ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล : เรื่อง
ประเวช ตันตราภิรมย์ : ภาพ
ประเทศไทยมี “ป่าชุมชน” ที่คนท้องถิ่นดูแลรักษาขึ้นทะเบียนกับภาครัฐแล้วมากกว่า 6 ล้านไร่ และยังมีผืนป่าอีกไม่น้อยที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน
ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่มักอยู่รอบป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชนจึงเปรียบเหมือนพื้นที่กันชนที่คอยปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีคนท้องถิ่นทำหน้าที่พิทักษ์ เพื่อให้ผืนป่ายังแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร ทำหน้าที่เป็นปอดดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสร้างอากาศสะอาด
อย่างไรก็ตาม ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศทำให้บทบาทการดูแลและจัดการทรัพยากรป่าชุมชนของคนท้องถิ่นยากลำบากมากขึ้น และต้องการการสนับสนุนเพื่อรับมือความท้าทายต่าง ๆ
“ป่าชุมชนเป็นรูปแบบการจัดการป่าที่อยู่คู่ชุมชนมานาน ตกทอดเป็นภูมิปัญญาและประเพณีของหลายชุมชน ในหลายพื้นที่ป่าชุมชนได้รับการปกป้องและฟื้นฟูจากการทำสัมปทานไม้ของรัฐในอดีต แนวทางหนึ่งที่ช่วยยกระดับการจัดการป่าชุมชนเพื่อรับมือสภาวะโลกรวน คือการช่วยให้คนท้องถิ่นสามารถสำรวจและประเมินสถานภาพป่า รู้จักจำแนกชนิดพืชและสัตว์ เก็บข้อมูลทรัพยากรที่มีความสำคัญหรือหายาก รู้จักภัยคุกคามภายใต้สภาวะโลกรวน” อัฉราภรณ์ ได้ไซร้ ผู้ประสานงานโครงการป่าชุมชนของเรา (Grow CF) รีคอฟ ประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของคนท้องถิ่นในฐานะผู้ดูแลป่า ในงานเสวนา “ยกระดับป่าชุมชนเพื่อรับมือโลกรวน” ส่วนหนึ่งของกิจกรรม “เมื่อคนท้องถิ่น คือกุญแจสู้โลกรวน” ณ อาคารพิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568
“ประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดการป่าชุมชน คือ อาหาร แหล่งน้ำ ป่าชุมชนเป็นตู้เย็น เป็นตู้กับข้าว ทำหน้าที่เป็นแนวการชน ทำให้เกิดเส้นทางการเคลื่อนย้ายของสัตว์ป่า ภายใต้ภาวะโลกรวน จะทำอย่างไรให้เกิดกระบวนการยกระดับการจัดการป่าชุมชนให้ดียิ่งขึ้นไป”

“ถ้าไม่ประกาศ ไม่ยกตัวเองขึ้นมาเป็นป่าชุมชนคงไม่ชนะกฎหมายของรัฐบาลที่ให้สัมปทานสมัยนั้น”
แช่ม เพ็ชรจันทร์
ประธานกลุ่มวิสาหกิจและคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านแหลมมะขาม อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง
ป่าชุมชนบ้านแหลมมะขามเป็นป่าชายเลนชุมชนแห่งแรกของประเทศไทย ถ้าไม่ประกาศ ไม่ยกตัวเองขึ้นมาเป็นป่าชุมชนคงไม่ชนะกฎหมายของรัฐบาลที่ให้สัมปทานสมัยนั้น เป็นการต่อสู้ที่ต้องเสียชีวิต
จังหวัดตรัง มี 22 ป่าชุมชนในเขตป่าชายเลน ต้องแลกกับชีวิตทุกพื้นที่ต้องต่อสู้กับนายทุนที่มีคอนโดเตาถ่าน มีไม้เต็มเตา การที่ชุมชนใช้สิทธิ์จัดการป่า ตั้งเป็นป่าชุมชนของตัวเองขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับนายทุน แล้วก็เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะเราได้รับผลกระทบ ไม่ว่าป่าบกหรือป่าเลนมีคุณค่า หลายคนบอกว่าป้าจอยหรือคนในแหลมมะขามบ้าไปแล้ว ขายอากาศ แต่ทุกคนเวลาจอดรถไม่จอดกลางแดด เวลาขับรถสักคันหนึ่งหาที่จอดร่ม ๆ ไม่ได้ก็มองหาต้นไม้ ทุกคนชอบที่ร่ม
วันนี้อากาศสำคัญที่สุด รวมถึงสายน้ำ ถ้าไม่มีน้ำจืดไหลลงมาน้ำเค็มก็ตาย สัตว์น้ำก็ตาย ตั้งแต่ป่าต้นน้ำ ป่ากลางน้ำ ถึงป่าชายเลน ป่าชายหาด มีความสำคัญทั้งหมด เราไม่ได้ดูแลเฉพาะหมู่บ้านหนึ่งหมู่บ้านใด ความสำคัญตรงนี้ต้องอยู่ในใจของคนไทยตลอดไป ไม่ใช่อยู่แค่วันที่คุณจอดรถ หรือตอนที่คุณอาบน้ำ
ป่าชุมชนให้ความสำคัญกับสิทธิในการจัดการป่า แต่ในขณะเดียวกัน ภาวะโลกรวนก็ทำให้อาชีพ เปลี่ยนไป จะทำอย่างไรให้แหล่งอาหาร หรือต้นทุนของการประกอบอาชีพยังคงอยู่

“การมีป่าทำให้ระบบนิเวศเอื้อต่อการผลิตอาหารบทบาทป่าชุมชนชัดเจนมาก”
ผศ.ดร.รัชนี โพธิแท่น
อาจารย์คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ป่าชุมชนเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะป่าอุทยานหรือป่าในพื้นที่ที่รัฐดูแล และมีบทบาทในเชิงความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่องการอนุรักษ์ดิน น้ำ พื้นที่ไหนมีป่าสภาพอากาศจะดี น้ำจะอุดมสมบูรณ์ ดินดีกว่าที่อื่น
เคยคิดว่าป่าต้องให้ความมั่นคงทางอาหารอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ ทั้งลูกศิษย์ทั้งอาจารย์พยายามหาวิธีการ ทำวิจัย ตรวจวัด เลือกชุมชนบ้านสบลาน จังหวัดเชียงใหม่
การวัดความมั่นคงทางอาหาร ไม่ใช่อยู่ ๆ ไปถามชาวบ้านว่ากินอะไร มีอาหารจากป่าเท่าไหร่ แล้วเอามาคำนวณ สรุปว่าป่าเป็นซุเปอร์มาร์เก็ต ไม่ใช่ ต้องเก็บทุกฤดูกาล ไปทุกบ้าน ถามว่ากินอะไรแล้วจำแนกออกมาเลยว่าอะไรมาจากป่า อะไรมาจากแถว ๆ ทางเดินไปป่า จากแปลงของตัวเอง หรือจากไร่เหล่า
ข้อมูลที่ได้ทำให้ตกใจมาก คำนวณแล้วอาหารจากป่าที่ให้กับครัวเรือนอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ทำไมแค่นี้ ไปลงพื้นที่ใหม่ กลับมาทบทวน ชุมชนบอกว่าความมั่นคงทางอาหาร ไม่ใช่แค่เราไปเอาอาหารจากป่า ไม่ใช่การไปเก็บหน่อไม้ เพราะเรากินหน่อไม้เท่าที่เราอยากกิน ไม่ใช่กินทุกวัน ผัก ปลา ก็เก็บบางช่วง แต่สิ่งที่ชุมชนบอกชัดเจนคือการมีป่าทำให้ระบบนิเวศเอื้อต่อการผลิตอาหาร บทบาทป่าชุมชนชัดเจนมาก ทำให้น้ำดี ดินดี ทำนาได้ ปลูกข้าวได้ ทำข้าวไร่ได้ดี ปลูกอะไรก็งอกงาม สิ่งนี้ต่างหากที่บอกว่าป่าชุมชนไม่ใช่แค่เดินเข้าไปเก็บอาหาร แล้วบอกว่าเป็นซุเปอร์มาร์เก็ต แต่อยากให้มองภาพกว้างว่าป่าชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการผลิตอาหาร นี่คือความมั่นคงอาหาร
เวลามองเรื่องป่าชุมชนไม่อยากให้มองเป็นหย่อมป่า แต่อยากให้มองเป็นภูมินิเวศ หรือภูมิทัศน์ป่าไม้ อยากให้มองป่าเชื่อมกับเกษตร เชื่อมกับวิถีชีวิต เชื่อมกับผู้คน บทบาทของป่าชุมชนคือการเชื่อมชีวิต สิ่งนี้สำคัญมาก

“ป่าชุมชนหรือพื้นที่ของเอกชนก็มีส่วนร่วมดูแลทรัพยากร เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกได้”
วัลลภ ปรีชามาตย์
ผู้อำนวยการกลุ่มงานขับเคลื่อนนโยบายและกลไก กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.)
เรามีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเราใช้ทรัพยากรจากพื้นที่ตรงนั้น มีชุมชนช่วยดูแลป่า คนเมืองชอบกินปูม้า ก็มาจากการพื้นที่ที่พี่น้องดูแล สมัยก่อนเรากินปูดำ ปูม้า ถึงเวลาเก็บหมด จะมีไข่ไม่มีไข่ไม่สน ยิ่งมีไข่ยิ่งอร่อยใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้ รู้แล้วว่าถ้าจับทั้ง ๆ ที่มีไข่ ไม่ทันได้ฟักตัว ต่อไปผลผลิตจะน้อยลง ขายได้น้อยลง ก็มีการทำธนาคารปูม้า รู้จักการอนุรักษ์
ชุมชนอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ในอดีตที่ผ่านมาสภาพอากาศ สภาพทรัพยากรดีหมด แต่พอเราใช้ไปเรื่อย ๆ มันเริ่มเสื่อมโทรม ชุมชนเริ่มคุยกันว่าปัญหาเกิดจากอะไร นำไปสู่การแก้ไข สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างหุ้นส่วน หรือเครือข่ายความร่วมมือ ในการทำ งานผมพยายามเชื่อมโยง ภาครัฐเอง ณ ปัจจุบันคงไม่ใช่หน่วยงานที่จะไปกำกับทุกเรื่อง กำหนดว่าต้องทำ 1 2 3 4 5 เพราะเราไม่ได้รู้ในรายละเอียดเฉพาะของพื้นที่ และแต่ละพื้นที่ก็มีโจทย์หรือบริบทแตกต่างกัน ฉะนั้นการแก้ปัญหาก็ต่างกัน เอาแค่น่านกับตรัง บนบกกับทะเลก็ไม่เหมือนกันแล้ว ฉะนั้น คู่มือเล่มเดียวไม่ fix in หรือใช้ได้กับพื้นที่ทั้งหมดในประเทศไทย ต้องปรับเปลี่ยนตามหน้างาน
ป่าชุมชนเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศไทย หลายพื้นที่ได้รับรางวัลจากกรมป่าไม้ ประเมินว่าอยู่ในระดับดี ในมุมสังคมโลกตอนนี้การประกาศพื้นที่ปกครองที่เป็นเขตอุทยานหรือเขตอนุรักษ์ทำได้ยาก เพราะพื้นที่น้อยลง คนเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้พื้นที่มากขึ้น จึงมีอีกแนวคิดหนึ่งว่าไม่จำเป็นต้องประกาศพื้นที่คุ้มครอง ป่าชุมชนหรือพื้นที่ของเอกชนก็มีส่วนร่วมดูแลทรัพยากร เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้โลกได้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า OECM (Other Effective area-based Conservation Measures) ตามหลักการคือมาตรการหรือวิธีการอนุรักษ์เชิงพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองทางกฎหมาย ประเทศไทยทำเรื่องนี้อยู่เหมือนกันและหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญที่ช่วยตอบโจทย์ได้ก็คือป่าชุมชน รวมถึงพื้นที่ทางทะเลที่ได้รับการจัดการในชุมชนท้องถิ่นของกรมทะเลเรียกว่า LMMA (Local Marine Managed Areas)

“การส่งเสริมรายได้กลับคืนสู่ชุมชนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ”
นัยนา ฑีฆาวงค์
ประธานคณะกรรมการป่าชุมชนและผู้ใหญ่บ้านห้วยหาด อำเภอปัว จังหวัดน่าน
บ้านห้วยหาดเป็นพื้นที่จัดสรรให้ขึ้นไปอยู่ เมื่อปี 2522 เรามีป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีแนวเขตติดต่อกับหลายชุมชน หลายตำบล หลายอำเภอ เหมือนเราอยู่ศูนย์กลาง มีหมู่บ้านอื่นชุมชนอื่นล้อมรอบ ก็เลยเกิดการบุกรุก ทำลายป่า ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้ดินโคลนสไลด์ น้ำป่าไหลหลาก ต่อมามีการจัดการ ชุมชนจัดการตนเอง เรามีป่าชุมชน 2 แปลง พื้นที่ 720 ไร่ กับ 36 ไร่ ความสำคัญของป่าทำให้มีแหล่งน้ำ มีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์
ป่ามีความสำคัญ…ป่าหัวโล้น…น่านทำลายป่า…ทำให้โลกร้อน…โลกรวน เราลุกขึ้นมาสู้ มาดูแลรักษาทรัพยากร ควบคู่กับส่งเสริมอาชีพให้คนในชุมชน วันนี้เราอยากฝากเรื่องการยกระดับสินค้าชุมชน อยากให้ทุกท่านช่วยสนับสนุน
การส่งเสริมรายได้กลับคืนสู่ชุมชนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ สร้างรายได้ เพื่อนำรายได้ตรงนี้กลับไป ดูแลรักษาผืนป่า รวมถึงการท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดน่านทำโฮมสเตย์หลายพื้นที่ โดยเฉพาะชุมชนบ้านห้วยหาดอยู่ใกล้ถนนเลข 3 มองไปทางบ่อเกลือ จะเห็นพื้นที่ป่าชุมชนกับป่าอนุรักษ์ป่าอุทยานที่เราดูแลร่วมกับกรมอุทยานฯ ที่ขาดไม่ได้คืองบประมาณสนับสนุน ยกตัวอย่างกองทุนสิ่งแวดล้อม ที่สนับสนุนกิจกรรมชุมชนที่ทำเรื่องการดูแลรักษา สามารถขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืน ให้คนอยู่กับป่าได้อย่างเกื้อกูลกัน


