ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง
ธันยพร วงศ์ธิติโรจน์ : ภาพ

“การก่อสร้างอาคารด้วยไม้เป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรสวีเดน ที่สวีเดน รายได้ส่วนใหญ่ของเกษตรกรมาจากการขายไม้สำหรับก่อสร้างมากกว่าการทำเยื่อกระดาษหรือพลังงานชีวภาพ การบริหารจัดการป่าอย่างเหมาะสมช่วยทำให้เกษตรกรได้ผลตอบแทนยั่งยืน”
Klas Bengtsson ผู้ร่วมก่อตั้ง Eco-innovation foundation(EFI)ประเทศสวีเดน กล่าวในงานเสวนา ปลูกการศึกษา : ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไม้ด้วยงานวิจัย ไทย-สวีเดน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ที่สถาบันนวัตกรรมป่าไม้ จังหวัดแพร่ ส่วนหนึ่งของกิจกรรม ไม้-เปลี่ยน-เมือง ? สานพลัง ไทย-สวีเดน สู่เมืองไม้ยั่งยืนจังหวัดแพร่ จัดโดยศูนย์ Thailand and Nordic Countries Innovation Unit (TNIU) ภายใต้สถานเอกอัครราชทูตไทยในกลุ่มประเทศนอร์ดิก อันประกอบด้วยสวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์


จากประสบการณ์ของ Klas แนวทางวิจัย ฝึกอบรม ตลอดจนพัฒนาทักษะการก่อสร้างด้วยไม้ต้องทำงานประสานกัน 2 ระดับ ได้แก่ ระดับท้องถิ่น เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถของชุมชน จัดฝึกอบรมตามจุดแข็ง-จุดอ่อน โดยมีรัฐบาลท้องถิ่นสนับสนุน และ ระดับวิชาการ เพื่อศึกษาและพัฒนาตัวอย่างจากห่วงโซ่คุณค่าที่ชุมชนมี โดยทำงานร่วมกับชุมชน
“การฝึกอบรมและโครงการนำร่องต้องเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างระดับท้องถิ่นกับระดับวิชาการ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาพร้อมกัน บทเรียนจากสวีเดนเรื่องการรวมกลุ่มกันของเจ้าของที่ดินหรือพื้นที่ป่าไม้ช่วยทำให้เกษตรกรเกิดความภูมิใจร่วม สามารถรวมตัวกันต่อรอง เมื่อเกษตรกรได้รับผลตอบแทนจริงจะเกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมไม้ ที่สวีเดน การจัดทริปดูสวนป่าตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จทำให้เกษตรกรได้รับแรงจูงใจ สร้างเครือข่ายและเกิดการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้านงานไม้ของชุมชนเมืองและชุมชนท้องถิ่น ช่วยขับเคลื่อนแหล่งไม้ในท้องถิ่นและสร้างตลาดภายใน
“ผมคิดว่าโมเดล Forest Owner Association ที่กล่าวมาสามารถปรับใช้กับประเทศไทย เช่นเดียวกับพื้นที่ทางตอนใต้ของสวีเดนที่มีอุตสาหกรรมไม้ขนาดใหญ่มาก”
Klas เน้นย้ำว่าสิ่งที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายเล็กในสวีเดนไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ไม้ เยื่อกระดาษ หรือการขายไม้เพื่อนำไปเผาเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ แต่เป็นการขายไม้เพื่อใช้เป็นวัสดุก่อสร้างอาคารหรือการก่อสร้างอาคารด้วยไม้ (Wood Building) อย่างไรก็ตามความสำเร็จดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ เพียงชั่วข้ามคืน



เมื่อราวสองปีก่อน ผศ.สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเดินทางไปสวีเดนเพื่อสานต่อโครงการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาห้องสำเร็จรูปไม้สำหรับอาคารชุดพักอาศัย หาทางเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาอาคารไม้ของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสถานทูตไทย-สวีเดน ผ่านการร่วมทุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมทดลองโครงการห้องชุดชั้นลอยจริงของบริษัท Nirvana Development
“เราเคยมีหลักสูตรการก่อสร้างอาคารไม้ แต่หายไปหลังการปิดป่า หลังจากนั้นมาเราก็หันหน้าไปใช้คอนกรีต” อาจารย์สรายุทธกล่าวถึงเรื่องราวในอดีต
“แต่ปัจจุบันเรายังหลงเหลือความชำนาญเฉพาะด้าน หรือ know how ที่พร้อมฟื้นคืนกลับมาใช้ใหม่ ความท้าทายสำคัญคือจะพิสูจน์อย่างไรว่า ‘ไม้’ สามารถแข่งขันกับ ‘ซีเมนต์บอร์ด’ ได้ และไม่ได้มีราคาแพงอย่างที่หลายคนเชื่อ ข้อดีคือเมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างไม้กับโครงสร้างคอนกรีตแล้ว ลูกค้ามักชอบไม้เพราะให้ความรู้สึกผ่อนคลายและพักผ่อนกว่า”
อาจารย์สรายุทธให้ข้อมูลว่า “ทุกวันนี้ไม้เนื้อแข็งหรือไม้แท้ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการอัดหรือแปรรูปใหม่ (solid wood) ยังแข่งกับตลาดคอนกรีตไม่ได้ ทางออกคือใช้วัสดุไม้แปรรูปสมัยใหม่ เช่น ไม้อัดแปรรูปประสานหลายชั้น (LVL-Laminated Veneer Lumber) ไม้ที่ผ่านเทคนิคการต่อไม้เข้าด้วยกัน (Joint) ไม้ผสม ไผ่อัด เพื่อลดราคาและทำให้เกิดการแข่งขัน เราต้องสร้างระบบปลูกไม้เนื้อแข็งผสมผสาน เก็บเป็นทุนระยะยาว ร่วมกับการใช้ไม้โตเร็วเป็นทางเลือกในตลาด ต้องเปลี่ยนความคิดของประเทศไทยว่าไม้ไม่ใช่ของแพง แต่เป็นวัสดุทางเลือกที่ยั่งยืน แข่งขันได้ และช่วยสร้างตลาดใหม่”
บทบาทด้านการศึกษาเพื่อให้ความรู้แก่สังคมเกี่ยวกับไม้ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาทิ ผลการทดลองและวิจัยที่พบว่าไม้อัดแปรรูปมีราคาถูกกว่าเหล็กและซีเมนต์บอร์ด ไม้สักท่อนยังมีราคาแพงสำหรับการก่อสร้างชั้นลอย ไม้สะเดาเทียมซึ่งเป็นไม้โตเร็วในภาคใต้มีคุณสมบัติบางด้านใกล้เคียงกับไม้สัก เช่น มอดไม่กิน มีกลิ่นคล้ายไม้สัก ราคาถูกกว่าประมาณร้อยละ 20 สิ่งที่ท้าทายคือคำว่า “สะเดา” อาจไม่ถูกใจผู้บริโภค อาจต้องรีแบรนด์ไปใช้ชื่ออื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น “สักอภินิหาร”
ทั้งนี้ อาจารย์สรายุทธชี้ว่าการผลักดันให้เกิดความต้องการใช้ไม้ต้องอาศัยทักษะของภาคเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนา



รัชนีกร รวมทวี ผู้จัดการ Innovation Management and Incubation, SCG Cement-Building Materials ในฐานะตัวแทนจากภาคธุรกิจ ให้ความเห็นว่าอุตสาหกรรมนี้ต้องครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ต้องพิสูจน์ด้วยเทคโนโลยีและมาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อถือ
“คำถามหลักทางธุรกิจ คือ มีไม้พอไหม ? มีตลาดหรือเปล่า ? ทั้งในไทยและต่างประเทศ เพราะตลาดคือหัวใจที่ช่วยทำให้การจัดหาซัพพลายเป็นไปอย่างมั่นคง และทำให้ระบบนิเวศอยู่รอด”
สำหรับการก่อสร้างด้วยไม้ เบื้องต้นเอสซีจีสนใจไม้โตเร็ว เช่น ไผ่ ยูคาลิปตัส และสนใจศึกษาไม้สัก สะเดา เพื่อพัฒนาคุณภาพ ผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่าสูง (value product) ถึงผลิตภัณฑ์พลอยได้ (by product) ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ ถึงชีวมวล
“ไทยมีข้อได้เปรียบเรื่องรอบตัดสั้นเมื่อเทียบกับสวีเดนที่ต้องใช้เวลา 90 ปี เป็นโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่และเจาะตลาดเอเชีย ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ตัวต้นแบบแล้วเช่น LVL แต่ยังต้องต่อยอดสู่ตลาดจริง ต้องแก้ช่องว่างทางความรู้ด้านการออกแบบ การก่อสร้าง การติดตั้ง เพื่อให้ใช้งานได้ทั้งแนวราบและตึกสูง”
รัชนีกรเน้นย้ำว่าหากต้นทุนการก่อสร้างด้วยไม้ยังสูง จะไม่สามารถเข้าตลาดได้ ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อแข่งขัน
“จังหวัดแพร่เป็นจุดร่วมสำคัญในการต่อจิ๊กซอว์ หากทุกฝ่ายประยุกต์ใช้แนวทางร่วมกัน ช่วยกันสร้างต้นแบบจะเกิดภาพชัด เร็ว นำไปสู่เมืองไม้ยั่งยืนได้จริง”
จังหวัดแพร่มีความสำคัญด้านป่าไม้หลายมิติ ทั้งในแง่สังคม ทรัพยากร เศรษฐกิจ การอนุรักษ์ วัฒนธรรมเกี่ยวกับไม้ ในอดีตเคยได้รับฉายาว่า “เมืองไม้สัก” เนื่องจากมีการทำไม้สักอย่างแพร่หลาย เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมไม้ที่นิยมใช้ไม้ในงานก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ ไม้สักจากจังหวัดแพร่ถือเป็นไม้คุณภาพสูง
ทุกวันนี้แพร่เป็นหนึ่งในจังหวัดภาคเหนือที่มีพื้นที่ป่าไม้มาก ประชาชนหลายกลุ่มยังพึ่งพาทรัพยากรป่าไม้ในชีวิตประจำวัน เช่น เก็บหาของป่า เห็ด สมุนไพร ใช้ประโยชน์ทรัพยากรไม้ในการสร้างบ้านแบบล้านนา


ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก ผู้ทรงคุณวุฒิ และรองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับบริบททางประวัติศาสตร์ของจังหวัดแพร่ว่า “ประวัติศาสตร์ คือ รากเหง้า และต้นทุนของอนาคตที่ไหนไม่มีประวัติศาสตร์ ที่นั่นไม่มีอนาคต จังหวัดแพร่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ด้านไม้ชัดเจน จึงเป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้แพร่มีอนาคตในการขับเคลื่อนสู่เมืองไม้ยั่งยืน” และกล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ด้านนี้ว่า
“มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีพื้นที่นำร่องก่อสร้างอาคารไม้สูงภายในมหาวิทยาลัยด้านที่อยู่ติดถนนงามวงศ์วาน การก่อสร้างเป็นไปตามแนวคิด ‘อาคารต้นไม้แห่งความรู้’ พื้นที่ชั้นล่างเป็นคอนกรีตเพื่อความแข็งแรง โครงสร้างด้านในใช้ไม้แปรรูปที่ถูกผลิตขึ้นโดยกระบวนการทางวิศวกรรม ได้แก่ Glulam, CLT และ LVL เพื่อเสริมส่งผลเชิงบวกในกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไม้ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการยกระดับสถาปนิกช่างไม้ของประเทศไทย
“จังหวัดแพร่และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่เพียงสืบต่อประวัติศาสตร์ไม้ แต่กำลังสร้างอนาคตเมืองไม้ยกระดับทั้งอุตสาหกรรม การศึกษา และงานวิจัย ถ้าจะทำไม้สักสู่เวทีโลก ต้องจัดการตั้งแต่ต้นน้ำ ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่า การศึกษา งานวิจัยทางวิชาการ และการสื่อสาร”
วิทยาลัยชุมชนแพร่เป็นอีกหนึ่งสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทสอดรับสนับสนุนแนวทางเมืองไม้ยั่งยืนแพร่
วิทยาลัยชุมชนเป็นหลักสูตรอนุปริญญาภายใต้สถาบันวิทยาลัยชุมชน มีบทบาทและหน้าที่ดูแลประชากรฐานล่างประมาณร้อยละ 10 ที่ขาดโอกาสทางการศึกษา เปิดสอนเนื้อหาตามจุดเด่นของแต่ละจังหวัด
สุมามาลย์ วิวรรธนดิฐกุล ประธานสภาวิทยาลัยชุมชนแพร่ อธิบายว่าพันธกิจของวิทยาลัยชุมชนแพร่ คือ มุ่งเน้นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนในชุมชน ทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานราก บริการวิชาการด้านอาชีพและคุณภาพชีวิต ทำนุบำรุงศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งรักษาสิ่งแวดล้อม
“หลักสูตรและการเรียนการสอนของสภาวิทยาลัยชุมชนแพร่จะควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริง เน้นเรื่องไม้สัก เช่น การทำเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงหลักสูตรรุกขกร ป่าชุมชน การจัดการทรัพยากรป่าไม้ การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ การฝึกอบรมทักษะที่จําเป็น เช่น การตัดไม้อย่างถูกวิธี และการแปรรูปไม้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่งเสริมนวัตกรรมป่าไม้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายจังหวัด
“ปัจจุบันเราเปิดหลักสูตรอนุปริญญาด้านป่าไม้และทรัพยากรป่าไม้ ออกประกาศณียบัตร โดยทำบันทึกความเข้าใจกับสถาบันนวัตกรรมป่าไม้ รุ่นแรก 68 คน รวมเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อ upskills, reskills และผู้สนใจทั่วไป เปิดโอกาสเรียนต่อระดับปริญญากับมหาวิทยาลัยที่ทำบันทึกความเข้าใจ รูปแบบการเรียนการสอนมีความยืดหยุ่น เรียนได้ตั้งแต่อายุ 20 ไปจนถึง 80 ปี รับสอนในพื้นที่ห่างไกลหากรวมตัวกันได้ 20 คน เรายินดีทำหน้าที่เป็นผู้ผลักดันให้เกิดการเรียนรู้แบบยั่งยืน เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเมืองไม้ยั่งยืนแพร่”
ขอขอบคุณ
- ศูนย์ Thailand and Nordic Countries Innovation Unit (TNIU) ภายใต้สถานเอกอัครราชทูตไทยในกลุ่มประเทศนอร์ดิก
- คุณธันยพร วงศ์ธิติโรจน์

