เรื่อง: พัชนิดา มณีโชติ
ภาพ: ประเวช ตันตราภิมย์

โอ๊ต มณเฑียร: หลากหลายตัวตนชวนหลง(รัก)พิพิธภัณฑ์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‘พิพิธภัณฑ์ไทย’ เริ่มได้รับความสนใจ และถูกพูดถึงอย่างมาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการบริหารจัดการ ที่ช่วยเปลี่ยนภาพจำจากเดิมที่คนมองว่า พิพิธภัณฑ์เป็น ‘พื้นที่เก็บของ’ สู่ภาพใหม่ของการเป็น ‘พื้นที่ปล่อยของ’ ซึ่งดึงดูดให้ผู้คนกลับมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันมากขึ้น โดยเฉพาะ Night at The Museum ที่สร้างปรากฎการณ์ให้หลายพิพิธภัณฑ์กลับมามี ‘ชีวิต’ และ ‘ตัวตน’ อีกครั้ง

ชวนคุยกับ ‘โอ๊ต พัฒนพงศ์ มณเฑียร’ ถึงตัวตน ประสบการณ์ และมุมมองต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแวดวงพิพิธภัณฑ์ไทย ในฐานะของศิลปิน ภัณฑารักษ์ และนักการศึกษาในพิพิธภัณฑ์ (Museum Educator) ผู้เคยสร้างสรรค์นิทรรศการ และออกแบบพื้นที่แห่งการเรียนรู้ให้กับหอศิลป์ และพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง และยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Museum Minds เครือข่ายผู้ขับเคลื่อนและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านพิพิธภัณฑ์

แรกหลงใหลในพิพิธภัณฑ์

จากจุดเริ่มต้นในความหลงใหลด้านศิลปะของโอ๊ต พาเขาเดินทางไปศึกษาต่อในสหราชอาณาจักร ประเทศซึ่งรุ่มรวยด้านศิลปวิทยาการ แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมสำคัญของโลก ที่เต็มไปด้วยวัตถุโบราณทรงคุณค่า ที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลือไว้ ไม่เพียงตามสถานที่ต่างๆ แต่ได้รับการจัดเก็บและดูแลรักษาอย่างดีภายในพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศอังกฤษ ด้วยบรรยากาศอันคึกคัก เปี่ยมด้วยสีสันของผู้คนจำนวนมากที่มาต่อคิวเข้าพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ ล้วนเป็นเสน่ห์อันน่าอัศจรรย์ที่โอ๊ตสัมผัสได้ตลอดเมื่อครั้งเป็นคนสอนศิลปะที่ พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต (Victoria & Albert Museum) และกลายเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่มอบแรงบันดาลใจให้เขาอยางต่อยอดองค์ความรู้ในด้านพิพิธภัณฑ์

“พอเราได้มีโอกาสเรียนปริญญาโท ด้านการจัดการความรู้ในพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ (Education for Museums and Galleries) ที่ Institute of Education London (UCL) ที่ลอนดอน เราได้เรียนรู้ว่าในทุกพิพิธภัณฑ์ของเขาต้องมี Museum Educator ทำหน้าที่ร่วมกับภัณฑารักษ์ เพื่อออกแบบประสบการณ์ในพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ให้คนดูเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงหรือเข้าถึงเรื่องราวของวัตถุจัดแสดงตรงหน้า มากกว่าแค่การยืนดูแล้วเดินจากไป แต่ต้องยอมรับว่ามิวเซียมที่อังกฤษเขาออกแบบกิจกรรมได้ล้ำและน่าสนใจมาก เขามองว่ามิวเซียมเป็นได้ทุกอย่าง เป็นพื้นที่แสดงออกด้านความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมีทั้งการแสดงเดินแบบแฟชัน คอนเสิร์ต และกิจกรรมที่ครอบครัวสามารถมาใช้เวลาในมิวเซียมช่วงวันหยุดได้ ยิ่งเราได้เห็นคนจำนวนมากรอต่อแถวเพื่อเข้าไปชมมิวเซียมในต่างประเทศ เรายิ่งได้แรงบันดาลใจ เลยอยากแบ่งปันสิ่งนี้กับประเทศไทย”

ลงสนามเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง

หลังจากเรียนจบและกลับมาที่ไทย โอ๊ตเริ่มภารกิจแรกด้วยการเข้าไปทำงานกับมิวเซียมสยาม เพื่อนำความรู้ที่เขามีเข้าไปช่วย เปลี่ยนภาพลักษณ์ขององค์กร ให้เป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่

“พอเรียนจบก็กลับมาเริ่มทำงานกับพี่สาว (ดาว-ดร.รวีดาอร มณเฑียร) ตอนนั้นต้องการนำศาสตร์เรื่อง New Museology เข้าไปเปลี่ยนภาพลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์ในไทย ด้วยการสร้างเครือข่ายคนทำงานพิพิธภัณฑ์ผ่านการอบรม Museum Academy ซึ่งจัดที่มิวเซียมสยาม เราก็เอา กระบวนการของพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ไปถ่ายทอด ทั้งเรื่อง การจัดพื้นที่การเรียนรู้ การออกแบบนิทรรศการหรือกิจกรรมให้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย และการประเมินผลจากการทำงานด้านต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์”

แต่การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยเวลาและพลังการขับเคลื่อนของ ‘คนตัวเล็กๆ ในพิพิธภัณฑ์’ ที่พยายามแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างเครือข่ายอันทรงพลัง ที่ช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานด้านพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยมีความเข้มแข็ง และสามารถสร้างแรงดึงดูดให้คนไทยหันกลับมาสนใจและเห็นคุณค่าในงานของพิพิธภัณฑ์

“การมองพิพิธภัณฑ์น่ะ มันเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน ทั้งข้างในองค์กรและข้างนอกองค์กร รู้สึกว่าเมื่อก่อน ภัณฑารักษ์ต้องทำทุกอย่าง ทั้งเก็บของ จัดแสดงนิทรรศการ เขียนบทความ นำชม รับแขก ทำการตลาด ชงกาแฟ ครบจบในหนึ่งคน เพราะเกือบ 10 ปีที่เราทำงานกับมิวเซียม เรารู้สึกว่า มันเปลี่ยนไปเยอะมาก ทางมิวเซียมเองก็เข้าใจว่ามันต้องอาศัยคนหลายๆ คน ในการขับเคลื่อนงานต่างๆ ไม่สามารถรับจบในคนเดียวได้ และหน้าที่ของมิวเซียมเองก็ไม่ใช่แค่ที่เก็บของ แล้วเปิดให้คนเข้ามาดู แต่เป็นพื้นที่ชุมชนที่รวมคนหลากหลายมาอยู่รวมกัน”

Museum Minds รวมคนรุ่นใหม่ใส่ใจมิวเซียม

จากจุดเริ่มต้นที่เข้าไปแบ่งปันความรู้และทำงานร่วมกับมิวเซียมสยาม ทำให้โอ๊ตเห็นว่ายังมีพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยอีกหลายที่ที่มีศักยภาพและต้องการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านนี้ จึงรวมตัวกันกับเพื่อนก่อตั้งเป็น Museum Minds เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ต่างๆ ผ่านการสื่อสารองค์ความรู้ ด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษา ร่วมกับประสบการณ์และมุมมองของคนรุ่นใหม่เข้าไปทำงานกับเหล่าคนทำงานพิพิธภัณฑ์ ขยายพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบเป็นประสบการณ์แปลกใหม่มอบให้ผู้เข้าชม

“เรามีองค์ความรู้พวกนี้ และมีเพื่อนที่ชอบมิวเซียมเหมือนกัน เลยตัดสินใจสร้าง Museum Minds ขึ้นมา เพราะเรารู้สึกว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดมากในเมืองไทย คือ มิวเซียมควรเป็นสถานที่สำหรับคนรุ่นใหม่ด้วย

Museum Minds จึงเป็นเครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่มีความถนัดในเรื่องที่แตกต่าง แต่มารวมตัวกันเพื่อขับเคลื่อนและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในวงการพิพิธภัณฑ์ไทย ผ่านการทำงานในหลายบทบาท ทั้งที่ปรึกษาและวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้กับเหล่าคนทำงานในพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง เพื่อมอบแนวคิด และไอเดียสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนางานด้านต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสอนวิธีการนำชมให้น่าสนใจ การออกแบบป้ายสื่อความหมายในนิทรรศการ และการสร้างเรื่องเล่าให้พิพิธภัณฑ์เป็นที่จดจำ

“มิวเซียมมายด์ก็ยังทำงานอยู่ ในตอนแรกๆ ที่ลงมาทำคือ เห็นผลเร็วและชัดมาก คือ อบรมอาทิตย์นี้ อาทิตย์ถัดไปพิพิธภัณฑ์นำไปใช้ประโยชน์ต่อเลย เช่น การสอนออกแบบเส้นทางนำชมในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ดีใจที่เขานำเรื่องที่เราสอนไปปรับใช้ได้ทันที ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ เราก็พยายามประยุกต์การเรียนการสอนให้น่าสนใจขึ้น ด้วยการใช้มีม (meme) หรือใช้เรื่องที่กำลังอยู่ในกระแสมาเป็นกรณีศึกษา”

ในขณะเดียวกัน Museum Minds ก็ได้ร่วมงานกับหน่วยงานมากมาย ซึ่งนอกจากพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้แล้ว ยังมีส่วนเข้าไปช่วยออกแบบ ‘แผนการเรียนการสอน’ ให้กับโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย

“เราไม่ได้ทำงานกับมิวเซียมอย่างเดียว แต่เราเข้าไปช่วยออกแบบแผนการเรียนการสอนร่วมกับคุณครูด้วย เราต้องเข้าไปคุยกับโรงเรียนด้วยว่า ถ้าเขาพาเด็กมาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์แล้วเขาจะได้อะไร เราเลยจัดเป็นเวิร์กชอป เอาตัวแทน 6 โรงเรียน มาพูดคุยร่วมกับตัวแทนจาก 6 พิพิธภัณฑ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกัน”

โอ๊ตเล่าว่าการทำเวิร์กชอปครั้งนี้ทำให้เห็นว่า การออกแบบโปรแกรมการศึกษา (Education Program) ในพิพิธภัณฑ์มีหลายองค์ประกอบที่ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้เข้าชมที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังต้องให้ความรู้กับเหล่านักการศึกษา หรือ Educator ให้เข้าใจระบบบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์ แหล่งเรียนรู้ รวมถึงเข้าใจความต้องการของกลุ่มผู้ชมอย่างโรงเรียน เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน คือ พิพิธภัณฑ์มีกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์กับการวัดผลทางการเรียนการสอนของโรงเรียน

oatmontien42310

เมื่อคำว่า Museum ขายได้

“คนเริ่มมองคำว่า ‘มิวเซียม’ เปลี่ยนไป และเริ่มกลับมาให้ความสนใจกิจกรรมในพิพิธภัณฑ์มากขึ้น กระแสความนิยมที่เกิดขึ้นทำให้ฝั่งเอกชนเริ่มหันมาทำพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง สังเกตห้างสรรพสินค้าก็หันมาทำพิพิธภัณฑ์ แนว Immersive Experience มากขึ้น ดูอย่างหอศิลป์ตอนนี้ หรือ River city สถานที่จัดอาร์ตแกลอรีต่างๆ ก็มีการจัดงานนิทรรศการทุกเดือน และคนก็ชอบไปเที่ยวงานแบบนี้กันเยอะมาก”

ไม่เพียงแต่พิพิธภัณฑ์ของหน่วยงานรัฐเท่านั้นที่เริ่มปรับตัว การที่เอกชนเริ่มสร้างพิพิธภัณฑ์ของตนเองเพื่อบอกเล่าประวัติศาสตร์และการเติบโตขององค์กร สะท้อนว่าในแง่หนึ่ง คำว่า ‘Museum – มิวเซียม’ ไม่ได้สื่อถึงเพียง ‘ความเก่า หรือ ความตกยุค’ เสมอไป แต่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสารการตลาดยุคใหม่ ที่กลายมาเป็นจุดขายและการสร้างภาพลักษณ์อันน่าจดจำให้กับองค์กรและธุรกิจได้

“จนทุกวันนี้เราเห็นผลประจักษ์แล้วว่า สังคมไทยมี มิวเซียมเป็น Soft power เราได้เห็นการจัดนิทรรศการ การใช้คำว่ามิวเซียมที่ไม่ได้มีแค่ในหน่วยงานภาครัฐ แต่เราเริ่มเห็นในฝั่งเอกชนที่เป็น Commercial space หรือ ห้างสรรพสินค้า มากขึ้น เราได้เห็นแบรนด์เสื้อผ้าหยิบคำว่ามิวเซียมมาใช้เป็นหนึ่งในวิธีสร้างประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าของเขา อันนี้คือสิ่งที่เห็นแล้วรู้สึกดีใจ เพราะภาพที่เราเคยมองไว้ หรือที่เคยเห็นกับมิวเซียมที่ต่างประเทศ ตอนนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้ว”

————————

oatmontien4239

โพธิสัตวา: พื้นที่สะท้อนความแตกต่างเพื่อเข้าใจความหลากหลาย

นอกจากบทบาทในการเป็นผู้กระจายองค์ความรู้เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ โอ๊ต มณเฑียร คือการเป็นศิลปิน ผู้ทำงานและขับเคลื่อนประเด็นความหลากหลายทางเพศ โดยโอ๊ตได้เปิดพื้นที่แกลอรี่ขนาดเล็กในชื่อ ‘โพธิ สัตวา Bodhisattava LGBTQ+ Gallery’ ที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยที่เล่าเรื่องด้านจิตวิญญาณ แสดงตัวตน สื่อสารความรู้สึก และถ่ายทอดประสบการณ์ของศิลปินผู้มีความหลากหลายทางเพศ เปรียบเสมือนพื้นที่ปลอดภัยที่ศิลปินทุกคนสามารถแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ปราศจากการตีตราจากสังคมที่ยังคงตัดสินพวกเขาจากเพศสภาวะ

“เราได้แรงบันดาลใจจากนิทรรศการ “ชายหญิงสิ่งสมมุติ” (ชมนิทรรศการออนไลน์ได้ ที่นี่ ) ซึ่งเป็นนิทรรศการแรกๆ ของมิวเซียมสยามที่ทำ Crowdsourcing เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ เราได้มีโอกาสร่วมพัฒนาและให้คำแนะนำ ตอนนั้นรู้สึกว่าประทับใจมาก เลยอยากให้มันมีพื้นที่แบบนี้ในการแสดงออกและเพี่อเล่าเรื่องของเพศสภาพที่หลากหลายตลอดทั้งปี โดยไม่ยึดติดว่าต้องจัดแสดงแค่ช่วงเดือนมิถุนายนที่ตรงกับเทศกาล Pride เท่านั้น”

โพธิสัตวา จึงเป็นแกลอรี่แสดงผลงานศิลปะขนาดกะทัดรัด ที่ตั้งอยู่ภายในบ้านของโอ๊ต ด้านหลังส่วนที่เป็นร้านอาหารบาอิค บาอิค (Baik Baik Restaurant) แถวสรงประภา 18 ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยบรรยากาศความร่มรื่นของพืชพรรณไม้นานาชนิด และการตกแต่งสไตล์บาหลีผสมผสานกับหลากวัฒนธรรมและหลายความเชื่อ ที่ต่างสะท้อนตัวตนของเจ้าของบ้านอย่างชัดเจน

“ชื่อโพธิสัตวา มาจาก พระอวโลกิเตศวร ซึ่งก็คือเจ้าแม่กวนอิม เปรียบเป็น พระพุทธเจ้าแห่งความเมตตา ซึ่งก็ตามพระคัมภีร์แล้ว ไม่มีเพศสภาพ จึงกลายมาเป็นความหมายซึ่งเราใช้เป็นแก่นของงานเรา คือ การเป็นพื้นที่แสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ก้าวข้ามกรอบของเพศสภาพ เลยทำเป็นแกลเลอรี่แรกของเมืองไทยที่อุทิศให้กับงานของศิลปิน LGBTQ+ ซึ่งโลโก้ของแกลอรี่ก็มาจาก รูปปั้นพระอวโลกิเตศวรที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ซึ่งถ้าฝั่งยุโรปมองว่ารูปปั้นกรีก-โรมันเนี้ยคือความสวยงามในอุดมคติของเขา รูปปั้นพระอวโลกิเตศวรอันนี้ก็เทียบได้กับ ความสวยงามในอุดมคติของบ้านเรา”

การเปิดโพธิสัตวา โอ๊ตนำประสบการณ์และความรู้ที่ทำงานทั้งด้านศิลปะและพิพิธภัณฑ์มาใช้ในการออกแบบนิทรรศการภายในพื้นที่จัดแสดง ตั้งใจให้เป็น Community Center ของกลุ่มศิลปินผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผ่านการจัดวางสิ่งของและผลงานศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวของกลุ่ม LGBTQ+ โดยปัจจุบันจัดแสดงเป็นนิทรรศการ ‘5’ ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง 5 ปี แห่งการเติบโตของแกลอรี่แห่งนี้ ที่เปรียบได้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับศิลปินและผู้ชมในการแสดงออก สำรวจและมีส่วนร่วมกับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายผ่านสื่อและกิจกรรมที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็น

บทกวีจากอีเว้นท์ Trans Poetry Reading And Sharingที่ให้นักเขียนได้อ่านถ้อยความในบทกวี สะท้อนเสียงของคนข้ามเพศ

ใบทะเบียนสมรสภาษาลู ในชื่อผลงาน My Happily soon-to-be Life (form)ของธิติ ธีรวรวิทย์ ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นปี 2021 เพื่อสื่อสารเรื่องสิทธิทางกฎหมายในเรื่องความรักของเหล่าผู้มีความหลากหลายทางเพศ ก่อนที่ประเทศไทยจะมี ‘สมรมเท่าเทียม’ อย่างทุกวันนี้

และAmerican Dreamผลงานศิลปะร่วมสมัยด้วยที่ผสมผสานเทคนิคการมัดเชือกแบบญี่ปุ่น หรือ Shibariของโอ๊ต มณเฑียร หนึ่งในผลงานจากนิทรรศการ Country Home Sheriff (2024) ที่สื่อสารเรื่องราวความสันพันธ์ของศิลปินเจ้าของผลงานกับผู้เป็นพ่อ ซึ่งหลงใหลในวัฒนธรรมคาวบอย โดยเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สะท้อนภาพลักษณ์คาวบอยในฐานะต้นแบบของความเป็นชาย หรือตัวแทนของพ่อในความทรงจำ ถักทอกลายเป็นสายใยที่ประกอบร่างสร้างตัวตนเป็นโอ๊ตในทุกวันนี้

ซึ่งโอ๊ตเล่าว่าความหลงใหลในมิวเซียม ก็เป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากคุณพ่อเช่นเดียวกัน สังเกตได้จากของสะสมหลายชิ้นที่จัดแสดงอยู่ในบ้าน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ผู้เป็นพ่อได้เหลือทิ้งไว้พร้อมกับร่องรอยความทรงจำ

การมองว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงที่เก็บของอย่างเดียว อาจจะเป็นอิทธิพลจากคุณพ่อด้วย ที่แบบตอนไปซื้อของเก่า แม้มันจะไม่ได้มีราคาแพงอะไร แต่มันมีมูลค่ากับจิตใจเรามากๆ เราเลยรู้สึกจริงๆ ว่า พิพิธภัณฑ์ มันไม่ได้เป็นแค่สถานที่สำหรับเก็บแค่ของเก่า หรือของที่มีมูลค่าเท่านั้น เพราะกับของบางชิ้น มูลค่าของมันอาจมาจากความทรงจำหรือ ความรู้สึกร่วมบางอย่างของผู้คนก็ได้

oatmontien42311

ตัวตนที่ยังคงตั้งคำถาม เพื่อค้นพบด้านใหม่ๆ และเข้าใจผู้อื่น

“จริงๆ คิดว่า ตัวเองเป็นคนขบถ แล้วก็ชอบตั้งคำถามกับสิ่งที่สังคมมองว่าเป็นขนบแบบแผน ตั้งแต่ ‘ทำไมพิพิธภัณฑ์ต้องเก็บแต่ของเก่าเท่านั้น’ เราสามารถจัดแสดงของที่ไม่ต้องมีมูลค่าสูงแต่มีมูลค่าทางใจแทนได้ไหม เพื่อทำให้คนเข้าถึงได้ง่ายหรือในเรื่องของงานศิลปะที่ทำไมเวลาจะพูดเรื่อง LGBTQ+ แล้วจะต้องอยู่แค่ในกรอบของสีสันหรือเรื่องเพศ มันไปอยู่ในกรอบของจิตวิญญาณได้ไหม หรือการพูดเรื่องเพศสภาพหรือเพศวิถี มันสามารถซ้อนทับกับเรื่องการเมืองได้ไหม ซึ่งคนที่คิดอะไรแบบนี้ น่าจะไม่ได้มีแค่เราหรอก แต่หลายๆ คนที่ทำงานศิลปะหรืองานที่เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ ทุกคนต่างต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Curiosity หรือความสงสัยใคร่รู้

ซึ่งสิ่งที่เราต้องการตั้งคำถาม เราจะเล่าเรื่องราวผ่านงานสร้างสรรค์รูปแบบต่างๆ เหมือนที่เราทำโพธิสัตวา หรือ โปรเจกต์ต่างๆ เพราะเรารู้สึกว่า มันเป็นพื้นที่ที่คนได้เรียนรู้ ได้ทดลองใส่รองเท้าของคนอื่น เหมือนที่ภาษาอังกฤษเขาพูดว่า PUT YOURSELF IN SOMEONE’S SHOES เพื่อทำความเข้าใจคนที่มีความแตกต่างจากเรา คนที่อาจจะคิดไม่เหมือนเรา โตมาไม่เหมือนเรา อยู่ในบริบทสังคมที่ไม่เหมือนเรา มันเลยเป็นสิ่งที่เรายังตื่นเต้นที่จะทำ แล้วก็ตื่นเต้นที่ทุกครั้งคนมาดูงานเรา”