่ของเราให้มีความหลากหลาย ยกตัวอย่างการปลูกที่ผสมผสาน ที่เชียงใหม่ เกษตรกรปลูกข้าวโพดมาก่อน หลังจากนั้นปรับมาปลูกพืชยืนต้น คือไม้ผล ลำไย มะม่วง ซึ่งต้องรอผล ในเชิงเศรษฐกิจ กว่ามะม่วง ลำไยจะออกผล ในเชิงเศรษฐกิจจะทำอย่างไร ปลูกไม้พื้นล่างค่ะ ความหลากหลายมาจากไม้พื้นล่าง สิ่งที่เขาทำคือ ปีแรก ๆ ไม้ผลยังมีขนาดเล็ก ปลูกพืชที่ต้องการแสงมาก ๆ ได้ หลังจากนั้นปรับเปลี่ยนพืชไป นี่คือความหลากหลายทางชีวภาพ แต่สิ่งที่เขาทำไม่แค่นั้น เขาปลูกไม้ป่าเป็นแนวรั้ว จะเป็นส่วนที่คงอยู่เพื่อรักษาระบบนิเวศไว้ เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพได้ในแง่การจัดการ ปลูกไผ่ค่อนข้างเยอะ เพราะไผ่เป็นพืชที่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ลำใช้ทำไม้ค้าง หน่อกินได้ ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ รูปแบบความหลากหลายต้องมองย้อนกลับมาว่าเราจะใช้ประโยชน์อะไรด้วย
อันดับที่สอง จัดการดิน ควบคู่กัน ปลูกพืชคลุมดิน ลดการรบกวนดิน การไถพรวนคือการรบกวนดิน นอกเหนือจากไม่ช่วยสร้างความสมบูรณ์แล้ว ยังเป็นส่วนให้เกิดการสูญเสียคาร์บอนจากดิน เราพูดถึงคาร์บอนในต้นไม้เยอะ แต่ไม่ได้พูดถึงคาร์บอนในดินเลย การปลูกอะไรที่มีความหลากหลายมาก ๆ และลดการรบกวนดิน นอกจากช่วยให้ความสมบูรณ์กลับมา ยังกักเก็บคาร์บอนในดิน มีงานวิจัยที่พิสูจน์ชัดเจน ถ้าปลูกพืชที่มีความหลากหลาย การกลับมาของคาร์บอนในดินสูง
คีย์เวิร์ดสำคัญ การจัดการที่ดิน การจัดการดิน ทั้งหมดทั้งปวงเราจะมองแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ได้ อย่าลืมว่าคนเป็นกลไกสำคัญที่อยู่ในระบบนิเวศนี้ สิ่งที่ต้องมองคือ แล้วรายได้ล่ะ การออกแบบการจัดการที่ดินและดินที่พูดถึง
เราอยากได้สิ่งแวดล้อมที่ดี อยากได้ระบบนิเวศที่ดี แต่คนต้องอยู่ได้ ดีกว่าเดิมที่เขาปลูกมันสำปะหลังหรือข้าวโพดด้วยมันถึงจะไปได้ เรามองเรื่องการรวมกลุ่ม ตลาดท้องถิ่น มาถึงโครงการปลูกต้นไม้ ต้นไม้ของเรา เราไม่ได้มองแค่ระบบนิเวศจะดีขึ้น เรื่องรายได้ก็มองว่าปรับเปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวมาปลูกพืชที่มีความหลากหลาย เกิดการทำกิจกรรมอื่น อาชีพทางเลือก อาชีพเสริม ต้นไม้ที่ปลูกก็ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย สิ่งที่เห็นประโยชน์มาก ๆ คือพืชอาหาร ปลูกไม้ป่าก็เป็นพืชอาหารได้นะ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นพืชเกษตรอย่างเดียว ลิ้นฟ้า สะตอ ที่เก็บมาเป็นอาหารได้ เราไม่ได้เพิ่มรายได้ แต่ลดค่าใช้จ่ายลง

“คนกับป่าอยู่ด้วยกันอย่างอุดมสมบูรณ์เพียงพอจะเกิดการทำลายน้อยลง”
ดร.วุฒิกร สระแก้ว
อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จังหวัดน่าน
คำว่าโลกรวนเป็นเรื่อง not late for ทุกคน ตอนนี้อยู่ในขั้น not late for love the world, not late for changing the world แล้ว ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ความรับผิดชอบหลักของอาจารย์ด้านสัตวศาสตร์คือทำอย่างไรให้คนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ลูกศิษย์ของเรา คนสมัยใหม่ ตระหนักรับรู้ว่าไม่สายเกินไปที่เราจะหันกลับมามอง
ถ้าสัตว์อุดม ป่าจะสมบูรณ์ ก่อนที่เราจะมาทำเกษตร คน ป่า สัตว์ อยู่ร่วมกันมาก่อน คนมีอาหารเพียงพอ ปัจจุบันต้นทุนอาหารคือเงินจึงเกิดการทำเกษตร ถ้าเป็นสมัยก่อน มีสัตว์ป่าเยอะ มีพืชป่าเยอะ คนกับป่าอยู่ด้วยกันอย่างอุดมสมบูรณ์เพียงพอ จะเกิดการทำลายน้อยลง แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยน ความร้อนเปลี่ยน สัตว์น้อยลง ป่าน้อยลง คนต้องการเงินเพื่อซื้อของบริโภคมากขึ้น
คำว่าโลกรวนไม่ได้เกิดจากภาวะอากาศร้อนอย่างเดียว PM2.5 การเผา การคมนาคมขนส่งก็ส่งผล สัตว์ก็เป็นจำเลยสังคมที่ทำให้เกิดโลกรวน
โปรตีนในป่าใหญ่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เราจะทำอย่างไรให้เขาสร้างโปรตีน ไม่ให้เกิดการสร้างเม็ดเงินเพื่อซื้อโปรตีน
วันนี้การทำข้าวโพด 1 ไร่ ผลผลิต 800 กิโลกรัมนี่ถือว่าเก่งแล้ว ถ้า 800 กิโลขายกิโลละ 10 บาท คือ 8,000 บาท ใช้เวลาครึ่งปี หรือค่อนปี บางคนทำแค่รอบเดียวต่อปีเพราะต้องอาศัยดิน ฟ้า อากาศ น้ำฝน ถ้าใช้เงิน 8,000 บาทที่ได้มาต่อ 1 ไร่ ปีหนึ่งมี 12 เดือน ต้องใช้เดือนละ 10,000 บาท ตีว่าต้องใช้ 12 ไร่ หักลบกลบหนี้จริง ๆ กำไรไร่ละ 1,000-2,000 บาทเองนะ เขาต้องมาซื้อไก่ หมู ข้าว ไม่พอสำหรับคน 3 หรือ 4 คนในครอบครัว จึงเป็นที่มาของการขยายไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ตามมาคือต้นข้าวโพดแห้ง เปลือกข้าวโพดแห้งเยอะขึ้นเรื่อย ๆ อยากได้พื้นที่เยอะขึ้นก็เกิดการเผา
สิ่งที่ผมตื่นเต้นที่จังหวัดน่านคือเจอหมอกเดือนเมษายน หมอกที่ไม่ใช่หน้าหนาว หมอกที่เกิดตอนผมใส่เสื้อยืดและแมสปิดปาก นี่คือเรื่องโลกรวนที่สุด
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสัตว์ก็สำคัญ หาสายพันธุ์ที่สามารถเลี้ยงที่จังหวัดน่าน หาพืชอาหารสัตว์ที่อยู่ในพื้นที่ หาโปรตีนจากป่าแล้วยกระดับขึ้นมาเป็นการค้า หาวิธีการที่ทำให้ความเป็นจำเลยของเราน้อยลง หาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่กินแล้วลดมีเทนลง
ทั้งเรอออกจากปากและตดออกทางด้านท้าย วันนี้วัว สัตว์ปีกเราเป็นจำเลยสังคม ไก่ หมู ต้องย้อนกลับมาว่าจริง ๆ แล้วการเลี้ยงสัตว์ไม่ได้เป็นจำเลยสังคมแค่การปลดปล่อย แต่เราได้ประโยชน์ ข้อหนึ่ง เราหมุนเวียนคาร์บอนที่อยู่ในอากาศกลายเป็นคาร์บอนที่อยู่ในเนื้อ เราเอาเปลือกข้าวโพดไปเป็นเนื้อ เอาเศษเหลือจากเกษตรต่าง ๆ ไปเป็นเนื้อ ไม่ได้เผาแล้ว ถ้าทำได้รักป่าไหม เราสร้างรายได้จากโปรตีนเหล่านี้ทำให้เขาปลูกพืชเชิงเดี่ยวน้อยลง
สัตว์ที่เข้าไปในป่าของน่านควรเป็นสัตว์ที่ไม่รบกวนสภาวะแวดล้อม ไม่เป็นภาระของชาวป่า ไม่ใช่ให้คนที่อยู่ในป่าต้องไปซื้อวัตถุดิบอาหารมาเลี้ยง เราจึงตอบโจทย์ที่แพะ แพะเป็นสัตว์เลี้ยงง่าย กินได้หลากหลาย การตลาดดี ราคาดี
เกษตรกรไม่ต้องไปหาซื้อที่อื่น ทุกเศษเหลือ เปลือกข้าวโพด เปลือกฟักทอง เปลือกมะระ เป็นอาหารที่แพะกินได้ทั้งหมด ทุกพืชพันธุ์ที่อยู่ในป่า แล้วเขาเปลี่ยนอาหารเหล่านี้ให้เป็นโปรตีนชั้นดีให้กับเรา
กินแพะหนึ่งคำจะมีแต่รอยยิ้ม รอยยิ้มของคนกินเพราะได้กินโปรตีนที่อร่อยมาก รอยยิ้มของคนเลี้ยง เพราะแพะเป็นสัตว์เลี้ยงที่หยอกล้อกับเจ้าของ เป็นรอยยิ้ม เป็นความสุขของเจ้าของ เป็นความสมดุลของธรรมชาติ เป็นอาหาร เป็นรายได้ เขาเก็บกินของเสียที่หล่นจากการเกษตร ที่ดีที่สุดคือกินเข้าไปแล้วคุณจะได้เป็นคนที่รับผิดชอบต่อสังคม ลดการเผา ลดการปล่อยก๊าซมีเทน สร้างสมดุล สร้างปุ๋ยธรรมชาติ ลดการทำลายป่าเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยว
ปศุสัตว์ก็ไม่ต่างจากเรื่องข้าวโพด เป็นความสัมพันธ์ เป็นห่วงโซ่เดียวกัน เราสูญเสียพื้นที่ป่าเพื่อปลูกพืชอาหารสัตว์ แล้วเราก็เข้าสู่วงจรของอุตสาหกรรมเนื้อ ปศุสัตว์ เพื่อแปรรูปมาให้เราบริโภค เป็นคาร์บอนฟุตปริ้นต์ที่เรามีในการบริโภคโปรตีนในปัจจุบัน
การเลี้ยงแพะหรือสัตว์ที่สามารถอยู่กับพื้นถิ่น ปรับเปลี่ยนอาหารที่เอามาเลี้ยงปศุสัตว์เหล่านั้นให้เป็นอาหารที่มาจากพืชพรรณท้องถิ่นหรือเศษวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร มันสามารถทำให้เราผลิตโปรตีนที่เรียกว่าคาร์บอนต่ำได้ ระบบนี้อาจเป็นทางออกอีกทางหนึ่งในการฟื้นฟูภูมิทัศน์ป่าไม้ของเรา

“ชันโรงปศุสัตว์เข้ามาเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้เราดูแลรักษาป่าได้แต่เรื่องสำคัญคือปากท้องสังคมเศรษฐกิจ”
วรารัตน์ วุฒิ
ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต้นไม้ของเรา รักษ์สันติสุข จังหวัดน่าน, เกษตรกรในโครงการต้นไม้ของเรารุ่นที่ 1
ภาพจำก่อนเข้าเมือง การใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่อำเภอสันติสุขคือทำเกษตรเชิงเดี่ยว เป็นไร่ข้าวโพดหรือพืชเชิงเดี่ยวอื่น ๆ ออกจากบ้านมาเห็นไร่ข้าวโพด กลับบ้านไปก็ยังเป็นไร่ข้าวโพด
หลังทำงานร่วมกับชุมชน ทางรีคอฟมีโครงการต้นไม้ของเราเข้ามา เราเริ่มปรับเปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวเป็นเกษตรผสมผสาน เพิ่มความหลากหลายของพืช ในฐานะผู้นำชุมชน เราเชิญชวนเกษตรกรในชุมชนเข้าร่วมโครงการปลูกต้นไม้กับเรา
จุดท้าทาย เรื่องยาก คือปรับเปลี่ยนความคิดคน เขามีรายได้จากข้าวโพด เราจะบอกว่าคุณหยุดปลูกข้าวโพด มาปลูกต้นไม้ให้เราสิ มันก็ไม่ได้
พื้นที่ถูกใช้ปลูกพืชระยะสั้นมีอยู่มาก สิ่งที่เจอในแปลงปลูกข้าวโพดคือดินแห้งเสีย เกิดดินสไลด์ เรายังสังเกตว่าอากาศแปรปรวน ฝนตกไม่ตรงฤดูกาล ฤดูร้อนร้อนผิดปกติ น้ำในลำห้วยที่เคยใช้ประโยชน์ปูปลาหายไป สัตว์ท้องถิ่นหายากขึ้น
เราอยากปรับเปลี่ยนพื้นที่ ก่อนเริ่มเข้าร่วมโครงการต้นไม้ของเรา มีการประเมินดิน แปลงของเราคุณภาพดินแย่ที่สุด ไม่มีสารอาหารในดินเลย เราอยากปรับเปลี่ยน ทำอย่างไรให้ดีขึ้น การปลูกพืชของเราอย่างแรกปลูกเป็นแนวกันชน แนวกันไฟ พื้นที่เป็น คทช. แต่เป็นพื้นที่สูงเจอไฟไหม้ ไฟป่าทุกปีมาตั้งแต่สมัยทำไร่ข้าวโพด แต่ตั้งแต่ช่วง 3-4 ปีหลังดีขึ้น เพราะเกษตรกรปลูกยางพารา ปลูกไม้พื้นถิ่น ทำแนวกันชนไว้
ที่เห็นผลอย่างแรกคือคุณภาพดิน เริ่มมีสีเขียว มีไส้เดือน แมลงชนิดต่าง ๆ เข้ามา ประเมินด้วยสายตา จากที่ขุดไปมีแต่ผงดิน ก้อนหิน หลัง ๆ เริ่มมีไส้เดือน แมลง ดินมีความชุ่มชื้นมากขึ้น เพราะที่สวนปลูกไม้ป่า ประมาณ 500 กว่าต้น หลัก ๆ เป็นไม้ตระกูลยาง ยางนา ยางแดง พืชท้องถิ่นของอำเภอสันติสุข ในอดีตเราจะเห็นไม้ตระกูลยางเยอะ รวมถึงพวกฝางที่เป็นสมุนไพร มะแขว่นที่ใช้ทำอาหาร พืชอื่น ๆ ที่เป็นอาหารให้ชันโรง หรือแพะ เพราะมีแปลงเข้าร่วมโครงการแล้วเลี้ยงแพะด้วย
ชันโรง ปศุสัตว์ เข้ามาเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้ เราดูแลรักษาป่าได้ แต่เรื่องสำคัญคือปากท้อง สังคม เศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องสำคัญของเกษตรกรเหมือนกัน ถ้าเราให้เขาปลูกต้นไม้อย่างเดียว หรือเราปลูกต้นไม้อย่างเดียว กว่าต้นไม้จะโต ให้ผลผลิต ใช้ระยะเวลานาน มีโครงการเข้ามาก็เลยเข้าร่วม สร้างอาชีพทางเลือกในการเลี้ยงชันโรงและการเลี้ยงแพะ อย่างแรกที่ได้คือลดการเผา ไม่ใช่แค่พื้นที่เรา แต่พื้นที่ใกล้เคียง พอรู้ว่าเราเลี้ยงชันโรง เขาก็ไม่เผา เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรหยุดใช้สารเคมี แล้วปลูกพืชที่หลากหลาย

